ทุกคนอยากให้กุศลจิตเกิด แต่ทำไมกุศลจิตไม่เกิด ก็เพราะว่าโวฏฐัพพนจิต พิจารณาอารมณ์โดยไม่แยบคาย เป็นปัจจัยให้เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับไปแล้ว อกุศลจิตเกิด ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากให้อกุศลจิตเกิด แต่ยับยั้งไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามจิตที่ทำโวฏฐัพพนกิจที่ตัดสินหรือว่ากำหนดให้จิตต่อไปเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าพิจารณาโดยแยบคาย กุศลจิตก็เกิด ถ้าพิจารณาโดยไม่แยบคาย อกุศลจิตก็เกิด
รับฟัง ...
กิจที่ ๔ - กิจที่ ๑๑
เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับแล้ว ถ้าเป็นอารมณ์ที่กระทบตา กิจต่อไป คือ กิจที่ ๔ ทัสสนกิจ จิตที่ทำกิจนี้เป็นอเหตุกวิบากจิต ได้แก่ จักขุวิญญาณ ๒ ดวง
แสดงให้เห็นว่า อเหตุกจิต ๑๘ ดวง ทำกิจได้ครบทั้ง ๑๔ กิจ คือ
จักขุวิญญาณ ๒ ดวง ทำกิจที่ ๔ คือ ทัสสนกิจ
โสตวิญญาณ ๒ ดวง ทำกิจที่ ๕ คือ สวนกิจ ได้ยินเสียง
ฆานวิญญาณ ๒ ดวง ทำกิจที่ ๖ คือ ฆายนกิจ ได้กลิ่น
ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง ทำกิจที่ ๗ คือ สายนกิจ ลิ้มรส
กายวิญญาณ ๒ ดวง ทำกิจที่ ๘ คือ ผุสสนกิจ รู้อารมณ์ที่กระทบสัมผัสกาย และเมื่อดับไปแล้วก็ถึงกิจที่ ๙ คือ สัมปฏิจฉันนกิจ รับอารมณ์ต่อจาก ทวิปัญจวิญญาณ
เมื่อดับไปแล้วเป็นกิจที่ ๑๐ คือ สันตีรณจิต พิจารณาอารมณ์ที่ สัมปฏิจฉันนจิตรับไว้
ถ้ามีแต่เพียงการเห็น การได้ยินซึ่งเป็นวิบาก ได้แก่ จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะเหล่านี้ คงจะไม่มีความสำคัญอะไร แต่ความสำคัญ คือหลังจากนี้แล้ว กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิด
ทุกคนที่กระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ชอบ ได้ไหม ถ้าอารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ที่น่าพอใจ หรือถ้าอารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ จะให้ไม่เกิดความ ไม่ชอบ ได้ไหม
แสดงให้เห็นว่า ถ้าเพียงเห็นแล้วไม่มีกิเลสเลย ก็สบายมาก ไม่เดือดร้อนอะไรเลย แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม้ว่าวิบากจิตจะเกิดเพราะเป็นผลของกรรมทำให้ได้รู้อารมณ์ที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ดับไปแล้ว แต่ความสำคัญอยู่ที่กุศลจิต ที่จะเกิดต่อ หรืออกุศลจิตที่จะเกิดต่อ แต่ก่อนที่กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิด ต้องมี กิจอีกกิจหนึ่งเกิดต่อจากสันตีรณกิจ คือ โวฏฐัพพนกิจ
ทุกคนอยากให้กุศลจิตเกิด แต่ทำไมกุศลจิตไม่เกิด ก็เพราะว่าโวฏฐัพพนจิต พิจารณาอารมณ์โดยไม่แยบคาย เป็นปัจจัยให้เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับไปแล้ว อกุศลจิตเกิด ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากให้อกุศลจิตเกิด แต่ยับยั้งไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามจิตที่ทำโวฏฐัพพนกิจที่ตัดสินหรือว่ากำหนดให้จิตต่อไปเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าพิจารณา โดยแยบคาย กุศลจิตก็เกิด ถ้าพิจารณาโดยไม่แยบคาย อกุศลจิตก็เกิด
ดังนั้น โวฏฐัพพนกิจ เป็นกิจที่ ๑๑ และจิตที่ทำโวฏฐัพพนกิจ คือ อเหตุกกิริยาจิตอีกดวงหนึ่ง ได้แก่ มโนทวาราวัชชนจิต เวลาที่เกิดทางปัญจทวาร ไม่ได้ทำอาวัชชนกิจ แต่ทำโวฏฐัพพนกิจ
เพราะฉะนั้น มโนทวาราวัชชนจิตมี ๒ กิจ ถ้าเกิดทางปัญจทวารทำ โวฏฐัพพนกิจ ถ้าเกิดทางมโนทวารทำอาวัชชนกิจ เหมือนยามชั้นในที่จะให้กุศลจิต หรืออกุศลจิตเกิดต่อ แต่นี่ยังเป็นปัญจทวารวิถี ยังไม่ใช่มโนทวารวิถี เพราะว่ารูปยัง ไม่ดับ และจะเห็นได้ว่า ก่อนที่กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิด ต้องแล้วแต่จิตที่ทำ โวฏฐัพพนกิจ ซึ่งได้แก่มโนทวาราวัชชนจิตที่เกิดต่อ เป็นกิจที่ ๑๑ [ตอนที่ 1518]
รับฟัง ... กิจของจิต ๑๔ กิจ
มโนทวาราวัชชนจิตมี ๒ กิจ ถ้าเกิดทางปัญจทวารทำ โวฏฐัพพนกิจ ถ้าเกิดทางมโนทวารทำอาวัชชนกิจ เหมือนยามชั้นในที่จะให้กุศลจิต หรืออกุศลจิตเกิดต่อ แต่นี่ยังเป็นปัญจทวารวิถี ยังไม่ใช่มโนทวารวิถี เพราะว่ารูปยัง ไม่ดับ และจะเห็นได้ว่า ก่อนที่กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิด ต้องแล้วแต่จิตที่ทำ โวฏฐัพพนกิจ ซึ่งได้แก่มโนทวาราวัชชนจิตที่เกิดต่อ เป็นกิจที่ ๑๑
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง