เรื่องพาลนักษัตร [๑๘].. คนพาลชาวเมืองสาวัตถีเล่นนักษัตร
โดย pirmsombat  26 ม.ค. 2556
หัวข้อหมายเลข 22393

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 345

. เรื่องพาลนักษัตร [๑๘]

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนักษัตร

ของคนพาล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปมาทมนุยุญฺชนฺติ" เป็นต้น.

คนพาลชาวเมืองสาวัตถีเล่นนักษัตร

ความพิสดารว่า ดังได้สดับมา ในสมัยหนึ่ง เขาป่าวประกาศชื่อ

พาลนักษัตร๑ ในพระนครสาวัตถี. ในนักษัตรนั้น พวกชนพาลผู้มีปัญญา

ทราม เอาเถ้าและโคมัย (มูลโค) ทาร่างกาย เที่ยวกล่าววาจาของ

อสัตบุรุษไปตลอด ๗ วัน, เห็นใครๆ เป็นญาติก็ตาม เป็นสหายก็ตาม

เป็นบรรพชิตก็ตาม ชื่อว่าละอายอยู่ ไม่มี, ยืนกล่าววาจาของอสัตบุรุษ

อยู่ที่ประตูทุกๆ ประตู. มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจฟังอสัปปุริสวาทของพวก

เขาได้ จึงส่งทรัพย์ให้กึ่งบาทบ้าง บาทหนึ่งบ้าง กหาปณะหนึ่งบ้าง

ตามกำลัง, พวกเขาถือเอาทรัพย์ที่ได้แล้วๆ ที่ประตูเรือนของมนุษย์เหล่า

นั้นๆ แล้วก็หลีกไป.

ก็ในกาลนั้น พระนครสาวัตถี มีอริยสาวกประมาณ ๕ โกฏิ. ท่าน

เหล่านั้นส่งข่าวไปถวายพระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระ-

ผู้มีพระภาคเจ้ากับภิกษุสงฆ์ อย่าเสด็จเข้าไปสู่พระนคร จงประทับอยู่แต่

ในพระวิหารสิ้น ๗ วัน," ก็แลตลอด ๗ วันนั้น (ท่านเหล่านั้น) จัด

ข้าวยาคูและภัตเป็นต้น (ส่งไป) ในพระวิหารนั่นแลเพื่อภิกษุสงฆ์ แม้

ตนเองก็ไม่ออกจากเรือน.

๑. การรื่นเริงของคนพาล.

ก็ครั้นเมื่อนักษัตรสุดสิ้นหลงแล้ว, ในวันที่ ๘ อริยสาวกเหล่านั้น

นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้เสด็จเข้าไปยังพระนคร

ถวายทานใหญ่ นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้ว กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ ๗ วันของพวกข้าพระองค์ล่วงไปได้โดยยากอย่างยิ่ง, เมื่อพวก

ข้าพระองค์ได้ยินวาจามิใช่ของสัตบุรุษของพวกพาล, หูทั้งสองเป็นประ-

หนึ่งว่าถึงอาการแตกทำลาย, ใครๆ ก็ไม่ละอายแก่ใครๆ , เพราะเหตุนั้น

พวกข้าพระองค์ จึงไม่ให้พระองค์เสด็จเข้าภายในพระนคร, ถึงพวก

ข้าพระองค์ก็ไม่อาจออกจากเรือน."

คนพาลกับคนฉลาดมีอาการต่างกัน

พระศาสดา ทรงสดับถ้อยคำของอริยสาวกเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า

" กิริยาของพวกผู้มีปัญญาทราม ย่อมเป็นเช่นนี้, ส่วนผู้มีปัญญาทั้งหลาย

รักษาความไม่ประมาทไว้เหมือนทรัพย์อันเป็นสาระ ย่อมบรรลุสมบัติคือ

อมตมหานิพพาน"

ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-

. ปมาทมนุยุญฺชนฺติ พาลา ทุมฺเมธิโน ชนา

อปฺปมาทญฺจ เมธาวี ธนํ เสฏฺฐํว รกฺขติ.

มา ปมาทมนุยุญฺเชถ มา กามรติสนฺถวํ

อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปฺโปติ วิปุลํ สุขํ.

"พวกชนพาลผู้มีปัญญาทราม ย่อมประกอบ

เนืองๆ ซึ่งความประมาท, ส่วนผู้มีปัญญา

ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้เหมือนทรัพย์อัน

ประเสริฐ, ท่านทั้งหลายอย่าตามประกอบความ

ประมาท, อย่าตามประกอบความเชยชิดด้วย

ความยินดีในกาม; เพราะว่าผู้ไม่ประมาทแล้ว

เพ่งพินิจอยู่ ย่อมบรรลุสุขอันไพบูลย์."

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาลา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความเป็น

ชนพาล คือผู้ที่ไม่รู้จักประโยชน์ในโลกนี้และโลกหน้า.

บทว่า ทุมฺเมธิโน คือไร้ปัญญา. พวกชนพาลนั้น เมื่อไม่เห็น

โทษในความประมาท ชื่อว่าย่อมประกอบเนืองๆ ซึ่งความประมาท คือ

ว่า ย่อมให้กาลล่วงไปด้วยความประมาท.

บทว่า เมธาวี เป็นต้น ความว่า ส่วนบัณฑิตผู้ประกอบด้วย

ปัญญาอันรุ่งเรืองในธรรม ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้เหมือนทรัพย์

คือ รัตนะ ๗ ประการ อันประเสริฐ คือสูงสุด ซึ่งสืบเนืองมาแต่วงศ์

ตระกูล. อธิบายว่า เหมือนอย่างว่า ชนทั้งหลายเมื่อเห็นอานิสงส์ในทรัพย์

ว่า "เราทั้งหลาย อาศัยทรัพย์อันสูงสุด จักถึงสมบัติคือกามคุณ จักทำ

ทางเป็นที่ไปสู่ปรโลกให้หมดจดได้," ย่อมรักษาทรัพย์นั้นไว้ฉันใด; แม้

บัณฑิตก็ฉันนั้น เมื่อเห็นอานิสงส์ในความไม่ประมาทว่า "ชนผู้ไม่ประ-

มาทแล้ว ย่อมได้เฉพาะซึ่งฌานทั้งหลาย มีปฐมฌานเป็นต้น ย่อมบรรลุ

โลกุตรธรรมมีมรรคและผลเป็นต้น ย่อมยังวิชชา ๓ (และ) อภิญญา ๖๑

ให้ถึงพร้อมได้." ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้เหมือนทรัพย์อันประเสริฐ.

๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้, ทิพโสต หูทิพย์, เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่น. ปุพเพนิวา-

สานุสสติ ระลึกชาติได้, ทิพยจักขุ ตาทิพย์, อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น, รวมเป็น

อภิญญา ๖. ๓ ข้อเบื้องปลาย เรียกว่า วิชชา ๓ ก็ได้.

บทว่า มา ปมาทํ ความว่า เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่าตาม

ประกอบความประมาท คืออย่าให้กาลล่วงไปด้วยความประมาท.

บาทคาถาว่า มา กามรติสนฺถวํ ความว่า อย่าตามประกอบ คือ

อย่าคิด ได้แก่ อย่าได้เฉพาะแม้ซึ่งความเชยชิดด้วยอำนาจแห่งตัณหา กล่าว

คือ ความยินดีในวัตถุกามและกิเลสกาม.

บทว่า อปฺปมฺโต หิ เป็นต้น ความว่า เพราะว่าบุคคลผู้ไม่

ประมาทแล้ว โดยความเป็นผู้มีสติตั้งมั่น เพ่งอยู่ ย่อมบรรลุนิพพาน-

สุขอันไพบูลย์ คือโอฬาร.

ในกาลจบคาถา ชนเป็นอันมาก ได้เป็นอริยบุคคลมีพระโสดาบัน

เป็นต้น. เทศนามีประโยชน์แก่มหาชนแล้ว ดังนี้แล.

เรื่องพาลนักษัตร จบ.



ความคิดเห็น 1    โดย nopwong  วันที่ 26 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย nong  วันที่ 26 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย paderm  วันที่ 26 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย jaturong  วันที่ 1 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ