หลับตา
โดย wuttichais  13 ธ.ค. 2551
หัวข้อหมายเลข 10671

สวัสดีครับ ผมขอสอบถามว่าขณะทื่หลับตาแล้วเห็นภาพ เห็นสี ขณะที่หลับตาเห็น เป็นจิตเห็นหรือไม่ ขณะที่หลับตาเห็นนะครับ และสิ่งที่ถูกเห็นเป็นรูปารมณ์หรือเปล่า

ขอบคุณครับ



ความคิดเห็น 1    โดย prachern.s  วันที่ 14 ธ.ค. 2551
จิตที่รู้ทางตา เป็นจิตเห็น (จักขุวิญญาณ) สิ่งที่ถูกเห็นเป็นรูปารมณ์ จะเป็นสิ่งอื่นไม่ได้

ความคิดเห็น 2    โดย pannipa.v  วันที่ 15 ธ.ค. 2551

ขณะที่หลับตาแล้วเห็นภาพ เห็นสีได้หรือ? ขณะที่หลับตาเป็นจิตเห็นได้หรือ? ขอเรียนถามต่อค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย พุทธรักษา  วันที่ 15 ธ.ค. 2551

ลองพิจารณาจากชีวิตจริงดูนะคะ

เวลาหลับ แล้วฝันว่า เห็นสิ่งต่างๆ ในความฝันต่างกับขณะที่ เห็นแล้วคิดว่าเห็นอะไร ตอนที่ตื่น หรือไม่ อย่างไรคะ เวลาที่ฝันเห็นสิ่งต่างๆ นั้นเป็นความคิด จากสิ่งที่เคยจำได้ หรือเปล่าคะ ลองหลับตาลง แล้วลองพิจารณาดูว่าอะไรกำลังปรากฏ ให้จิตรู้ในขณะนั้นบ้างคะ

ขออนุโมทนา

แล้วขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนากันต่อไป เพื่อความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อไปนะคะ


ความคิดเห็น 4    โดย prachern.s  วันที่ 16 ธ.ค. 2551

ขอสนทนาต่อกับความเห็นที่ ๒ ครับขณะที่เราลืมตา มีแสงสว่างเห็นภาพต่างๆ แต่ถ้าไปในที่มืดไม่มีแสงเลย ตาก็เห็นแต่ความมืด ขณะที่หลับตา หรือมีคนมาปิดตาเรา ตาก็เห็นความมืด หรือขณะหลับตาในสถานที่มีแสงสว่างมากๆ กลางแดดจ้า หรือใช้ไฟส่องที่ตา ตาก็จะเห็นแสง สรุปคือ ความมืด แสงลางๆ ที่ตาเห็นเป็นสี หรือรูปารมณ์ทั้งหมดแต่ไม่ได้เห็นภาพเป็นรายละเอียด ส่วนสภาพที่เห็น เป็นจิต ดังนั้นขณะหลับตาจิตเห็นก็เกิดได้ครับ


ความคิดเห็น 5    โดย สุภาพร  วันที่ 16 ธ.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย สุภาพร  วันที่ 16 ธ.ค. 2551

ขอเรียนถามอาจารย์ PRACHERN.S จากการอ่านสนทนาข้อคิดเห็นที่ 4 และได้ทดลองหลับตา จักรู้ว่า ขณะที่หลับตาในที่มืด ก็จะมีแต่ความมืด ถ้าหลับตาที่ที่มีแสงจ้า ก็จะมีความสว่าง คือเป็นสิ่งที่เป็นจริงตามที่ได้ศึกษามาใช่ไหมคะ ว่าแท้จริงแล้วตา (จักขุปสาท) จิตเห็นรูปารมณ์เป็นสีเท่านั้น หลังจากเห็นแล้วคิดนึกทางใจต่อให้รู้ถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาว่ามีรูปร่างสัณฐานอย่างใด เป็นสิ่งใดใช่ไหมค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย prachern.s  วันที่ 16 ธ.ค. 2551

ถูกแล้วครับ

สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แต่จิตคิดถึงรูปร่างสันฐาน เป็นสิ่งต่างๆ


ความคิดเห็น 8    โดย สุภาพร  วันที่ 16 ธ.ค. 2551
ขออนุโมทนาและขอขอบพระคุณค่ะ

ความคิดเห็น 9    โดย pannipa.v  วันที่ 19 ธ.ค. 2551

ขอบคุณ และอนุโมทนา ค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย wuttichais  วันที่ 20 ธ.ค. 2551

ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่าน จากข้อความด้านบน สรุปว่า ขณะที่หลับตาจิตเห็นสีเป็นจิตประเภทหนึ่ง ขณะที่จิตคิดนึกเป็นเรื่องราวก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง (หมายเอาขณะหลับตา) ใช่ไหมครับ


ความคิดเห็น 11    โดย suwit02  วันที่ 20 ธ.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย ajarnkruo  วันที่ 21 ธ.ค. 2551

ไม่ใช่เพียงขณะหลับตาครับ ขณะนี้นี่เอง กำลังเห็นหรือกำลังคิดนึก ปริยัติแสดงไว้ว่าจิตเห็นกับจิตที่คิดนึกทางใจ เป็นจิตคนละประเภทกัน เกิดต่างวาระกัน ไม่เกิดพร้อมกันแต่การจะรู้ความจริงที่มากกว่าขั้นศึกษาตามเรื่องราวของธรรมนั้น ต้องเป็นไปในขณะที่สติปัฏฐานเกิดครับ ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด โลกทางตาก็ยังปรากฏเหมือนกับว่าเห็นตลอดไม่รู้ว่าคิดนึกเกิดตอนไหน เหมือนปนกับโลกอื่นๆ ด้วย เช่น แข็งหรือเสียงปรากฏ ฯลฯ เหตุนี้ การพิสูจน์ความจริงที่กล่าวมา จึงยังเป็นขั้นของการคิด พิจารณาตาม เพื่อให้ได้เหตุผลที่ถูกต้องตามธรรมที่ได้เรียนในขั้นเข้าใจครับ แต่ยังไม่ใช่การระลึกรู้ว่าเป็นธรรมจริงๆ เหมือนอย่างในขณะสติปัฏฐานเกิด ถ้าสติไม่เกิด การพิสูจน์ก็เป็นเราพิสูจน์ แยกก็เป็นเราแยก หลับตาก็เป็นเราหลับตา มืดก็เป็นเราเห็นความมืด สว่างก็เป็นเราเห็นความสว่าง คิดว่าเป็นจิตก็เป็นเราคิดว่าเป็นจิต จนกว่าสติปัฏฐานจะเกิดแล้วระลึกรู้ได้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เราครับ

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย paderm  วันที่ 21 ธ.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขณะที่เห็น เป็นจิตเห็น รูปเห็นไม่ได้เพราะไม่ใช่สภาพรู้ ขณะที่เห็น ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น สิ่งที่ถูกเห็นเป็นรูป ยังไม่มีรูปร่างเป็นเพียงสีเท่านั้น คนที่หลับตา ตาไม่บอด ย่อมต่างกับคนตาบอด เพราะคนตาบอด จักขุปสาทไม่เกิด ก็ไม่มีทางเกิดจิตเห็นได้เลย ต่างกับคนที่ตาไม่บอด แม้หลับตาก็ยังเห็นสี จิตเห็นย่อมเกิดขึ้นได้ครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 14    โดย pornpaon  วันที่ 28 ธ.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 15    โดย คุณ  วันที่ 21 มี.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 16    โดย wuttichais  วันที่ 4 ส.ค. 2552

สาธุ


ความคิดเห็น 17    โดย thilda  วันที่ 1 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 18    โดย chatchai.k  วันที่ 28 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ