ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๓
~ พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งใครเลยทั้งสิ้นให้เป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่พระธรรมวินัยทั้งหมดเป็นศาสดาแทนพระองค์ ด้วยเหตุนี้ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทที่เป็นภิกษุ แต่พุทธบริษัททั้งหมดควรที่จะศึกษาเข้าใจ
~ ความกตัญญูต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออย่างไร? กล่าวคำของพระองค์ให้เป็นที่รู้ที่เข้าใจ เพราะพระพุทธประสงค์ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออย่างเดียว คือ อนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ทางที่จะกตัญญูต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ กล่าวพระธรรมวินัยตามที่ได้ทรงแสดงให้คนอื่นได้เข้าใจว่า นี่คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ทุกขณะ ทุกสมัย เปลี่ยนไม่ได้เลย นี่คือธรรมสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เอง และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ยากที่ใครจะรู้ได้ ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ไม่เปลี่ยนเลย
** ~ บุคคลผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าแล้ว รู้สภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงว่าสภาพธรรมทั้งหมดที่จะเกิดได้ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีอดีตกุศลที่ได้กระทำแล้ว การที่จะได้ลาภ วัตถุที่ประณีตต่างๆ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ หรือว่าถ้าไม่มีอดีตอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว การที่จะเสื่อมลาภหรือว่าสิ่งที่ท่านเคยมีก็สูญหายไป ก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน***
~ ทุกท่านจะต้องประสบกับโลกธรรมทั้ง ๒ ฝ่าย (ฝ่ายเจริญและฝ่ายเสื่อม) อยู่เสมอ แต่จะรับโลกธรรมอย่างไรเพื่อจะให้ปลอดภัย ไม่หวั่นไหว ไม่ทุกข์นัก? เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นทุกข์น้อยลง ก็ด้วยการที่ปัญญาเกิดรู้ชัดในสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น
~ แต่ละอย่างก็มีลักษณะเฉพาะของตนๆ ใครก็เปลี่ยนแปลง และบังคับบัญชาไม่ได้ นั่นคือความหมายของคำว่า "ธาตุ" หรือ "ธรรม" เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เมื่อใดที่เกิดขึ้น หมายความว่าต้องมีปัจจัยปรุงแต่งเป็นปัจจัยให้สิ่งนั้นเกิด แล้วดับ นี่คือ ความหมายของสภาพธรรมซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาจะให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วจะไม่ให้ดับก็ไม่ได้ จะเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นก็ไม่ได้
~ จะพิจารณาได้ว่าท่านขาดเมตตาไหม โดยการที่ว่าท่านมีความผูกโกรธบุคคลหนึ่งบุคคลใดไว้หรือเปล่า? เป็นเครื่องพิสูจน์สภาพจิตของท่านว่าเป็นกุศลหรืออกุศลมากน้อยเท่าไร? ไม่ได้คิดเลยว่าจะโกรธอย่างรุนแรง แต่ก็อาจจะเกิดความโกรธอย่างรุนแรงเมื่อมีปัจจัยให้เกิดขึ้น แสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทั้งหลาย
~ ถ้าใครรู้จักว่าความโกรธที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง เมื่อมีปัจจัยของความโกรธ ความโกรธก็เกิดขึ้น ยับยั้งบังคับบัญชาไม่ได้ นี่คือผู้ที่รู้จักความโกรธตามความเป็นจริง มีมากไหมผู้ที่รู้จักความโกรธตามความเป็นจริงอย่างนี้ คือ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
*** ~ เวลาปกติธรรมดาที่กิเลสครอบงำไม่ได้ก็อย่างหนึ่ง แต่เวลาที่กิเลสครอบงำมากๆ และปรากฏอาการออกมาให้เห็นภายนอก เหมือนปีศาจเข้าสิงไหม? เมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น กิริยาวาจาก็เรียบร้อยละมุนละไม แต่พอลุแก่อำนาจของกิเลสเข้า ไม่ผิดกับปีศาจเข้าสิง ทั้งกาย ทั้งวาจา ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไป***
~ อวิชชามีมากมายและมีกำลังมากจนเกิดขึ้นบ่อย ทำให้สติมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อย เพราะสะสมมาน้อยกว่าการสะสมของอวิชชา เพราะฉะนั้น การละกิเลส การขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เรื่องเร็ว แต่เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจจริงๆ ในข้อปฏิบัติและต้องรู้จริงๆ ว่าปัญญาที่เกิดขึ้นเท่านั้นที่จะละคลายและดับกิเลสได้ ถ้าปัญญายังไม่เกิด ก็ต้องอบรมไปจนกว่าปัญญาจะเกิด
~ สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดต่อไป ทันทีที่จุติจิตเกิดแล้วดับไป ซึ่งหมายความถึงความตายที่เป็นสมมติมรณะนั้น ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที เพราะว่ามีปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นแต่ละขณะสืบต่อกันโดยไม่มีระหว่างคั่น การเกิดสืบต่อของสังขารธรรมทั้งหลาย เป็นไปอยู่ทุกขณะในภพชาตินี้ ฉันใด ในภพหน้าชาติหน้า ก็ฉันนั้น เมื่อจุติจิตของชาตินี้ดับไป มีปัจจัยที่จะให้ปฏิสนธิจิตเกิด ปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น
~ ปัญญาเท่านั้นที่จะนำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นกุศล เริ่มตั้งแต่ได้ฟังพระธรรม ได้รู้ว่าไม่ใช่เรา ทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปี ทุกชาติ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่มีเราเลย เกิดขึ้นและดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก และสามารถจะรู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา แต่ด้วยความเข้าใจจากการฟัง ไตร่ตรอง และผู้นั้นก็รู้เองว่าเข้าใจจริงๆ หรือเปล่าว่านี่เป็นธรรม ไม่มีใครเลย
*** ~ เมื่อต้องตาย อาจจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้หรือเดือนหน้าหรือปีหน้าก็ได้ ทำไมไม่ทำความดีหรือว่าไม่เริ่มฟังธรรมให้เข้าใจให้ถูกต้อง เพราะจะเป็นที่พึ่งต่อไป เหมือนสาวกในอดีตกาลท่านได้ฟังธรรมท่านได้สะสมความเข้าใจธรรมจนในที่สุดท่านก็รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ก็คือ ไม่รู้ต่อไปซึ่งจะเป็นเหตุให้เป็นอกุศลต่อไป***
*** ~ ตายแล้วก็เกิดอีก แล้วก็หวังจะเกิดดีๆ แต่เป็นไปได้ไหม ถ้าเป็นผลของกรรมที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผลของกรรมที่ไม่ดี เห็นนกไหม เห็นงูไหม เห็นปลาไหม ก่อนนั้นก็เป็นคนได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น จะจากโลกนี้ไป เดี๋ยวนี้ก็ได้ ไปไหนก็แล้วแต่กรรมหนึ่งเป็นปัจจัยพร้อมที่จะให้ผลเกิดขึ้น ก็จะเป็นไปตามกรรม เพราะฉะนั้นที่เราใช้คำว่า ตามบุญตามกรรมนี้ก็ถูก แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า ต้องเข้าใจมากกว่านี้ว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมซึ่งต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย***
*** ~ ชีวิตสั้นมาก อาจจะเป็นแค่เย็นนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ ควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดกับตนเอง คือ สิ่งใดผิดก็ทิ้งเสียและสิ่งใดถูกก็ต้องรีบทำ หมายความว่าไม่รีรอ***
*** ~ ความไม่รู้เป็นเหตุนำมาซึ่งกิเลสความไม่ดีงามทั้งหมด ความทุจริตทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ทั้งหน้าที่การงาน ทั้งเรื่องครอบครัว ทุกอย่างหมด เป็นเพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงว่า ถูกคืออะไร ผิดคืออะไร และธรรมคืออะไร ความจริงคือไม่รู้จักอะไรสักอย่างตั้งแต่เกิด และก็จะไม่รู้ต่อไปจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า***
*** ~ ถ้ามีความรู้ความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทุกอย่างที่ไม่ดีก็จะลดน้อยลง เพราะรู้ว่าเหตุไม่ดีต้องนำมาซึ่งผลไม่ดี แล้วใครจะอยากได้ผลที่ไม่ดี?
~ เห็นเป็นเห็น นกเห็นไหม ปลาเห็นไหม งูเห็นไหม เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่นก เห็นไม่ใช่ปลา เห็นไม่ใช่งู แต่เห็นเป็นธรรมที่มีจริง เอารูปร่างออกหมด บอกได้ไหมว่าอะไรเห็น ไม่มีรูปคน ไม่มีรูปนก ไม่มีรูปงู ไม่มีรูปร่าง แต่มีเห็น
~ ความดี โอกาสไหนเกิดได้หมด แม้แต่การเห็นกัน ก็ยังดีได้ เป็นมิตร เป็นเพื่อนพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๒


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอน้อมกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
กราบอนุโมทนาคุณความดีทุกประการค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
*** ~ ชีวิตสั้นมาก อาจจะเป็นแค่เย็นนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ ควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดกับตนเอง คือ สิ่งใดผิดก็ทิ้งเสียและสิ่งใดถูกก็ต้องรีบทำ หมายความว่าไม่รีรอ***
" ไพเราะ ทุกประโยค
กราบขอบพระพระคุณ
อนุโมทนาค่ะ"
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ
หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา
กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา
อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ