ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๑ * *
~ ไม่มีใครจะได้กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลกเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อย่าลืมว่าที่ทรงพระมหากรุณากระทำอย่างนั้น เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้รับฟังพระธรรม ก็ควรที่จะน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาคุณที่ได้ทรงแสดงพระธรรมไว้เป็นอันมาก เพื่อให้ทุกท่านเป็นผู้ที่ว่าง่ายต่อการที่กุศลจิตเกิด เป็นผู้ที่อดทน เป็นผู้ที่ไม่ว่ายากในการที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม
~ ความสุขที่แท้จริง ก็ด้วยปัญญาที่สามารถเห็นจริงๆ ว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นเมื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏ จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้ง แล้วรู้ว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้เกิดปรากฏแล้วหมดไป สุขไหม? เพียงเกิดปรากฏสั้นมาก ชั่วคราวจริงๆ แล้วก็ดับไป สุขจริงๆ หรือเปล่า จะเป็นสุขจริงๆ ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความสุขที่แท้จริง
ก็จะเริ่มจากความเห็นถูกความเข้าใจถูก ที่ทำให้ไม่ยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง
~ เห็นกำลังของกิเลสไหม ความดีแท้ๆ ของคนอื่น สรรเสริญไม่ได้ กล่าวไม่ได้ กิเลสอกุศลทำให้ปกปิดความดีของคนอื่น แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความดีของคนอื่น จะกล่าวอะไรถึงไม่ถูกถาม แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความดีของผู้อื่น
~ เมื่อเห็นใจในการกระทำที่พลั้งพลาดในความพลั้งพลาดของบุคคลนั้น ก็ไม่ควรที่จะให้ล่วงรู้ถึงบุคคลอื่น แต่ว่าควรที่จะได้ช่วยให้เขาเห็นว่า ควรที่จะประพฤติในสิ่งที่ถูกในสิ่งที่ควรอย่างไร แล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงความเสียหายของบุคคลนั้นให้คนอื่นรู้ ถ้าเป็นอย่างนี้ ขณะนั้นก็เป็นความเมตตา เป็นความกรุณา เป็นความเห็นใจ เป็นกุศลจิตในขณะนั้น
~ เรื่องของคำพูด ต้องเป็นเรื่องระวังจริงๆ และให้เป็นประโยชน์จริงๆ มิฉะนั้น ท่านไม่ทราบเลยว่า จะเกิดความเสียหายกับคนอื่นมากน้อยสักแค่ไหน อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตก็ได้ อาจจะมีเรื่องใหญ่โตร้ายแรงเกิดขึ้นก็ได้ จากคำพูดเพียงไม่กี่คำโดยไม่ระวังของท่าน
~ อย่าประมาทในกุศลเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งควรที่จะอบรมเจริญจริงๆ ถ้าท่านเป็นผู้ที่อบรมการละเว้นผรุสวาจา (คำหยาบคาย) จิตใจของท่านไม่เดือดร้อน เพราะเหตุว่าไม่กล่าวผรุสวาจา และไม่เดือดร้อน เพราะเหตุว่าคนที่รับฟังคำของท่านไม่เดือดร้อนใจ จึงไม่นำความเดือดร้อนใจมาให้ท่านซึ่งเป็นผู้กล่าวด้วย
~ ทำในสิ่งที่ชอบ แต่ว่าสิ่งที่ชอบต้องเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ สิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ ไม่มีอะไรเท่ากับพระธรรม
~ จะห้ามคนไม่ให้พูดอะไร ห้ามไม่ได้เลยใช่ไหม? (ห้ามไม่ได้) ไม่มีใครพ้นจากโลกธรรม ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ใจของเราไม่หวั่นไหว เพราะรู้ว่า (ขณะที่หวั่นไหว) เป็นอกุศล จะเที่ยวไปเก็บอกุศลจากที่เขาไม่ชอบแล้วเขาว่าต่างๆ มาเป็นขณะนั้นให้เพิ่มพูนอกุศลขึ้นทำไม ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น คนที่มั่นคงในเรื่องของความไม่มีเรา ก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นกุศลธรรมหรืออกุศลธรรม เพราะฉะนั้น จะไม่ไปเอาคำของคนอื่นมาทำให้เกิดอกุศลจิต
~ ควรที่จะคิดถึงว่า อกุศลมากจนเกินกว่าที่จะดับได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ก็จะต้องอบรมเจริญกุศลทุกประการ เพื่อที่จะละอกุศลนั้นได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ในวันหนึ่ง
~ การศึกษาปริยัติธรรมก็มีมาก แต่การปฏิบัติผิดก็มีมากด้วย นี่ก็แสดงให้เห็นถึงการศึกษาโดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะศึกษาธรรม ต้องเข้าใจจุดประสงค์จริงๆ ว่า ศึกษาเพื่ออะไร และธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ การศึกษา คือ การฟังให้เข้าใจชัดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ
~ ถ้าเป็นข้อปฏิบัติที่ผิด ทำให้ข้อปฏิบัติที่ถูกไม่เกิดขึ้น แล้วก็ยังเป็นการเผยแพร่ในข้อปฏิบัติที่ผิด ก็ย่อมจะเป็นการทำลายข้อปฏิบัติที่ถูก ซึ่งก็เป็นโทษมากสำหรับตนเอง กับทั้งผู้อื่นด้วย
~ ใครก็ตามที่เข้าใจแล้ว ฟังแล้ว เฉพาะตัวแล้วก็ตายไป ก็หมดไป เสื่อมไป แต่ถ้าสามารถที่จะเผยแพร่คำสอน หรือว่า แสดงพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วต่อๆ กันไปอีก ก็เป็นทางที่จะทำให้พระธรรมไม่เสื่อมสูญ
~ ตัวท่านเองก็จะเป็นบุคคลนี้อยู่อีกไม่นานเลย บุคคลนี้ในชาตินี้เป็นอย่างไร ย่อมประจักษ์แจ้งกับตัวของท่านเองว่า ชาตินี้ท่านเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การที่ได้รับผลของกรรมที่เป็นกุศลวิบาก อกุศลวิบากอย่างไร แต่ว่าก็ไม่นานเลย ก็จะเป็นบุคคลอื่น พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา แสดงให้เห็นถึงความละเอียดของพระพุทธวจนะทุกคำ ถ้าเราไม่เผิน มีการพิจารณาไตร่ตรอง เราก็จะค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้น
~ ความไม่รู้ มีแน่ๆ จึงเริ่มฟังพระธรรม เมื่อเริ่มฟัง ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นเป็นการเก็บความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย
~ ถ้าพิจารณาโดยความเป็นธาตุ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน อย่างการเห็นก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง การได้ยินก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง การได้กลิ่น ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เอาความเป็นสัตว์ เป็นตัวตน เป็นบุคคลออก ก็จะเห็นตามความเป็นจริงว่า แต่ละขณะนี้ก็เป็นเพียงแต่ละธาตุ ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ กัน เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป
~ เมื่อไม่รู้ ก็มืดมนไปหมด โมหะหลงทางหลงผิดในความมืด เกิดมาก็อยู่ไปวันๆ ในความมืดเพราะไม่รู้ความจริง จากโลกนี้ไปก็ไปสู่ความมืดคือไม่รู้ความจริง จนกว่าจะได้มีแสงสว่างคือคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้น ซึ่งไม่ใช่สำหรับทุกคน นอกจากเมื่อมีเหตุที่ได้กระทำไว้จึงสามารถที่จะทำให้เกิดการได้ยินได้ฟังแล้วก็เห็นประโยชน์อย่างยิ่งของการที่จะรู้ความจริง ไม่ใช่ว่าได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธแต่ว่าไม่ได้ศึกษาธรรมเลย
~ เวลาทำสิ่งที่ดี ก็ฤกษ์ดี
~ อกุศลเกิด ทำชั่ว จะเป็นฤกษ์ดีไหม?
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้พ้นจากความเห็นผิดและพ้นจากทุกข์
~ ไม่มีที่พึ่งอะไรเลยที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ นอกจากพระธรรมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เกิดจากการที่ได้ทรงประจักษ์แจ้งความจริงถึงที่สุดซึ่งเป็นการตรัสรู้ความจริง
~ ชาวพุทธ ก็ควรที่จะตื่นตัวให้รู้ตามความเป็นจริง เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า โง่ ก็คือ โง่ ดีกว่าไม่รู้ โง่แล้วยังรู้ว่าโง่ จะได้หายโง่ จะได้พยายามที่จะไม่โง่ต่อไปได้เมื่อรู้ว่าตัวเองโง่ แต่ถ้าคิดว่าตัวเองฉลาดแล้ว ก็ไม่มีทางที่คนนั้นจะหายโง่ได้ เพราะหลงเข้าใจว่าฉลาดกว่าพระธรรม จึงไม่ศึกษาพระธรรม
~ พระพุทธศาสนา จะดำรงอยู่ได้ ไม่ใช่โดยกฎหมาย แต่พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าวิธีการใดๆ ทั้งสิ้นก็ไม่สามารถที่จะดำรงพระพุทธศาสนาไว้ได้เลย ด้วยเหตุนี้ ไปพยายามหาทางดำรงพระพุทธศาสนากันโดยวิธีการต่างๆ โดยไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา จะไม่มีทางที่จะดำรงพระพุทธศาสนาเลย แล้วก็เสียเงินเป็นพันๆ ล้าน แต่ไม่ได้ดำรงพระพุทธศาสนา
~ ถูกไหม ที่จะกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?
~ ชาวพุทธ ต้องตื่นตัวที่จะรู้ความจริง ยอมรับความจริง พิจารณาเหตุผลว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะว่า พุทธบริษัทรวมอุบาสกอุบาสิกาด้วย ไม่ใช่ว่ากีดกันไม่ให้ศึกษาธรรม ไม่ให้กล่าวธรรม แม้ในครั้งพุทธกาล พุทธบริษัททั้งหมด ทั้ง ๔ ทั้งอุบาสก อุบาสิกาด้วย ก็กล่าวธรรม สนทนาธรรม เพราะเป็นสิ่งที่ควร ธรรมยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง เพราะฉะนั้น จะจำกัดคน คนนี้พูดธรรมไม่ได้ คนนี้ศึกษาธรรมไม่ได้ อย่างนั้นหรือ?
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๐

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
.. ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ..
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา