๙. พลกถา ว่าด้วยพลธรรม
โดย บ้านธัมมะ  26 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40972

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 607

ยุคนัทธวรรค

๙. พลกถา

ว่าด้วยพลธรรม หน้า 607

อรรถกถาพลกถา หน้า 617


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 607

ยุคนัทธวรรค

พลกถา

ว่าด้วยพลธรรม

สาวัตถีนิทาน

[๖๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พละ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือสัทธาพละ วิริยพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พละ ๕ ประการนี้แล.

อีกอย่างหนึ่ง พละ ๖๘ ประการ คือสัทธาพละ วิริยพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ ปฏิสังขานพละ ภาวนาพละ อนวัชชพละ สังคาหพละ ขันติพละ ปัญญัตติพละ นิชฌัตติพละ อิสริยพละ อธิษฐานพละ สมถพละ วิปัสสนาพละ เสกขพละ ๑๐ อเสกขพละ ๑๐ ขีณาสวพละ ๑๐ อิทธิพละ ๑๐ ตถาคตพละ ๑๐.

[๖๒๒] สัทธาพละเป็นไฉน ชื่อว่า สัทธาพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในความไม่ศรัทธา เพราะความว่า อุปถัมภ์สหชาตธรรม เพราะความว่า ครอบงำกิเลสทั้งหลาย เพราะความว่า เป็นความสะอาดในเบื้องต้นแห่งปฏิเวธ เพราะความว่า เป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิต เพราะความว่า เป็นที่ผ่องแผ้วแห่งจิต เพราะความว่า เป็นเครื่องบรรลุคุณวิเศษ เพราะความว่า แทงตลอดธรรมที่ยิ่ง เพราะความว่า ตรัสรู้สัจจะ เพราะความว่า ให้การกบุคคลตั้งอยู่เฉพาะในนิโรธ นี้เป็นสัทธาพละ.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 608

วิริยพละเป็นไฉน ชื่อว่า วิริยพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้าน เพราะความว่า อุปถัมภ์สหชาตธรรม ฯ เพราะความว่า ให้การกบุคคลตั้งอยู่เฉพาะในนิโรธ นี้เป็นวิริยพละ.

สติพละเป็นไฉน ชื่อว่า สติพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในความประมาท เพราะความว่า อุปถัมภ์สหชาตธรรม ฯ เพราะความว่า ให้การกบุคคลตั้งอยู่เฉพาะในนิโรธ นี้เป็นสติพละ.

สมาธิพละเป็นไฉน ชื่อว่า สมาธิพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ เพราะความว่า อุปถัมภ์สหชาตธรรม ฯ เพราะความว่า ให้การกบุคคลตั้งอยู่เฉพาะในนิโรธ นี้เป็นสมาธิพละ.

ปัญญาพละเป็นไฉน ชื่อว่า ปัญญาพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในอวิชชา เพราะความว่า อุปถัมภ์สหชาตธรรม ฯ เพราะความว่า ให้การกบุคคลตั้งอยู่เฉพาะในนิโรธ นี้เป็นปัญญาพละ.

[๖๒๓] หิริพละเป็นไฉน ชื่อว่า หิริพละ เพราะอรรถว่า ละอายกามฉันทะด้วยเนกขัมมะ ละอายพยาบาทด้วยความไม่พยาบาท ละอายถีนมิทธะด้วยอาโลกสัญญา ละอายอุทธัจจะด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ละอายวิจิกิจฉาด้วยธรรมววัตถาน ละอายอวิชชาด้วยญาณ ละอายอรติด้วยความปราโมทย์ ละอายนิวรณ์ด้วยปฐมฌาน ฯ ละอายสรรพกิเลสด้วยอรหัตมรรค นี้เป็นหิริพละ.

โอตตัปปพละเป็นไฉน ชื่อว่า โอตตัปปพละ เพราะอรรถว่า เกรงกลัวกามฉันทะด้วยเนกขัมมะ ฯ เกรงกลัวสรรพกิเลสด้วยอรหัตมรรค นี้เป็นโอตตัปปพละ.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 609

ปฏิสังขานพละเป็นไฉน ชื่อว่า ปฏิสังขานพละ เพราะอรรถว่า พิจารณากามฉันทะด้วยเนกขัมมะ ฯ พิจารณาสรรพกิเลสด้วยอรหัตมรรค นี้เป็นปฏิสังขานพละ.

[๖๒๔] ภาวนาพละเป็นไฉน ชื่อว่า ภาวนาพละ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรเมื่อละกามฉันทะย่อมเจริญเนกขัมมะ เมื่อละพยาบาทย่อมเจริญความไม่พยาบาท ฯ เมื่อละสรรพกิเลสย่อมเจริญอรหัตมรรค นี้เป็นภาวนาพละ.

อนวัชชพละเป็นไฉน ชื่อว่า อนวัขชพละ เพราะอรรถว่า ในเนกขัมมะไม่มีโทษน้อยหนึ่ง เพราะละกามฉันทะได้แล้ว ในความไม่พยาบาทไม่มีโทษน้อยหนึ่ง เพราะละพยาบาทได้แล้ว ฯ ในอรหัตมรรคไม่มีโทษน้อยหนึ่ง เพราะละสรรพกิเลสได้แล้ว นี้เป็นอนวัชชพละ.

สังคาหพละเป็นไฉน ชื่อว่า สังคาหพละ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรเมื่อละกามฉันทะ ย่อมสะกดจิต (ผูกจิต) ไว้ด้วยอำนาจเนกขัมมะ เมื่อละพยาบาท ย่อมสะกดจิตไว้ด้วยอำนาจความไม่พยาบาท ฯ เมื่อละสรรพกิเลส ย่อมสะกดจิตไว้ด้วยอำนาจอรหัตมรรค นี้เป็นสังคาหพละ.

[๖๒๕] ขันติพละเป็นไฉน ชื่อว่า ขันติพละ เพราะอรรถว่า เนกขัมมะย่อมอดทนเพราะละกามฉันทะได้แล้ว ความไม่พยาบาทย่อมอดทนเพราะละพยาบาทได้แล้ว ฯ อรหัตมรรคย่อมอดทน เพราะละสรรพกิเลสได้แล้ว นี้เป็นขันติพละ.

ปัญญัตติพละเป็นไฉน ชื่อว่า ปัญญัตติพละ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรเมื่อละกามฉันทะ ย่อมตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจเนกขัมมะ เมื่อละพยาบาท ย่อมตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจความไม่พยาบาท ฯ เมื่อละสรรพกิเลส ย่อมตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจอรหัตมรรค นี้เป็นปัญญัตติพละ.


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 610

นิชฌัตติพละเป็นไฉน ชื่อว่า นิชฌัตติพละ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรเมื่อละกามฉันทะ ย่อมเพ่งจิตด้วยอำนาจเนกขัมมะ เมื่อละพยาบาท ย่อมเพ่งจิตด้วยอำนาจความไม่พยาบาท ฯ เมื่อละสรรพกิเลส ย่อมเพ่งจิตด้วยอำนาจอรหัตมรรค นี้เป็นนิชฌัตติพละ.

อิสริยพละเป็นไฉน ชื่อว่า อิสริยพละ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรเมื่อละกามฉันทะ ย่อมบังคับจิตให้เป็นไปตามอำนาจด้วยสามารถเนกขัมมะ เมื่อละพยาบาท ย่อมบังคับจิตให้เป็นไปตามอำนาจด้วยสามารถความไม่พยาบาท ฯ เมื่อละสรรพกิเลส ย่อมบังคับจิตให้เป็นไปตามอำนาจด้วยสามารถอรหัตมรรค นี้เป็นอิสริยพละ.

อธิษฐานพละเป็นไฉน ชื่อว่า อธิฐานพละ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรเมื่อละกามฉันทะ ย่อมอธิษฐานจิตด้วยสามารถเนกขัมมะ เมื่อละพยาบาท ย่อมอธิษฐานจิตด้วยสามารถความไม่พยาบาท ฯ เมื่อละสรรพกิเลส ย่อมอธิษฐานจิตด้วยสามารถอรหัตมรรค นี้เป็นอธิษฐานพละ.

[๖๒๖] สมถพละเป็นไฉน ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถเนกขัมมะ เป็นสมถพละ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความไม่พยาบาท เป็นสมถพละ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถอาโลกสัญญา เป็นสมถพละ ฯ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า เป็นสมถพละ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก เป็นสมถพละ.

ชื่อว่า สมถพละ ในคำว่า สมถพลํ นี้ เพราะอรรถว่ากระไร.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 611

ชื่อว่า สมถพละ เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในนิวรณ์ด้วยปฐมฌาน เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในวิตกวิจารด้วยทุติยฌาน เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในปีติด้วยตติยฌาน เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในสุขและทุกข์ด้วยจตุตถฌาน เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา ด้วยอากาสานัญจายตนสมาบัติ เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในอากาสานัญจายตนสัญญาด้วยวิญญาณัญจายตนสมาบัติ เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในวิญญาณัญจายตนสัญญาด้วยอากิญจัญญายตนสมาบัติ เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในอากิญจัญญายตนสัญญา ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียง ไม่กวัดแกว่งไปในอุทธัจจะ ในกิเลสอันสหรคตด้วยอุทธัจจะและในขันธ์ นี้เป็นสมถพละ.

[๖๒๗] วิปัสสนาพละเป็นไฉน อนิจจานุปัสสนา เป็นวิปัสสนาพละ ทุกขานุปัสสนา เป็นวิปัสสนาพละ ฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนา เป็นวิปัสสนาพละ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป เป็นวิปัสสนาพละ ฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป เป็นวิปัสสนาพละ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯ ในชราและมรณะ เป็นวิปัสสนาพละ การพิจารณาเห็นทุกข์ในชราและมรณะ เป็นวิปัสสนาพละ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ เป็นวิปัสสนาพละ.

ชื่อว่า วิปัสสนาพละ ในคำว่า วิปสฺสนาพลํ นี้ เพราะอรรถว่ากระไร.

ชื่อว่า วิปัสสนาพละ เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในนิจจสัญญาด้วยอนิจจานุปัสสนา เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในสุขสัญญาด้วยทุกขานุปัสสนา เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในอัตตสัญญาด้วยอนัตตานุปัสสนา เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในความเพลิดเพลินด้วยนิพพิทานุปัสสนา เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในราคะด้วยวิราคานุปัสสนา


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 612

เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในสมุทัยด้วยนิโรธานุปัสสนา เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวในความถือมั่นด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนา เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียง ไม่กวัดแกว่งไปในอวิชชา ในกิเลสอันสหรคตด้วยอวิชชา และในขันธ์ นี้เป็นวิปัสสนาพละ.

[๖๒๘] เสกขพละ ๑๐ อเสกขพละ ๑๐ เป็นไฉน ชื่อว่า เสกขพละ เพราะพระเสขะยังต้องศึกษาสัมมาทิฏฐิ ชื่อว่า อเสกขพละ เพราะพระอเสขะศึกษาในสัมมาทิฏฐินั้นเสร็จแล้ว ชื่อว่า เสกขพละ เพราะพระเสขะยังต้องศึกษาสัมมาสังกัปปะ ชื่อว่า อเสกขพละ เพราะพระอเสขะศึกษาในสัมมาสังกัปปะนั้นเสร็จแล้ว ชื่อว่า เสกขพละ เพราะพระเสขะยังต้องศึกษาสัมมาวาจา ฯ สัมมากัมมันตะ ฯ สัมมาอาชีวะ ฯ สัมมาวายามะ ฯ สัมมาสติ ฯ สัมมาสมาธิ ฯ สัมมาญาณ ฯ สัมมาวิมุตติ ชื่อว่า อเสกขพละ เพราะพระอเสขะศึกษาในสัมมาวาจา ฯ สัมมากัมมันตะ ฯ สัมมาอาชีวะ ฯ สัมมาวายามะ ฯ สัมมาสติ ฯ สัมมาสมาธิ ฯ สัมมาญาณ ฯ สัมมาวิมุตตินั้นเสร็จแล้ว เหล่านี้เป็นเสกขพละ ๑๐ อเสกขพละ ๑๐.

[๖๒๙] ขีณาสวพละ ๑๐ เป็นไฉน ภิกษุขีณาสพในศาสนานี้ เป็นผู้เห็นด้วยดีซึ่งสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แม้ข้อที่ภิกษุขีณาสพเป็นผู้เห็นด้วยดีซึ่งสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยงด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง นี้เป็นกำลังของภิกษุขีณาสพ ซึ่งภิกษุขีณาสพได้อาศัยปฏิญาณความสิ้นอาสวะว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปแล้ว.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุขีณาสพเป็นผู้เห็นด้วยดีซึ่งกามทั้งหลายว่าเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง แม้ข้อที่ภิกษุขีณาสพ เห็นด้วยดีซึ่งกามทั้งหลายว่า เปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง ด้วยปัญญาอันชอบตาม


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 613

ความเป็นจริง นี้ก็เป็นกำลังของภิกษุขีณาสพ ซึ่งภิกษุขีณาสพได้อาศัยปฏิญาณความสิ้นอาสวะว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปแล้ว.

อีกประการหนึ่ง จิตของภิกษุขีณาสพเป็นธรรมชาติโน้มไป น้อมไป เอนไปในวิเวก ตั้งอยู่ในวิเวก ยินดีในเนกขัมมะ สิ้นสูญไปจากธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการทั้งปวง แม้ข้อที่จิตของภิกษุขีณาสพเป็นธรรมชาติโน้มไป น้อมไป เอนไปในวิเวก ตั้งอยู่ในวิเวก ยินดีในเนกขัมมะ สิ้นสูญไปจากธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการทั้งปวง นี้ก็เป็นกำลังของภิกษุขีณาสพ ซึ่งภิกษุขีณาสพได้อาศัยปฏิญาณความสิ้นอาสวะว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปแล้ว.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุขีณาสพเป็นผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ เจริญดีแล้ว แม้ข้อที่ภิกษุขีณาสพเป็นผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ เจริญดีแล้ว นี้ก็เป็นกำลังของพระขีณาสพ ซึ่งพระขีณาสพได้อาศัยปฏิญาณความสิ้นอาสวะว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปแล้ว.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุขีณาสพเป็นผู้เจริญสัมมัปปธาน ๔ ฯ อิทธิบาท ๔ ฯ อินทรีย์ ๕ ฯ พละ ๕ ฯ โพชฌงค์ ๗ ฯ อริยมรรคมีองค์ ๘ เจริญดีแล้ว แม้ข้อที่ภิกษุขีณาสพเป็นผู้เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ เจริญดีแล้ว นี้ก็เป็นกำลังของภิกษุขีณาสพ ซึ่งภิกษุขีณาสพได้อาศัยปฏิญาณความสิ้นอาสวะว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปแล้ว นี้เป็นกำลังของพระขีณาสพ (ขีณาสวพละ) ๑๐.

[๖๓๐] อิทธิพละ ๑๐ เป็นไฉน ฤทธิ์เพราะการอธิษฐาน ๑ ฤทธิ์ที่แผลงได้ต่างๆ ๑ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ ๑ ฤทธิ์ที่แผ่ไปด้วยญาณ ๑ ฤทธิ์ที่แผ่ไปด้วยสมาธิ ๑ ฤทธิ์ของพระอริยะ ๑ ฤทธิ์ที่เกิดแต่ผลกรรม ๑ ฤทธิ์ของ


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 614

ท่านผู้มีบุญ ๑ ฤทธิ์ที่สำเร็จมาแต่วิชชา ๑ ฤทธิ์ด้วยความว่าสำเร็จเพราะเหตุแห่งการประกอบโดยชอบในส่วนนั้นๆ ๑ เหล่านี้เป็นอิทธิพละ ๑๐.

[๖๓๑] ตถาคตพละ ๑๐ เป็นไฉน พระตถาคตในโลกนี้ย่อมทรงทราบซึ่งฐานะโดยเป็นฐานะและอฐานะโดยเป็นอฐานะตามความเป็นจริง แม้ข้อที่พระตถาคตทรงทราบฐานะโดยเป็นฐานะและอฐานะโดยเป็นอฐานะตามความเป็นจริง นี้เป็นกำลังของพระตถาคต ซึ่งพระตถาคตได้ทรงอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก (ของผู้องอาจ) บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร.

อีกประการหนึ่ง พระตถาคตย่อมทรงทราบซึ่งผลแห่งกรรมสมาทานทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน โดยฐานะ โดยเหตุ ตามความเป็นจริง แม้ข้อที่พระตถาคตทรงทราบซึ่งผลแห่งกรรมสมาทาน ทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคต และปัจจุบัน โดยฐานะ โดยเหตุ ตามความเป็นจริง นี้ก็เป็นกำลังของพระตถาคต ฯ.

อีกประการหนึ่ง พระตถาคตย่อมทรงทราบปฏิปทาเครื่องให้ถึงประโยชน์ทั้งปวงตามความเป็นจริง แม้ข้อที่พระตถาคตทรงทราบปฏิปทาเครื่องให้ถึงประโยชน์ทั้งปวงตามความเป็นจริง นี้ก็เป็นกำลังของพระตถาคต ฯ.

อีกประการหนึ่ง พระตถาคตย่อมทรงทราบโลกธาตุต่างๆ โดยความเป็นอเนกธาตุและนานาธาตุตามความเป็นจริง แม้ข้อที่พระตถาคตทรงทราบโลกธาตุต่างๆ โดยความเป็นอเนกธาตุและนานาธาตุตามความเป็นจริง นี้ก็เป็นกำลังของพระตถาคต ฯ.

อีกประการหนึ่ง พระตถาคตย่อมทรงทราบความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีอัธยาศัยต่างๆ กันตามความเป็นจริง แม้ข้อที่พระตถาคตทรงทราบความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีอัธยาศัยต่างๆ กันตามความเป็นจริง นี้ก็เป็นกำลังของพระตถาคต ฯ.


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 615

อีกประการหนึ่ง พระตถาคตย่อมทรงทราบความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ ของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่น ตามความเป็นจริง แม้ข้อที่พระตถาคตทรงทราบความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ ของสัตว์อื่นและบุคคลอื่น ตามความเป็นจริง นี้ก็เป็นกำลังของพระตถาคต ฯ.

อีกประการหนึ่ง พระตถาคตย่อมทรงทราบความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว ความออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิและสมาบัติ ตามความเป็นจริง แม้ข้อที่พระตถาคตทรงทราบความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว ความออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิและสมาบัติ ตามความเป็นจริง นี้ก็เป็นกำลังของพระตถาคต ฯ.

อีกประการหนึ่ง พระตถาคตย่อมทรงระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้เป็นอันมาก คือชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯ ย่อมทรงระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการดังนี้ แม้ข้อที่ พระตถาคตทรงระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้เป็นอันมาก คือชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯ นี้ก็เป็นกำลังของพระตถาคต ฯ.

อีกประการหนึ่ง พระตถาคตทรงพิจารณาเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ แม้ข้อที่พระตถาคตทรงพิจารณาเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ นี้ก็เป็นกำลังของพระตถาคต ฯ.

อีกประการหนึ่ง พระตถาคตทรงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ แม้ข้อที่พระตถาคตทรงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึง


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 616

อยู่ นี้ก็เป็นกำลังของพระตถาคต ซึ่งพระตถาคตได้ทรงอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก (ผู้องอาจ) บันลือสีหนาทในบริษัท ประกาศพรหมจักร เหล่านี้เป็นตถาคตพละ ๑๐.

[๖๓๒] ชื่อว่า สัทธาพละ ชื่อว่า วิริยพละ ชื่อว่า สติพละ ชื่อว่า สมาธิพละ ชื่อว่า ปัญญาพละ ชื่อว่า หิริพละ ชื่อว่า โอตตัปปพละ ชื่อว่า ปฏิสังขานพละ ฯ ชื่อว่า ตถาคตพละ เพราะอรรถว่ากระไร.

ชื่อว่า สัทธาพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ชื่อว่า วิริยพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้าน ชื่อว่า สติพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในความประมาท ชื่อว่า สมาธิพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ ชื่อว่า ปัญญาพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในอวิชชา ชื่อว่า หิริพละ เพราะอรรถว่า ละอายอกุศลธรรมอันลามก ชื่อว่า โอตตัปปพละ เพราะอรรถว่า เกรงกลัวอกุศลธรรมอันลามก ชื่อว่า ปฏิสังขานพละ เพราะอรรถว่า พิจารณากิเลสทั้งหลายด้วยญาณ ชื่อว่า ภาวนาพละ เพราะอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนา (ในเนกขัมมะเป็นต้น) นั้นมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า อนวัชชพละ เพราะอรรถว่า ในเนกขัมมะนั้นไม่มีโทษน้อยหนึ่ง ชื่อว่า สังคาหพละ เพราะอรรถว่า พระโคจรย่อมสะกดจิตไว้ด้วยเนกขัมมะเป็นต้นนั้น ชื่อว่า ขันติพละ เพราะอรรถว่า เนกขัมมะเป็นต้นย่อมอดทนต่อนิวรณ์มีกามฉันทะเป็นต้น ชื่อว่า ปัญญัตติพละ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรตั้งจิตไว้ด้วยเนกขัมมะเป็นต้น ชื่อว่า นิชฌัตติพละ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรย่อมเพ่งจิตด้วยเนกขัมมะเป็นต้น ชื่อว่า อิสริยพละ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรย่อมให้จิตเป็นไปตามอำนาจด้วยเนกขัมมะเป็นต้น ชื่อว่า อธิษฐานพละ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรย่อมตั้งจิตไว้มั่นด้วยเนกขัมมะเป็นต้น ชื่อว่า สมถพละ เพราะอรรถว่า จิตมีอารมณ์เดียวด้วยเนกขัมมะเป็นต้น ชื่อว่า


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 617

วิปัสสนาพละ เพราะอรรถว่า พระโยคาวจรย่อมพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในภาวนานั้น ชื่อว่า เสกขพละ เพราะอรรถว่า พระเสขะยังต้องศึกษาในสัมมาทิฏฐิเป็นต้นนั้น ชื่อว่า อเสกขพละ เพราะความที่พระอเสขะศึกษาในสัมมาทิฏฐิเป็นต้นนั้นเสร็จแล้ว ชื่อว่า ขีณาสวพละ เพราะอรรถว่า อาสวะทั้งหลายสิ้นไปแล้วด้วยความเห็นด้วยดีนั้น ชื่อว่า อิทธิพละ เพราะอรรถว่า ฤทธิ์ย่อมสำเร็จเพราะการอธิษฐานเป็นต้น เพราะเหตุแห่งการประกอบโดยชอบในส่วนนั้นๆ ชื่อว่า ตถาคตพละ เพราะอรรถว่า เป็นกำลังหาประมาณมิได้ ฉะนี้แล.

จบพลกถา

อรรถกถาพลกถา

บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งพลกถา อันมีพระสูตรเป็นเบื้องต้นอันเป็นประโยชน์แก่โลกุตรกถา ซึ่งพระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ในลำดับต่อจากโลกุตรกถา.

ในพลกถานั้น พระสารีบุตรเถระ ครั้นแสดงพละ ๕ โดยพระสูตรแต่ต้น แล้วมีประสงค์จะแสดงพละแม้อื่นจากพละ ๕ นั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อปิจ อฏฺสฏฺฐิ พลานิ (อีกอย่างหนึ่ง พละ ๖๘ ประการ) ดังนี้ แม้พละ ๖๘ ทั้งหมด ก็ชื่อว่า พละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวโดยภาวะตรงกันข้ามกับพละนั้นๆ.

พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า หิริพลํ (หิริพละ) ดังต่อไปนี้ ชื่อว่า หิริ เพราะเป็นเหตุละอายต่อบาป บทนั้นเป็นชื่อของความละอาย.

ชื่อว่า โอตตัปปะ เพราะเป็นเหตุกลัวต่อบาป บทนั้นเป็นชื่อของความหวาดสะดุ้ง.


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 618

หิริมีภายในเป็นสมุฏฐาน โอตตัปปะมีภายนอกเป็นสมุฏฐาน หิริมีตนเป็นใหญ่ โอตตัปปะมีโลกเป็นใหญ่ หิริตั้งอยู่ในสภาพที่ละอาย โอตตัปปะตั้งอยู่ในสภาพที่กลัว หิริมีความเคารพเป็นลักษณะ โอตตัปปะมีความเห็นภัยจากความกลัวโทษ ชื่อว่า หิริพละ เพราะหิรินั้นแล ย่อมไม่หวั่นไหวด้วยความไม่มีหิริ ชื่อว่า โอตตัปปพละ เพราะโอตตัปปะนั้นแล ย่อมไม่หวั่นไหวด้วยความไม่มีโอตตัปปะ.

ชื่อว่า ปฏิสังขานพละ เพราะไม่หวั่นไหวด้วยการไม่พิจารณา บทนี้เป็นชื่อของปัญญาเข้าไปพิจารณา.

กำลัง (พละ) เกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรผู้เจริญโพชฌงค์ ๗ ด้วยความเพียรเป็นหลัก ชื่อว่า ภาวนาพละ บทนี้ เป็นชื่อของขันธ์ ๔ อันเป็นไปอย่างนั้น.

ศีลเป็นต้นอันบริสุทธิ์ ชื่อว่า อนวัชชพละ.

สังคหวัตถุ ๔ ชื่อว่า สังคาหพละ ปาฐะว่า สงฺคเห พลํ (กำลังในการสงเคราะห์) ก็มี.

การอดกลั้นทุกข์ ชื่อว่า ขันติพละ.

การทำให้ผู้อื่นยินดีในธรรมกถา ชื่อว่า ปัญญัตติพละ.

การเพ่งถึงประโยชน์อันยิ่ง (ประโยชน์ที่ได้เรียนมา) ชื่อว่า นิชฌัตติพละ.

ความเป็นผู้มากในกุศลทั้งหลาย ชื่อว่า อิสริยพละ.

การตั้งอยู่ในกุศลทั้งหลายตามความพอใจ ชื่อว่า อธิษฐานพละ.

ประโยชน์ (เนื้อความ) ของหิริพละเป็นต้น ท่านกล่าวถือเอาการประกอบโดยความพิเศษด้วยอำนาจพยัญชนะกล่าวไว้แล้วในบทมาติกาทั้งหลาย.

บทว่า สมถพลํ วิปสฺสนาพลํ คือสมถะและวิปัสสนาอันมีกำลังนั่นเอง.

พึงทราบวินิจฉัยในมาติกานิเทศ ดังต่อไปนี้.

บทว่า อสฺสทฺธิเย น กมฺปตีติ สทฺธาพลํ ชื่อว่า สัทธาพละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหวในความไม่มีศรัทธา พระสารีบุตรเถระกล่าวถึงอรรถของพละอันเป็นมูลเหตุ แล้วแสดงสัทธาพละนั้นให้พิเศษด้วยปริยาย ๙ อื่นอีก จริงอยู่ ธรรมใดไม่หวั่นไหวเป็นธรรมมีกำลัง ธรรมนั้นย่อมอุปถัมภ์ธรรมที่เกิดร่วมกัน พระโยคาวจร


ความคิดเห็น 13    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 619

ควบคุมกิเลสอันเป็นปฏิปักษ์ของตนไว้ได้ ชำระศีลและทิฏฐิอันเป็นเบื้องต้นแห่งการแทงตลอดไว้ได้ ยังจิตให้ตั้งมั่นในอารมณ์ ทำจิตให้ผ่องใส ให้ผ่องแผ้ว ถึงความชำนาญย่อมให้บรรลุคุณวิเศษ เมื่อบรรลุคุณวิเศษยิ่งกว่านั้น ย่อมให้ทำการแทงตลอดยิ่งขึ้นไป ครั้นบรรลุอริยมรรคตามลำดับแล้ว ย่อมให้ทำการบรรลุสัจจะได้ ย่อมให้ตั้งอยู่ในนิโรธด้วยการบรรลุผลได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงทำอรรถแห่งพละให้พิเศษโดยอาการ ๙ อย่าง ในพละ ๔ มีวิริยพละเป็นต้นก็นัยนี้.

บทว่า กามฉนฺทํ หิรียติ (ละอายกามฉันทะ) คือพระโยคาวจรประกอบด้วยเนกขัมมะ ละอายกามฉันทะด้วยเนกขัมมะ แม้ในโอตตัปปะก็นัยนี้เหมือนกัน แม้การละอายอกุศลทั้งปวงเหล่านี้ ก็เป็นอันท่านกล่าวถึงความกลัวด้วย.

พึงทราบอรรถแม้แห่งบทว่า พฺยาปาทํ (พยาบาท) เป็นอาทิโดยนัยนี้แหละ.

บทว่า ปฏิสงฺขาติ (ย่อมพิจารณา) คือพิจารณาโดยความเป็นโทษด้วยความไม่หลง.

บทว่า ภาเวติ คือย่อมเจริญ.

บทว่า วชฺชํ (โทษ) คือโทษมีราคะเป็นต้น.

บทว่า สงฺคณฺหาติ (ย่อมสงเคราะห์) คือย่อมผูก ย่อมผูกพัน.

บทว่า ขมติ (ย่อมอดทน) คือพระโยคาวจรนั้นย่อมอดทน ย่อมชอบใจ (เนกขัมมะเป็ต้น).

บทว่า ปญฺเปติ (ย่อมตั้งไว้) คือพอใจ ย่อมให้ยินดี.

บทว่า นิชฺฌาเปติ (ย่อมเพ่ง) คือย่อมคิด ย่อมทำจิตให้คิด.

บทว่า วสํ วตฺเตติ (ให้เป็นไปในอำนาจ ย่อมบังคับจิตให้เป็นไปตามอำนาจ) คือทำจิตมากในความคิดให้เป็นไปตามอำนาจของตน (ทำจิตที่สามารถคิดให้เป็นไปตามอำนาจของตน).

บทว่า อธิฏฺาติ (ย่อมอธิษฐาน) คือย่อมจัดแจง.

แม้พละทั้งหมดมีภาวนาพละเป็นต้นก็เป็นเนกขัมมะเป็นต้นนั่นแหละ ในอรรถกถาแห่งมาติกาท่านกล่าวไว้โดยประการอื่น แต่พึงทราบว่าท่านไม่กล่าวถึงอรรถไว้ในที่นี้ เพราะปรากฏโดยพยัญชนะอยู่แล้ว.

ท่านพระสารีบุตรเถระชี้แจงถึง สมถพละและวิปัสสนาพละโดยพิสดาร ในที่สุด (ในตอนท้าย) กล่าวบทมีอาทิว่า


ความคิดเห็น 14    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 620

อุทฺธจฺจสหคตกิเลเส จ ขนฺเธ จ น กมฺปติ (จิตไม่หวั่นไหวในกิเลสอันสหรคตด้วยอุทธัจจะและในขันธ์) และบทมีอาทิว่า อวิชฺชาสหคตกิเลเส จ ขนฺเธ จ น กมฺปติ (จิตไม่หวั่นไหวในกิเลสอันสหรคตด้วยอวิชชาและในขันธ์) เพื่อให้เห็นถึงลักษณะของสมถพละและวิปัสสนาพละ.

พึงทราบวินิจฉัยในเสกขพละและอเสกขพละดังต่อไปนี้.

บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิํ สิกฺขตีติ เสกฺขพลํ (ชื่อว่า เสกขพละ เพราะพระเสกขะยังต้องศึกษาสัมมาทิฏฐิ) ความว่า ชื่อพระเสกขะ เพราะพระเสกขบุคคลยังต้องศึกษาสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ ชื่อว่า เสกขพละ เพราะสัมมาทิฏฐินั้นนั่นแหละเป็นกำลังของพระเสกขะนั้น.

บทว่า ตตฺถ สิกฺขิตตฺตา อเสกฺขพลํ (ชื่อว่า อเสกขพละ เพราะพระอเสกขะศึกษาในสัมมาทิฏฐินั้นเสร็จแล้ว) ความว่า ชื่อว่า พระอเสกขะ เพราะพระอเสกขบุคคลไม่ต้องศึกษา เพราะสัมมาทิฏฐินั้นพระอเสกขบุคคลศึกษาแล้ว ชื่อว่า อเสกขพละ เพราะสัมมาทิฏฐินั้นนั่นแหละเป็นกำลังของพระอเสขะนั้น.

ในสัมมาสังกัปปะเป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า สมฺมาาณํ (สัมมาญาณ) คือปัจจเวกขณญาณ (ญาณเป็นเครื่องพิจารณา) จริงอยู่ แม้ญาณนั้นเป็นโลกิยะก็เป็นเสกขพละ เพราะพระเสกขะยังต้องประพฤติอยู่ ท่านกล่าวว่า อเสกขพละ เพราะพระอเสกขะยังต้องประพฤติอยู่.

บทว่า สมฺมาวิมุตฺติ (สัมมาวิมุตติ) คือธรรมสัมปยุตด้วยผลที่เหลือ เว้นองค์แห่งมรรค ๘ แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า วิมุตติที่เหลือ เว้นโลกุตรวิมุตติเป็นสัมมาวิมุตติ ความว่า สัมมาวิมุตตินั้นเป็นเสกขพละและอเสกขพละ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

ญาณพละแม้ทั้งหมดมีในขีณาสวพละ บทว่า ขีณาสวสฺส ภิกฺขุโน (ภิกษุขีณาสพ) เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถ


ความคิดเห็น 15    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 621

แห่งตติยาวิภัตติ เป็น ขีณาสเวน ภิกฺขุนา (อันภิกษุขีณาสพ).

บทว่า อนิจฺจโต (โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง) คือโดยความไม่เที่ยงด้วยอาการเป็นแล้วไม่เป็น.

บทว่า ยถาภูตํ (ตามความเป็นจริง) คือตามสภาพเป็นจริง.

บทว่า ปญฺาย (ด้วยปัญญา) คือด้วยมรรคปัญญากับวิปัสสนา ภิกษุขีณาสพเป็นผู้เห็นด้วยดีโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมเป็นผู้เห็นด้วยดีโดยความเป็นทุกข์ โดยไม่ใช่ตัวตน เพราะมีปัญญานั้นเป็นมูล (เพราะมีความไม่เที่ยงนั้นเป็นมูล).

บทว่า ยํ (ใด) เป็นภาวนปุงสกลิงค์ หรือมีความว่า ด้วยเหตุใด.

บทว่า อาคมฺม (ได้อาศัย) คืออาศัยแล้ว.

บทว่า ปฏิชานาติ (ปฏิญาณ) คือรับทำตามปฏิญาณ (ยอมรับ คือทำการยืนยัน).

บทว่า องฺคารกาสูปมา (เปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง) คือเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง ด้วยอรรถว่า น่ากลัวมาก (เร่าร้อนมาก).

บทว่า กามา (กาม) คือวัตถุกามและกิเลสกาม.

บทว่า วิเวกนินฺนํ (โน้มไปในวิเวก) คือน้อมไปในนิพพาน กล่าวคืออุปธิวิเวก (ความสงัดจากอุปธิ) ด้วยผลสมาบัติ จริงอยู่ วิเวกมี ๓ คือกายวิเวก ๑ จิตตวิเวก ๑ อุปธิวิเวก (สงัดจากกิเลส) ๑ ผู้มีกายตั้งอยู่ในความสงัด ยินดีในเนกขัมมะ ชื่อว่า กายวิเวก ผู้ขวนขวายในอธิจิต ชื่อว่า จิตตวิเวก บุคคลผู้ไม่มีอุปธิ ปราศจากเครื่องปรุงแต่ง ชื่อว่า อุปธิวิเวก หรือน้อมไปในนิพพาน กล่าวคือนิสสรณวิเวก (ความวิเวกอันเป็นเครื่องนำออกไป สลัดออกไป) ชื่อว่า อุปธิวิเวก ความจริง วิเวกมี ๕ อย่าง คือวิกขัมภนวิเวก ๑ ตทังควิเวก ๑ สมุจเฉทวิเวก ๑ ปฏิปัสสัทธิวิเวก ๑ นิสสรณวิเวก ๑.

อนึ่ง บทว่า วิเวกนินฺนํ (เป็นธรรมชาติโน้มไปในวิเวก) คือโน้มไปแล้วในวิเวก.

บทว่า วิเวกโปณํ (น้อมไปในวิเวก) คือน้อมไปแล้วในวิเวก.

บทว่า วิเวกปพฺภารํ (เอนไปในวิเวก) คือเอนไปแล้วในวิเวก.

แม้บททั้งสองก็เป็นไวพจน์ของบทก่อนนั่นแหละ.

บทว่า วิเวกฏฺํ (ตั้งอยู่ในวิเวก) คือเว้นจากกิเลสทั้งหลาย หรือ ไปเสียให้ไกล (ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลาย).

บทว่า เนกฺขมฺมาภิรตํ (ยินดีในเนกขัมมะ) คือยินดีในนิพพาน หรือยินดีในบรรพชา.

บทว่า พฺยนฺตีภูตํ (สิ้นสูญไป) คือปราศจาก


ความคิดเห็น 16    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 622

ไป (ปราศจากไปถึงที่สุด) คือไม่ถูกทำให้เปรอะเปื้อน พ้นไป ไม่เกี่ยวข้องแม้จากการแสดงตัวอีกครั้งหนึ่ง.

บทว่า สพฺพโส คือโดยประการทั้งปวง.

บทว่า อาสวฏฺานิเยหิ ธมฺเมหิ (จากธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ) ความว่า จากกิเลสอันเป็นเหตุของอาสวะทั้งหลายด้วยการเกี่ยวข้อง (ด้วยอำนาจการประกอบ).

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า พฺยนฺตีภูตํ (ความสิ้นสูญไป) คือปราศจากความใคร่ (ปราศจากความติดใจ) อธิบายว่า หมดตัณหา จากไหน จากธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการทั้งปวง คือจากธรรมเป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งปวง ในที่นี้ ท่านกล่าวถึงโลกิยมรรคและโลกุตรมรรคของพระขีณาสพ ด้วยขีณาสวพละ ๑๐ อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า พละกำหนดรู้ทุกข์ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีสภาพไม่เที่ยง พละละสมุทัยว่า กามทั้งหลายเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง พละทำให้แจ้งนิโรธว่า จิต (เป็นธรรมชาติ) โน้มไปในวิเวก พละในการเจริญมรรค ๗ อย่างมีอาทิว่า สติปัฏฐาน ๔.

อิทธิพละ ๑๐ อย่างจักมีแจ้งในอิทธิกถา.

พึงทราบวินิจฉัยในตถาคตพลนิเทศดังต่อไปนี้.

บทว่า ตถาคตพลานิ (ตถาคตพละ) คือกำลังของพระตถาคตเท่านั้น ไม่ทั่วไปด้วยชนเหล่าอื่น หรือว่าพละอันมาแล้วเหมือนอย่างพละของพระพุทธเจ้าแต่ก่อนที่มาแล้วด้วยการถึงพร้อมแห่งการสะสมบุญ ในบทนั้น ตถาคตพละมี ๒ อย่าง คือกายพละ ๑ ญาณพละ ๑ ในพละ ๒ อย่างนั้น พึงทราบกายพละโดยแนวทางแห่งตระกูลช้าง สมดังที่ท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า

ตระกูลช้าง ๑๐ เหล่านี้ คือกาฬาวกะ ๑ คังเคยยะ ๑ ปัณฑระ ๑ ตัมพะ ๑ ปิงคละ ๑ คันธะ ๑ มังคละ ๑ เหมะ ๑ อุโปสถะ ๑ ฉัททันตะ ๑.


ความคิดเห็น 17    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 623

เหล่านี้คือตระกูลช้าง ๑๐.

ในบทเหล่านั้น บทว่า กาฬาวกํ พึงเห็นตระกูลช้างตามปกติ กำลังกายของบุรุษ ๑๐ เป็นกำลังของช้างกาฬาวกะเชือกหนึ่ง กำลังของกาฬาวกะ ๑๐ เป็นกำลังของคังเคยยะเชือกหนึ่ง กำลังของคังเคยยะ ๑๐ เป็นกำลังของปัณฑระเชือกหนึ่ง กำลังของปัณฑระ ๑๐ เป็นกำลังของตัมพะเชือกหนึ่ง กำลังของตัมพะ ๑๐ เป็นกำลังของปิงคละเชือกหนึ่ง กำลังของปิงคละ ๑๐ เป็นกำลังของคันธะเชือกหนึ่ง กำลังของคันธะ ๑๐ เป็นกำลังของมังคละเชือกหนึ่ง กำลังของมังคละ ๑๐ เป็นกำลังของเหมวตะเชือกหนึ่ง กำลังของเหมวตะ ๑๐ เป็นกำลังของอุโปสถะเชือกหนึ่ง กำลังของอุโปสถะ ๑๐ เป็นกำลังของฉัททันตะเชือกหนึ่ง กำลังของฉัททันตะ ๑๐ เป็นกำลังของพระตถาคตพระองค์เดียว.

บทนี้ท่านกล่าวถึง แม้บทว่า นารายนสงฺฆาตพลํ (กำลังทัดเทียมนารายนะ) ตถาคตพละนั้นเท่ากับกำลังช้างปกติ ๑,๐๐๐ โกฏิ เท่ากับกำลัง บุรุษ ๑๐,๐๐๐ โกฏิ นี้คือกายพละของพระตถาคต.

ส่วนญาณพละ ได้แก่ ทศพลญาณอันมาแล้วในพลกถานี้และในบาลีอื่น ญาณ ๑,๐๐๐ ไม่น้อยแม้อื่นอย่างนี้ คือทศพลญาณ จตุเวสารัชชญาณ อกัมปนญาณ (ญาณไม่หวั่นไหว) ในบริษัท ๘ จตุโยนิปริจเฉทกญาณ (ญาณกำหนดกำเนิด ๔) ปัญจคติปริจเฉทกญาณ (ญาณกำหนดคติ ๕) มาแล้วในมัชฌิมนิกาย ญาณ ๗๓ ญาณ ๗๗ มาแล้วในสังยุตตนิกาย นี้ชื่อว่า ญาณพละ ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาญาณพละนั่นแหละ เพราะญาณท่านกล่าวว่า เป็นพละ ด้วยอรรถว่า ไม่หวั่นไหว และด้วยอรรถว่า อุปถัมภ์.

บทว่า านญฺจ านโต (ฐานะโดยเป็นฐานะ) คือเหตุโดยเป็นเหตุ (ก็เหตุเรียกว่า ฐานะ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งผล) เพราะเหตุผลย่อมตั้งอยู่ในญาณนั้น คือ ผลย่อมเกิดขึ้นและย่อมเป็นไป เพราะ


ความคิดเห็น 18    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 624

ประพฤติเนื่องด้วยญาณนั้น (เพราะเป็นไปเนื่องด้วยเหตุนั้น) ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า านํ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงทราบธรรมที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธรรมว่า เป็นฐานะ และธรรมที่ไม่เป็นเหตุไม่เป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งธรรมว่า ไม่เป็นฐานะ (อฐานะ) ชื่อว่า ย่อมทรงทราบฐานะโดยเป็นฐานะและอฐานะโดยเป็นอฐานะตามความเป็นจริง.

บทว่า ยมฺปิ (แม้ข้อที่) คือด้วยญาณใด.

บทว่า อิทมฺปิ (นี้) คือแม้ญาณนี้ก็เป็นฐานญาณ ได้แก่ ฐานาฐานญาณ อธิบายว่า ชื่อว่า เป็นตถาคตพละของพระตถาคต.

แม้ในบทที่เหลือก็พึงทราบการประกอบอย่างนี้.

บทว่า อาสภณฺานํ (ฐานะอันสูงสุด ฐานะของผู้องอาจ) คือฐานะอันประเสริฐ ฐานะอันสูงสุด อธิบายว่า เป็นฐานะของพระพุทธเจ้าแต่ก่อนทั้งหลายผู้องอาจ อีกอย่างหนึ่ง โคอุสภะผู้เป็นหัวหน้าโค ๑๐๐ ตัว โควสภะผู้เป็นหัวหน้าโค ๑,๐๐๐ ตัว โคอุสภะผู้เป็นหัวหน้าคอก ๑๐๐ คอก โควสภะผู้เป็นหัวหน้าคอก ๑,๐๐๐ คอก โคนิสภะประเสริฐกว่าโคทั้งหมด อดทนต่ออันตรายทั้งปวงได้ สีขาวน่ารัก นำภาระไปได้มาก ไม่สะดุ้งแม้เสียงฟ้าร้องตั้ง ๑๐๐ ครั้ง ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาอุสภะ (ในที่นี้ นิสภะนั้น ท่านประสงค์ว่าเป็น อสุภะ) เพราะบทว่า อาสภณฺานํ แม้นี้ก็เป็นคำกล่าวโดยปริยายของอุสภะนั้น (แม้นี้ก็เป็นคำเรียกโดยอ้อมของนิสภะนั้น) ชื่อว่า อาสภะ เพราะฐานะนี้ของอุสภะ.

บทว่า านํ (ฐานะ) คือเอาเท้าทั้ง ๔ เหยียบแผ่นดินมั่นอยู่ อนึ่ง ฐานะนี้ ชื่อว่า อาสภะ เพราะดุจผู้องอาจ เหมือนอย่างว่าโคอุสภะ (กล่าวคือโคนิสภะ) คือโคผู้นำประกอบด้วยอุสุภพละ เอาเท้าทั้ง ๔ เหยียบแผ่นดิน ตั้งไว้โดยไม่หวั่นไหว ฉันใด แม้พระตถาคต ก็ฉันนั้น ทรงประกอบด้วยตถาคตพละ ๑๐ เอาเท้า คือเวสารัชชญาณ ๔ เหยียบปฐพี คือบริษัท ๘ ไม่หวั่นไหวด้วยข้าศึกศัตรูไรๆ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ดำรงอยู่ด้วยฐานะอันไม่หวั่นไหว อนึ่ง เมื่อดำรงอยู่อย่างนี้ ย่อมปฏิญาณ (ในฐานะอันองอาจนั้น) คือเข้าไปใกล้ ไม่บอกคืน ให้ยกขึ้นไว้ในตนซึ่งฐานะอันองอาจนั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อาสภณฺานํ ปฏิชานาติ (ปฏิญาณฐานะของผู้องอาจ).


ความคิดเห็น 19    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 625

บทว่า ปริสาสุ (ในบริษัท) คือในบริษัท ๘ มีกษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี สมณะ เทพชั้นจาตุมหาราชิกา เทพชั้นดาวดึงส์ มาร และพรหม.

บทว่า สีหนาทํ นทติ (บันลือสีหนาท) คือบันลือเสียงประเสริฐ เสียงไม่สะดุ้งกลัว หรือบันลือเสียงกึกก้องเช่นเสียงสีหะ พึงแสดงอรรถนี้ด้วยสีหนาทสูตร ราชสีห์ท่านเรียกว่า สีหะ เพราะอดทน เพราะฆ่าสัตว์เป็นอาหาร ฉันใด พระตถาคตก็ฉันนั้น ท่านกล่าวว่า สีหะ เพราะอดทนโลกธรรมและกำจัดปรัปปวาท (ผู้กล่าวโต้แย้ง) การบันลือของสีหะดังกล่าวแล้วอย่างนั้น ชื่อว่า สีหนาท สีหะประกอบด้วยสีหพละ แกล้วกล้า ปราศจากขนพองสยองเกล้า บันลือสีหนาทในที่ทั้งปวง ฉันใด แม้พระตถาคตดุจสีหะ ก็ฉันนั้น ทรงประกอบด้วยตถาคตพละ ทรงแกล้วกล้าในบริษัท ๘ ปราศจากความขนพองสยองเกล้า ทรงบันลือสีหนาทอันถึงพร้อมด้วยความงามแห่งเทศนาหลายๆ อย่าง โดยนัยมีอาทิว่า อิติ รูปํ (รูปเป็นดังนี้) ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ (ทรงบันลือสีหนาทในบริษัททั้งหลาย).

บทว่า พฺรหฺมํ (พรหม) ในบทนี้ว่า พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติ (ประกาศพรหมจักร) เป็นจักรประเสริฐ สูงสุด บริสุทธิ์ พึงทราบ จักก ศัพท์ดังต่อไปนี้.

จักกศัพท์ปรากฏใน สมบัติ ลักษณะ เครื่องประกอบรถ อิริยาบถ ทาน รัตนจักร ธรรมจักร อุรจักรเป็นต้น ในที่นี้ปรากฏในธรรมจักร พระโยคาวจรพึงประกาศธรรมจักรแม้นั้นโดยอาการ ๒ อย่าง.

จักก ศัพท์นี้ ปรากฏใน สมบัติ ในบทมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมบัติ ๔ เหล่านี้ เป็นเหตุให้สมบัติ ๔ ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบพร้อม (ด้วยจักร ๔ เหล่านี้) แล่นไป.


ความคิดเห็น 20    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 626

ปรากฏใน ลักษณะ ในประโยคนี้ว่า ลักษณะจักร เกิดที่ฝ่าพระบาทเบื้องล่าง.

ปรากฏใน ส่วนของรถ ในประโยคนี้ว่า ดุจล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคตัวลากไป ฉะนั้น.

ปรากฏใน อิริยาบถ ในบทนี้ว่า มีจักร ๔ มีทวาร ๙.

ปรากฏใน ทาน ในประโยคนี้ว่า เมื่อท่านให้แล้ว จงบริโภคเองเถิดและอย่าเป็นผู้ประมาท ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในแคว้นโกศล ขอพระองค์จงยังจักรให้เป็นไปเถิด.

ปรากฏใน รัตนจักร ในบทนี้ว่า จักรรัตนะอันเป็นทิพย์ได้ปรากฏแล้ว.

ปรากฏใน ธรรมจักร ในบทนี้ว่า จักรอันเราประกาศแล้ว.

ปรากฏใน อุรจักร (จักร คือใจ) ในบทนี้ว่า จักรย่อมหมุนไปในหัวของสัตว์ผู้ถูกความริษยา (ความอยาก) ครอบงำแล้ว.

ปรากฏใน ปหรณจักร ในบทนี้ว่า ด้วยจักรมียอดคม (ด้วยจักรมีขอบรอบคม).

ปรากฏใน อสนิมณฑล ในบทนี้ว่า สายฟ้าฟาด.

แต่ในที่นี้ จักก ศัพท์นี้ ปรากฏในธรรมจักร.

อนึ่ง ธรรมจักรนั้นมี ๒ อย่าง คือปฏิเวธญาณและเทศนาญาณ ในญาณทั้ง ๒ นั้น ญาณนำมาซึ่งอริยผลของพระพุทธองค์อันเจริญแล้วด้วยปัญญา ชื่อว่า ปฏิเวธญาณ ญาณนำมาซึ่งอริยผลของสาวกทั้งหลายอันเจริญแล้วด้วยกรุณา ชื่อว่า เทศนาญาณ.

ในญาณทั้ง ๒ นั้น ปฏิเวธญาณมี ๒ อย่าง คือกำลังเกิด ๑ เกิดแล้ว ๑ ปฏิเวธญาณนั้น ชื่อว่า กำลังเกิด ตั้งแต่ออกมหาภิเนษกรมณ์จนถึงอรหัตมรรค ชื่อว่า เกิดแล้วในอรหัตผล (เกิดแล้วในขณะแห่งผล) อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า กำลังเกิด ตั้งแต่เคลื่อนจากภพดุสิตจนถึงบรรลุอรหัตมรรค ณ โพธิบัลลังก์ และชื่อว่า เกิดแล้วในขณะแห่งผล หรือชื่อว่า กำลังเกิด ตั้งแต่ศาสนาพระทีปังกรทศพลจนถึงบรรลุอรหัตมรรค และชื่อว่า เกิดแล้ว ในขณะแห่งผล แม้เทศนาญาณก็มี ๒ อย่าง คือกำลังเป็นไป ๑ เป็นไปแล้ว ๑ เทศนาญาณนั้น ชื่อว่า กำลังเป็นไป จนถึงอรหัตมรรคของพระอัญญาโกณทัญญเถระ ชื่อว่า เป็นไปแล้ว ในขณะแห่งผล (คือบรรลุอรหัต).

ในญาณเหล่านั้น ปฏิเวธญาณเป็นโลกุตระ เทศนาญาณเป็นโลกิยะ แม้ทั้ง ๒ นั้น


ความคิดเห็น 21    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 627

ก็ไม่ทั่วไปด้วยผู้อื่น เป็นโอรสญาณ (ญาณเกิดแต่อก) ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติ (ประกาศพรหมจักร).

บทว่า กมฺมสมาทานํ (กรรมสมาทาน) คือกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่สมาทานแล้ว หรือกรรมนั้นแหละ ชื่อว่า กรรมสมาทาน.

บทว่า านโส เหตุโส (โดยฐานะ โดยเหตุ) คือโดยปัจจัยและโดยเหตุ ในปัจจัยและเหตุนั้น ฐานะแห่งวิบาก ได้แก่ คติ อุปธิ กาล และปโยคะ กรรมเป็นเหตุ.

บทว่า สพฺพตฺถคามินิํ (ปฏิปทาเครื่องให้ถึงประโยชน์ทั้งปวง) คือปฏิปทาเครื่องให้ถึงคติทั้งปวง และปฏิปทาเครื่องให้ถึงอคติ (นิพพาน).

บทว่า ปฏิปทํ ปฏิปทา คือมรรค.

บทว่า ยถาภูตํ ปชานาติ (รู้ตามความเป็นจริง) คือตถาคตย่อมทรงทราบสภาพโดยไม่วิปริตของการปฏิบัติ กล่าวคือกุศลเจตนาและอกุศลเจตนา แม้ในวัตถุเดียวโดยนัยนี้ว่า แม้เมื่อมนุษย์มากฆ่าสัตว์ตัวเดียวเท่านั้น เจตนาของการฆ่านี้ก็จักเป็นเจตนาไปสู่นรก จักเป็นเจตนาไปสู่กำเนิดดิรัจฉาน.

บทว่า อเนกธาตุํ (อเนกธาตุ) คือธาตุมากด้วยธาตุทั้งหลายมีจักษุธาตุเป็นต้น หรือมีกามธาตุเป็นต้น.

บทว่า นานาธาตุํ (ธาตุต่างๆ นานาธาตุ) คือธาตุมีประการต่างๆ เพราะธาตุเหล่านั้นมีลักษณะต่างกัน.

บทว่า โลกํ (โลก) คือขันธโลก อายตนโลกและธาตุโลก.

บทว่า ยถาภูตํ ปชานาติ (รู้ตามความเป็นจริง) คือแทงตลอดสภาวะแห่งธาตุนั้นๆ โดยไม่วิปริต.

บทว่า นานาธิมุตฺติกตํ (ความที่เป็นผู้มีอัธยาศัยต่างๆ กัน) คือความที่สัตว์ทั้งหลายมีอัธยาศัยต่างๆ กัน ด้วยอัธยาศัยเลว ประณีตเป็นต้น.

บทว่า ปรสตฺตานํ (ของสัตว์อื่น) คือของสัตว์ที่เป็นประธาน.

บทว่า ปรปุคฺคลานํ (ของบุคคลอื่น) คือของสัตว์เลวอื่นจากสัตว์ที่เป็นประธานนั้น ทั้ง ๒ บทนี้มีอรรถอย่างเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยอาการ ๒ อย่าง


ความคิดเห็น 22    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 628

ด้วยสามารถเวไนยสัตว์ แม้ในที่นี้ ท่านก็กล่าวตามนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้นั่นแหละ.

บทว่า อินฺทฺริยปโรปริยตฺตํ (ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์) คือความเป็นอื่นและความไม่เป็นอื่นของอินทรีย์มีสัทธินทรีย์เป็นต้น อธิบายว่า ความเจริญและความเสื่อม.

บทว่า ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนํ (แห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิและสมาบัติ) คือแห่งฌาน ๔ มีปฐมฌานเป็นต้น แห่งวิโมกข์ ๘ มีอาทิว่า ผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลาย แห่งสมาธิ ๓ มีสมาธิที่มีวิตกวิจารเป็นต้น แห่งอนุปุพพสมาบัติ ๙ มีปฐมฌานสมาบัติเป็นต้น.

บทว่า สงฺกิเลสํ (ความเศร้าหมอง) คือธรรมอันเป็นไปในฝ่ายเสื่อม.

บทว่า โวทานํ (ความผ่องแผ้ว) คือธรรมอันเป็นไปในฝ่ายวิเศษ.

บทว่า วุฏฺานํ (ความออก) คือเหตุที่ออกจากฌาน อนึ่ง ความออกนั้นที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า แม้ความผ่องแผ้วก็เป็นความออก แม้ความออกจากสมาธินั้นๆ ก็เป็นความออก ได้แก่ ฌานอันคล่องแคล่ว และสมาบัติอันเป็นผลแห่งภวังค์ (ภวังคผลสมาบัติ) เพราะฌานอันคล่องแคล่วชั้นต่ำๆ เป็นปทัฏฐานแห่งฌานชั้นสูงๆ ฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า แม้ความผ่องแผ้วก็เป็นความออก ความออกจากฌานทั้งปวงย่อมมีได้ด้วยภวังค์ ความออกจากนิโรธสมาบัติย่อมมีได้ด้วยผลสมาบัติ ทรงหมายเอาความออกนั้น จึงตรัสว่า แม้ความออกจากสมาธินั้นๆ ก็เป็นความออก.

ปุพเพนิวาสญาณ ทิพยจักขุญาณ และอาสวักขยญาณ ข้าพเจ้าประกาศไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อาสวานํ ขยา (เพราะอาสวะสิ้นไป) คือเพราะกิเลสทั้งหมดสิ้นไปด้วยอรหัตมรรค.

บทว่า อนาสวํ (อันหาอาสวะมิได้)


ความคิดเห็น 23    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 629

คือปราศจากอาสวะ.

ในบทว่า เจโตวิมุตฺติํ ปญฺาวิมุตฺติํ (ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ) นี้ ท่านกล่าวสมาธิสัมปยุตด้วยอรหัตผล ด้วยคำว่า เจโตวิมุตติ กล่าวปัญญาสัมปยุตด้วยอรหัตผลนั้นด้วยคำว่า ปัญญาวิมุตติ อนึ่ง พึงทราบว่า สมาธิ ชื่อว่า เจโตวิมุตติ เพราะพ้นจากราคะ ปัญญา ชื่อว่า ปัญญาวิมุตติ เพราะพ้นจากอวิชชา สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิพึงเป็นสมาธินทรีย์ ปัญญาพึงเป็นปัญญินทรีย์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้แล ชื่อว่า เจโตวิมุตติ เพราะสำรอกราคะ ชื่อว่า ปัญญาวิมุตติ เพราะสำรอกอวิชชา อีกอย่างหนึ่ง ในบทนี้ พึงทราบว่า สมถพละเป็นเจโตวิมุตติ วิปัสสนาพละเป็นปัญญาวิมุตติ.

บทว่า ทิฏฺเว ธมฺเม (ในปัจจุบัน) คือในอัตภาพนี้.

บทว่า สยํ อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา (ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง) คือทำให้ประจักษ์ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง อธิบายว่า รู้โดยไม่มีคนอื่นเป็นปัจจัย.

บทว่า อุปสมฺปชฺช (เข้าถึง) คือบรรลุแล้วหรือสำเร็จแล้ว.

อนึ่ง พึงทราบความพิสดารของทศพลญาณ ๑๐ นี้ โดยนัยดังกล่าวแล้วในอภิธรรม.

ในบทนั้นถ้อยคำฝ่ายปรวาทีมีว่า ชื่อว่า ทศพลญาณเป็นญาณเฉพาะไม่มี นี้เป็นประเภทของสัพพัญญุตญาณนั่นเอง ข้อนั้นไม่พึงเห็นอย่างนั้น เพราะทศพลญาณเป็นอย่างหนึ่ง สัพพัญญุตญาณเป็นอย่างหนึ่ง ทศพลญาณย่อมรู้กิจของตนๆ เท่านั้น สัพพัญญุตญาณย่อมรู้กิจนั้นบ้าง กิจที่เหลือจากนั้นบ้าง.

พึงทราบวินิจฉัยในทศพลญาณดังต่อไปนี้ ทศพลญาณที่ ๑ ย่อมรู้เหตุและมิใช่เหตุ ทศพลญาณที่ ๒ ย่อมรู้ระหว่างกรรมและระหว่างวิบาก (ย่อมรู้ความแตกต่างแห่งวิบากแห่งกรรมที่แตกต่างกัน) ทศพลญาณที่ ๓ ย่อมรู้กำหนดของกรรม ทศพลญาณที่ ๔ ย่อมรู้เหตุของความต่างแห่งธาตุ ทศพลญาณที่ ๕ ย่อมรู้อัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย (ย่อมรู้อธิมุตติ) ทศพลญาณที่ ๖


ความคิดเห็น 24    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 630

ย่อมรู้ความแก่กล้าและความอ่อนของอินทรีย์ทั้งหลาย ทศพลญาณที่ ๗ ย่อมรู้ความเศร้าหมองเป็นต้นแห่งอินทรีย์เหล่านั้นพร้อมกับฌานเป็นต้น ทศพลญาณที่ ๘ ย่อมรู้ความสืบต่อของขันธ์ที่อยู่อาศัยในก่อน ทศพลญาณที่ ๙ ย่อมรู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย ทศพลญาณที่ ๑๐ ย่อมรู้กำหนดสัจจะเท่านั้น.

ส่วนสัพพัญญุตญาณ ย่อมรู้สิ่งที่ทศพลญาณเหล่านั้นควรรู้ และยิ่งกว่านั้น แต่ไม่ทำกิจทั้งหมดของญาณเหล่านั้น เพราะสัพพัญญุตญาณนั้นมีฌานก็ไม่อาจให้แนบแน่นได้ มีฤทธิ์ก็ไม่อาจทำให้มหัศจรรย์ได้ (ไม่อาจแสดงฤทธิ์ได้) มีมรรคก็ไม่สามารถยังกิเลสให้สิ้นได้.

อีกอย่างหนึ่ง ควรถามปรวาทีอย่างนี้ว่า ชื่อว่า ทศพลญาณนี้ มีวิตกมีวิจาร หรือไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีทั้งวิตกไม่มีทั้งวิจาร เป็นกามาวจร หรือรูปาวจร หรืออรูปาวจร เป็นโลกิยะหรือโลกุตระ เมื่อรู้ก็จักตอบว่า ญาณ ๗ มีวิตกมีวิจารตามลำดับ จักตอบว่า ญาณ ๒ นอกจากนั้นไม่มีวิตกไม่มีวิจาร จักตอบว่า อาสวักขยญาณมีทั้งวิตกมีทั้งวิจารก็มี ไม่มีวิตกมีเพียงวิจารก็มี ไม่มีทั้งวิตกไม่มีทั้งวิจารก็มี อนึ่ง จักตอบว่า ญาณ ๗ เป็นกามาวจรตามลำดับ ญาณ ๒ นอกจากนั้นเป็นรูปาวจร ในที่สุดจากนั้นเป็นโลกุตระอย่างเดียว (ญาณหนึ่งเป็นโลกุตระ) จักตอบว่า ส่วนสัพพัญญุตญาณ มีทั้งวิตกมีทั้งวิจาร เป็นกามาวจร เป็นโลกิยะ.

บัดนี้ บัณฑิตครั้นทราบการพรรณนาตามความที่ยังไม่เคยพรรณนาไว้ในบทนี้ (พลกถานี้) อย่างนี้ แล้วพึงทราบว่า ท่านกล่าวพละ ๑๐ เหล่านี้ ตามลำดับนี้ เพราะเริ่มแรกเทียวพระตถาคตทรงเห็นความไม่มีเครื่องกั้นกิเลส อันเป็นฐานะและอฐานะ แห่งการบรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะ และแห่งการไม่บรรลุของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ด้วยฐานาฐานญาณเป็นครั้งแรก เพราะทรงเห็นฐานะของสัมมาทิฏฐิอันเป็นโลกิยะ และเพราะทรงเห็นความไม่มีฐานะของนิยตมิจฉาทิฏฐิ ครั้นแล้ว


ความคิดเห็น 25    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 631

ทรงเห็นความไม่มีเครื่องกั้นวิบากด้วยกรรมวิปากญาณของสัตว์เหล่านั้น เพราะทรงเห็นปฏิสนธิอันเป็นติเหตุกะ ทรงเห็นความไม่มีเครื่องกั้นคือกรรมด้วยสัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ (ปรีชากำหนดรู้ทางไปสู่ภูมิ สู่คติทั้งปวง หรือปรีชากำหนดรู้ปฏิปทาเครื่องให้ถึงประโยชน์ทั้งปวง) เพราะทรงเห็นความไม่มีอนันตริยกรรม เมื่อเป็นอย่างนี้ ทรงเห็นจริยาวิเศษ เพื่อทรงแสดงธรรมอนุกูลแก่อนาวรณญาณ (ญาณที่ไม่มีเครื่องกั้น) ด้วยอเนกธาตุนานาธาตุญาณ (ปรีชากำหนดรู้ธาตุต่างๆ) แห่งธาตุไม่น้อย เพราะทรงเห็นความต่างกันแห่งธาตุ ด้วยประการฉะนี้.

ครั้นแล้ว ทรงแสดงอัธยาศัยด้วยนานาธิมุตติกตาญาณ (ปรีชากำหนดรู้อัธยาศัยต่างๆ) ของเวไนยสัตว์เหล่านั้น เพื่อแม้ไม่ถือเอาการประกอบ (เพื่อแม้จะไม่คำนึงถึงความเพียรประกอบ) ก็ทรงแสดงธรรมด้วยสามารถอัธยาศัย (ของเวไนยสัตว์) ต่อจากนั้น ทรงเห็นความหย่อนและยิ่งแห่งอินทรีย์ด้วยอินทริยปโรปริยัตตญาณ เพราะทรงเห็นความแก่กล้าและความอ่อนของอินทรีย์มีสัทธินทรีย์เป็นต้น จึงทรงแสดงธรรมตามความสามารถตามกำลังของผู้น้อมไปในทิฏฐิ (ผู้มีอัธยาศัยที่ทรงเห็นแล้ว) อย่างนี้

อนึ่ง หากว่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น แม้ผู้มีความหย่อนและยิ่งของอินทรีย์ อันพระองค์ทรงกำหนดรู้แล้วอย่างนี้ มีอยู่ในที่ไกล เมื่อนั้นพระตถาคตย่อมเข้าถึง (จะเสด็จเข้าไปหา) ด้วยฤทธิ์วิเศษโดยเร็วพลัน เพราะทรงชำนาญในฌานเป็นต้น ด้วยญาณมีฌาน (ฌานาทิญาณ) เป็นต้น ครั้นเสด็จถึงแล้ว ทรงเห็นความแจ่มแจ้งของชาติก่อนของเวไนยสัตว์เหล่านั้น ด้วยปุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงเห็นความวิเศษของจิตเดี๋ยวนั้น ด้วยเจโตปริยญาณ อันควรบรรลุเพราะอานุภาพแห่งทิพยจักษุญาณ ทรงแสดงธรรมเพื่อความสิ้นอาสวะ เพราะสัตว์นั้นปราศจากความหลง ด้วยปฏิปทาอันนำไปสู่ความสิ้นอาสวะ ด้วยอานุภาพแห่งอาสวักขยญาณ.


ความคิดเห็น 26    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 632

บัดนี้ พระสารีบุตรเถระประสงค์จะชี้แจงกำลัง (พละ) ทั้งหมด โดยความเป็นลักษณะ จึงตั้งคำถามโดยนัยมีอาทิว่า เกนฏฺเน สทฺธาพลํ (ชื่อว่า สัทธาพละ เพราะอรรถว่ากระไร) แล้วแก้โดยนัยมีอาทิว่า อสฺสทฺธิเย อกมฺปิยฏฺเน (เพราะอรรถว่า ไม่ไหวหวั่นในความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา).

ในบทเหล่านั้น บทมีอาทิว่า หิริยติ (ย่อมละอาย) เป็นการแสดงถึงบุคลาธิษฐาน ในพละทั้งหลาย มีภาวนาพละเป็นต้นมีอธิษฐานพละเป็นที่สุด.

พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายถึงเนกขัมมะเป็นต้นเท่านั้น ด้วยบทว่า ตตฺถ (ในเนกขัมมะเป็นต้นนั้น) เตน (ด้วยเนกขัมมะเป็นต้นนั้น) และ ตํ (เนกขัมมะเป็นต้นนั้น).

บทว่า เตน จิตฺตํ เอกคฺคํ (จิตมีอารมณ์เดียวด้วยเนกขัมมะเป็นต้นนั้น) ท่านอธิบายว่า จิตมีอารมณ์เดียวด้วยสมาธินั้น.

บทว่า ตตฺถ ชาเต (ธรรมที่เกิดในภาวนานั้น) คือธรรมที่เกิดในสมถะนั้นด้วยความประกอบ หรือที่มีวิปัสสนาเป็นอารมณ์เกิดในสมถะนั้น.

บทว่า ตตฺถ สิกฺขติ (พระเสกขะยังต้องศึกษาในสัมมาทิฏฐิเป็นต้นนั้น) ความว่า ชื่อว่า เสกขพละ เพราะพระเสกขะยังต้องศึกษาในเสกขพละนั้น.

บทว่า ตตฺถ สิกฺขิตตฺตา (เพราะความที่พระอเสกขะศึกษาในสัมมาทิฏฐิเป็นต้นนั้นเสร็จแล้ว) ความว่า ชื่อว่า อเสกขพละ เพราะพระอเสกขะศึกษาแล้วในอเสกขพละนั้นเสร็จแล้ว.

บทว่า เตน อาสวา ขีณา (อาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยสัมมาทิฏฐินั้น หรือด้วยความเห็นด้วยดีนั้น) ความว่า ญาณนั้น ชื่อว่า ขีณาสวพละ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปแล้วด้วยโลกิยญาณและโลกุตรญาณนั้น จริงอยู่ อาสวะทั้งหลาย ชื่อว่า สิ้นไปแล้วด้วยโลกิยญาณ เพราะเมื่อไม่มีวิปัสสนา โลกุตรธรรมก็มีไม่ได้ ชื่อว่า ขีณาสวพละ เพราะเป็นกำลังของพระขีณาสพอย่างนี้.

บทว่า ตํ ตสฺส อิชฺฌตีติ อิทฺธิพลํ (ชื่อว่า อิทธิพละเพราะ


ความคิดเห็น 27    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 633

อรรถว่า ฤทธิ์ย่อมสำเร็จเพราะการอธิษฐานเป็นต้น) ความว่า ฤทธิ์นั่นแหละเป็นกำลังจึ งชื่อว่า อิทธิพละ เพราะฤทธิ์ย่อมสำเร็จแก่ผู้มีฤทธิ์นั้น.

บทว่า อปฺปเมยฺยฏฺเน (เพราะอรรถว่า เป็นกำลังหาประมาณมิได้) คือสาวกทั้งหลายย่อมรู้ฐานะและอฐานะเป็นต้นโดยบางส่วน ท่านกล่าวว่า ยถาภูตํ ปชานาติ (ย่อมทรงทราบตามความเป็นจริง) หมายถึงความรู้นั่นแหละโดยอาการทั้งปวง ถึงแม้ท่านจะไม่กล่าวว่า ยถาภูตํ ปชานาติ ไว้ในวิชชา ๓ ก็จริง แต่เพราะท่านกล่าวไว้แล้วในที่อื่น จึงเป็นอันกล่าวแม้ในวิชชาเหล่านั้นด้วย.

บทว่า อญฺตฺถ (ในที่อื่น) คือในญาณพละ ๗ ที่เหลือและในพละ ๑๐ ในอภิธรรม อนึ่ง อินทริยปโรปริยัตตญาณไม่ทั่วไปด้วยสาวกทั้งหลาย แม้โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น แม้พละ ๑๐ ก็ไม่ทั่วไปด้วยสาวกทั้งหลาย พละ ๑๐ ชื่อว่า หาประมาณมิได้ เพราะอรรถว่า มีประมาณยิ่ง เพราะอรรถว่า ชั่งไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อปฺปเมยฺยฏฺเน ตถาคตพลํ (ชื่อว่า ตถาคตพละ เพราะอรรถว่า เป็นกำลังหาประมาณมิได้) ด้วยประการดังนี้.

จบอรรถกถาพลกถา