ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๑
โดย khampan.a  24 ธ.ค. 2560
หัวข้อหมายเลข 29373

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๑

~ ไม่ละเลยความดี เพราะรู้ว่าอกุศลไม่สามารถทำให้รู้ความจริงได้เลย
~ หนทางเดียวกว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ คือ อบรมเจริญปัญญา
~ สละวัตถุสิ่งของให้ทาน สละความโกรธความขุ่นเคืองใจในผู้อื่น มีความอดทนทุกอย่างที่จะบำเพ็ญความดีทุกอย่าง นี้แหละ เป็นการเติมความดีอยู่เรื่อยๆ
~ ทุกคนที่เกิดมาแล้ว สำคัญไหมในสิ่งที่เห็น อยากได้ ติดข้อง ยากแสนยากที่จะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา มีชั่วคราว แล้วก็หมดไปเท่านั้นเอง

~ ต้องฟังพระธรรม ฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้น ยากแสนยากที่จะรู้สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามความเป็นจริง ขาดการฟังพิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ได้เลย
~ ขณะที่ติดข้องต้องการ ไม่ใช่การละ ไม่สามารถทำให้เข้าใจความจริงได้เลยเพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เกิดปรากฏ จึงมีความติดข้องยินดีพอใจที่มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ก็เพราะยังมีความไม่รู้อยู่ จะดับการเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมได้ ก็คือ ดับกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์โดยประการทั้งปวง
~ ฟังพระธรรมบ่อยๆ เพื่อเข้าใจขึ้นๆ

~ เกิดมาแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
~ ธาตุรู้ (จิต กับ เจตสิก) ไม่ใช่เรา ธาตุที่ไม่ใช่สภาพรู้ (รูปธรรม) ก็ไม่ใช่เราเป็นแต่เพียงธาตุแต่ละธาตุ เท่านั้น จริงๆ

~ ถ้าไม่มีความเข้าใจจะไปไหน? ก็ไปทางที่ไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นมานานแสนนาน แต่เมื่อเริ่มมีความเข้าใจถูก ก็จะเป็นเหตุให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นต่อไปได้
~ ทุกคนเสมอกัน มีตาด้วยกัน และก็เห็นเหมือนกัน แต่ใจต่างกัน เพราะฉะนั้น สำคัญที่ใจ คนที่มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล แต่ใจเดือดร้อน ทุกข์อยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะกิเลส
~ ถ้าสามารถจะรู้ตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างเกิดได้จริงๆ ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยที่สมควรที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น และถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้แล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏเล็กน้อยแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ อะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ทุกคนไม่อยากจะมีความทุกข์ แต่เลือกไม่ได้

~ ให้ทราบว่ามีตา หู จมูก ลิ้น กาย สำหรับรู้สิ่งที่ปรากฏ แต่การสะสมที่มีอยู่ในใจ แล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยที่จะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ก็เป็นไปตามอกุศลที่ได้สะสมมา แต่ถ้าเริ่มมีความเข้าใจธรรม ความเข้าใจธรรมก็จะเข้าใจในขณะนั้นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้
~ ถ้าหากมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วไม่หวั่นไหว ขณะนั้นก็ต้องเป็นสุขมากกว่าคนที่อยากจะเห็น อยากจะได้ยิน แม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่หวั่นไหวด้วยความทุกข์ด้วยอกุศลที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจ
~ บุคคลผู้ที่รักษาศีลจนเป็นอุปนิสัย ผู้นั้นก็จะมีกาย วาจาที่สะอาด ไม่เบียดเบียนใครให้เดือดร้อนเลย ถึงแม้ว่าการให้ทานของบุคคลประเภทนี้จะมีน้อยกว่าบุคคลผู้มีอัธยาศัยในการให้ทานก็ตาม

~ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงแสดงว่า ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา ก็ตาม ถ้าเป็นคนพาล เมื่อกระทำกรรมอันชั่วช้า เป็นทุจริตประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ย่อมร่าเริงยินดีในการกระทำ อุปมาเหมือนกับบุคคลผู้เคี้ยวกินของหวาน มีน้ำผึ้ง น้ำตาล เป็นต้น จึงเป็นผู้มีความสำคัญผิดว่า บาปกรรมนั้น น่าใคร่ น่าพอใจ (ยังไม่รู้สึกว่าบาปมีโทษ) ต่อเมื่อใดก็ตามที่บาปกรรมที่เขาทำนั้นได้ให้ผล เมื่อนั้นคนพาล ย่อมเป็นผู้ประสบทุกข์อย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลของกรรมชั่วที่ตนเองได้กระทำแล้วเท่านั้น ไม่มีใครทำให้เลย

~ การกระทำทุกอย่างของแต่ละบุคคลที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน จะต้องมีเหตุทั้งนั้น และเหตุของการกระทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดล้วนเกิดจากกิเลส ถ้าตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ตราบนั้นก็ยังมีเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดีได้ แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำลังหรือระดับของกิเลสที่แต่ละบุคคลได้สะสมมา
~ ถ้าเป็นผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมอยู่เป็นประจำบ่อยๆ เนืองๆ จิตใจย่อมน้อมไปในทางกุศลได้ ซึ่งเป็นการปรุงแต่งของธรรมฝ่ายดี โดยที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
~ กิเลสทั้งหลาย มี ความไม่รู้เป็นต้น ไม่สามารถจะช่วยใครได้เลย
~ เกิดมาแล้วมีภัยมาก โดยเฉพาะภัยภายใน คือ กิเลส
~ จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จะต้องเริ่มเป็นผู้ตรงตั้งแต่ต้นว่ามีธรรม แต่ไม่เข้าใจ จึงศึกษา
~ ไม่ว่าจะกล่าวถึงคำใด ก็เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
~ ใครที่ทำอะไรเดี๋ยวนี้ก็เพราะฉันทะความพอใจ พอใจที่จะศึกษาพระธรรม พอใจที่จะไปเที่ยว เป็นต้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่เรา

~ ฟังพระธรรมตลอดชาตินี้ ก็เพื่อความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

~ ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น ปัญญาขั้นต่อไปก็มีไม่ได้

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรเคารพอย่างยิ่ง คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้

~ เดี๋ยวนี้ มีธรรม เดี๋ยวนี้ เป็นธรรม ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะมีจริงๆ เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง สบายใจมีจริง เป็นต้น

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราจะได้ฟัง เป็นคำที่พระองค์ไม่ได้ตรัสให้เชื่อ แต่ให้พิสูจน์ ให้ไตร่ตรอง ให้เข้าใจแต่ละคำ

~ ควรที่จะได้เข้าใจในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหรือไม่?

~ ทุกคนเกิดแล้วต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน เร็วหรือช้า วันนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีใครรู้ จะเอาอะไรติดตามไป? เอาความไม่รู้ตลอดชีวิตซึ่งไม่เคยรู้ติดตามไป หรือว่า มีสิ่งซึ่งเมื่อเกิดมาแล้วยังได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี
ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมต้องเป็นผู้ที่อดทน

~ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีอะไรที่เป็นของของเรา เพราะเป็นแต่เพียงธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย

~ ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงตั้งแต่ต้นว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมแล้วจะเป็นเราได้ไหม เป็นคนโน้นคนนี้ได้ไหม? ไม่ได้เลย

~ ความไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ เพราะว่าไม่มีแล้วก็เกิดมี แล้วก็ไม่มี จะน่าพอใจได้อย่างไร ใครจะไปหยุดยั้งให้มีต่อไปก็ไม่ได้ เพราะว่าเกิดแล้ว จากไม่มีก็มีแล้วก็หามีไม่ ทุกขณะ

~ อย่างน้อยเกิดมาแล้ว ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องเข้าใจก่อนอื่นเลยว่า ธรรมคืออะไร (ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ ) ถ้าไม่ฟังคำนี้ให้เข้าใจก่อน จะฟังอย่างอื่นต่อไป ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้

~ ความเห็นถูก ก็ต้องเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แต่ต้องมีการเริ่มต้น

~ พึ่งพระธรรมได้ โดยการฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็จะค่อยๆ พ้นจากทุกข์

~ ทุกขณะ ไม่มีอะไรยั่งยืนเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย

~ ชาวพุทธไม่ใช่ผู้ไม่รู้ แต่เป็นผู้รู้ รู้อะไร? รู้ในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

~ ถ้าเขามาถามเราว่า คุณเป็นชาวพุทธ แล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร?ตอบเขาไม่ได้ แล้วเราเป็นชาวพุทธหรือเปล่า?

~ เกิดมาแล้วสิ่งที่มีค่าที่สุด คือ ได้เข้าใจธรรม จะจากโลกนี้ไป จะเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปด้วยไม่ได้ เพื่อนฝูงก็เอาไปไม่ได้ ครอบครัวก็เอาไปไม่ได้ ทรัพย์สมบัติก็เอาไปไม่ได้ แม้ร่างกายที่กำลังนั่งอยู่ที่คิดว่าเป็นเรา ก็เอาไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่เอาไปได้ คือ การสะสมในจิตแต่ละขณะ ที่ดี ชั่ว ไม่ได้หายไปไหนเลย

~ ปัญญาความเข้าใจถูก เห็นถูก จะนำไปสู่ความเข้าใจยิ่งขึ้น แล้วจะได้เข้าใจและรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น เมื่อนั้นก็เป็นชาวพุทธ

~ ถ้าวันนี้ไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาให้เจริญขึ้น

~ ความไม่รู้ ทำให้มีการหลงผิดมากมาย

~ จิตเป็นสภาพรู้ เกิดประกอบกับเจตสิก (ธรรมที่เกิดกับจิต) ที่ดี ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต แต่ถ้ามีอกุศลเจตสิกเกิดกับจิต จิตนั้น ก็เป็นอกุศลจิต ไม่มีเราเลย

~ รูป เป็นกุศลไม่ได้ เป็นอกุศลไม่ได้ รูปทุกประเภท เป็นอัพยากตธรรม (ธรรมที่ไม่ใช่ทั้งกุศลและไม่ใช่ทั้งอกุศล)

~ โกรธ เป็นสังขารขันธ์ (สภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรุงแต่งจิต) ปรุงแต่งไหม? จากปกติ พอโกรธขึ้นมาปรุงแต่งไหม? สีหน้า คำพูด วาจาตั้งแต่ไม่น่าจะพูดเลย จนกระทั่งถึงการประทุษร้ายกันได้ นี่ก็เพราะสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง

~ ความเข้าใจถูกเห็นถูกมาจากไหน? มาจากมรดกที่ได้รับจากคำสอนแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่เคยเกิดในสังสารวัฏฏ์ (คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก)

~ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ , ที่ว่า คนเกิด สัตว์เกิด นั้น อะไรเกิด? ธรรมเกิด แล้วธรรมอะไรเกิด ก็คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) เกิด นั่นเอง

~ ถ้าไม่มีความเข้าใจว่า บุญคือการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์และขัดเกลากิเลสของตนเอง ก็ไปทำสิ่งที่ไม่ใช่บุญ แต่หลงเข้าใจว่าเป็นบุญ

~ ไม่โกรธ เป็นบุญไหม? แค่นี้ก็ต้องรู้ว่า บุญคือขณะที่จิตไม่ประกอบด้วยอกุศลเจตสิก นั่นเอง

~ ไม่โกรธใครก็เป็นบุญ ไม่ริษยาใครก็เป็นบุญ ไม่กลั่นแกล้งใครก็เป็นบุญ อภัยให้ใครก็เป็นบุญ

~ ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีกว่าจะมีแต่ละคำให้เราได้เข้าใจ เพื่อตัวเราที่จะไม่เป็นอกุศล ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลงสารพัดอย่างตั้งแต่เล็กน้อยที่สุดจนถึงใหญ่ที่สุด (การฟังพระธรรม) ก็เป็นบุญ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ความดี ถ้าเข้าใจ เมื่อไหร่ก็เกิดได้ คิดดีกับคนอื่นได้ไหม? แค่นั้นก็เป็นบุญ ไม่ใช่คิดร้ายกับคนอื่น

~ พูดดี เป็นบุญไหม? จากเคยนิสัยที่พูดไม่ดี พอเห็นโทษของการพูดไม่ดี (ขณะที่พูดไม่ดี เป็นอกุศล ซึ่งทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย) ขณะที่ไม่พูดคำที่ไม่ดี ก็เป็นบุญ

~ บุญไม่ยากเลย ไม่ต้องไปหาเงินทองอะไรมาก็สามารถที่จะทำได้ โดยเฉพาะความเข้าใจธรรม ยากที่จะเข้าใจ แต่ประโยชน์มหาศาล.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม... ครั้งที่ ๓๓๐

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย มกร  วันที่ 24 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย peem  วันที่ 24 ธ.ค. 2560

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย mammam929  วันที่ 24 ธ.ค. 2560

ขอนอบน้อมบูชาพระรัตนตรัยและกราบอนุโมทนาค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ


ความคิดเห็น 4    โดย mammam929  วันที่ 24 ธ.ค. 2560

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย panasda  วันที่ 24 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย j.jim  วันที่ 24 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย thilda  วันที่ 24 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย meenalovechoompoo  วันที่ 25 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย siraya  วันที่ 26 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย jaturong  วันที่ 26 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย s_sophon  วันที่ 3 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 4 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย p.methanawingmai  วันที่ 4 ม.ค. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย chatchai.k  วันที่ 10 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 15    โดย มังกรทอง  วันที่ 26 ธ.ค. 2564

ถ้าหากมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วไม่หวั่นไหว ขณะนั้นก็ต้องเป็นสุขมากกว่าคนที่อยากจะเห็น อยากจะได้ยิน แม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่หวั่นไหวด้วยความ้อมกราบด้วยอกุศลที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจ

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ