
[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม 3 - หน้า 327 -328
๔. โคมยปิณฑสูตร
ว่าด้วยความไม่เที่ยงแท้แน่นอนแห่งขันธ์ ๕
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ไม่มีเลย รูป บางอย่าง ที่เป็นของเที่ยง ยั่งยืน สืบต่อกันไป ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จักดำรงคงที่อยู่อย่างนั้นเอง เสมอด้วยสิ่งที่ยั่งยืนทั้งหลาย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่มี เวทนา อะไรบางอย่าง ... สัญญา บางอย่าง ... สังขาร บางอย่าง ... วิญญาณ บางอย่าง ที่เป็นของเที่ยง ยั่งยืน สืบต่อกันไป ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จักดำรงคงที่อยู่อย่างนั้นเอง เสมอด้วยสิ่งที่ยั่งยืนทั้งหลาย.
[๒๔๙] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหยิบก้อนโคมัยเล็กๆ ขึ้นมาแล้ว ได้ตรัสกะภิกษุนั้นดังต่อไปนี้ว่า.
ดูก่อนภิกษุ ไม่มี อัตภาพ ที่ได้แล้ว แม้ประมาณเท่านี้เลย ที่เป็นของเที่ยง ยั่งยืน สืบต่อกันไป ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จักดำรงคงที่อยู่อย่างนั้นเอง เสมอด้วยสิ่งที่ยั่งยืนทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุ แม้ผิว่า จักได้มีอัตภาพที่ได้มาประมาณเท่านี้ ที่เป็นของเที่ยง ยั่งยืน ติดต่อกันไป ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาแล้วไซร้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อความสิ้นไปแห่งทุกข์โดยชอบ ก็จะไม่ปรากฏ. ดูก่อนภิกษุ เพราะเหตุที่ไม่มีเลย อัตภาพที่ได้มาแล้ว ประมาณเท่านี้ ที่จะเป็นของเที่ยง เป็นของยั่งยืนติดต่อกันไป มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา ฉะนั้นการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นไปแห่งทุกข์โดยชอบ จึงปรากฏ.
[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม 3 - หน้าที่ 58
ว่าด้วยขันธ์ ๕ เป็นภาระ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภาระเป็นไฉน พึงกล่าวว่า ภาระ คืออุปาทาน ขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน คือ อุปาทานขันธ์ คือรูป อุปาทานขันธ์ คือ เวทนา อุปาทานขันธ์ คือสัญญา อุปาทานขันธ์ คือ สังขาร และ อุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าภาระ.
[๕๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้แบกภาระเป็นไฉน พึงกล่าวว่า บุคคลบุคคลนี้นั้น คือ ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย นี้เรียกว่า ผู้แบกภาระ.
[๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็การถือภาระเป็นไฉน ตัณหานี้ใด นำให้เกิดภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน มีปกติเพลิดเพลินยิ่งในภพหรืออารมณ์นั้นๆ ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าการถือภาระ.
[๕๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็การวางภาระเป็นไฉน ความที่ ตัณหานั่นแล ดับไปด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ ความสละ ความสละคืน ความพ้น ความไม่อาลัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าการวางภาระ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิต นี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกในภายหลังว่า
[๕๓] ขันธ์ ๕ ชื่อว่าภาระแล และผู้แบกภาระคือบุคคล การถือ ภาระเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ในโลก การวางภาระเสียได้เป็นสุข บุคคลวางภาระหนักเสียได้แล้ว ไม่ถือภาระอื่น ถอนตัณหาพร้อมทั้ง มูลรากแล้ว เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้วดังนี้.
อ.อรรณพ: กราบท่านอาจารย์ครับ ไม่ต้องพูดถึง ที่อยากจะไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏเป็นสภาพธรรมะที่ละเอียด อย่างเมื่อสักครู่ อ.ธีรพันธ์ยกตัวอย่าง ธาตุน้ำ ก็เป็นรูปละเอียดที่ไม่ได้ปรากฏ ไม่เหมือนกับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ซึ่งกำลังกระทบกายอยู่ในขณะนี้ แต่กราบท่านอาจารย์ว่า แม้สิ่งที่ปรากฏอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว นี่ปรากฏแน่ แต่ก็ยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงเลย เพราะฉะนั้น แม้สิ่งที่ปรากฏก็ไม่อาจที่จะรู้ หรือเปิดเผยลักษณะนั้นได้ ไม่กล่าวถึงว่าจะไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏครับ เพราะแม้สิ่งที่ปรากฏทางกายก็ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงครับ
ซึ่งเมื่อคืนก็มีการสนทนากันในเรื่องของพระมหากรุณาคุณที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจำแนกธรรมะตั้งแต่เบื้องต้นเลย โดยจะเป็นนามธรรมรูปธรรม แล้วคำหนึ่งที่พระองค์ทรงแสดง ก็คือธรรมะที่เป็นขันธ์ครับ ก็พอเข้าใจตามเรื่องที่ได้ฟังตามคำของพระองค์ว่า ขันธ์ก็คือสภาพธรรมที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับ แล้วก็มีสภาพธรรมที่อย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ก็เป็นส่วนของรูปที่เป็นขันธ์ แล้วก็ปรากฏอยู่ แต่แม้กระนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง
แต่ที่จะกราบเท้าถามท่านอาจารย์ ก็คือแม้ข้อความในพระไตรปิฎกก็มากมาย เช่น ฉลาดในขันธ์ อย่างนี้ครับ แม้เราจะศึกษาเรื่องขันธ์ สิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นแล้วดับ แล้วก็ได้แก่ส่วนของรูป ส่วนของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เข้าใจได้อย่างนี้ แต่การที่จะเข้าใจใกล้ชิดในความลึกซึ้งจริงๆ ของสภาพธรรมที่เกิดดับปรากฏอยู่ แต่ก็ไม่ได้รู้ง่ายๆ
เพราะฉะนั้น การที่จะไม่ไปคิดไม่ไปสนทนากันเพียงเรื่องราวในการที่จะได้ประโยชน์จากการที่ได้ค่อยๆ รู้ในความเป็นธรรมะตั้งแต่ธรรมะที่เกิดดับ ธรรมะที่ไม่เกิดดับพระนิพพานนี่ไม่ต้องกล่าว
เพราะฉะนั้น ธรรมะที่เกิดดับ คือขันธ์ การที่จะค่อยๆ เข้าใจ คือไม่ต้องฉลาดมากในขันธ์ การเริ่มต้นของการที่จะรู้จากขันธ์คืออย่างไร เพราะว่าเมื่อคืนก็ไม่สามารถที่จะ นำไปสู่ความลึกซึ้งที่จะเป็นประโยชน์ในการรู้สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ที่เป็นขันธ์ครับ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีขันธ์ไหม?
อ.อรรณพ: มีครับ
ท่านอาจารย์: หมายความว่ารู้จักขันธ์ จึงตอบว่ามีขันธ์
อ.อรรณพ: จากการที่ได้ฟังได้ไตร่ตรองพระธรรมครับ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีขันธ์อะไร?
อ.อรรณพ: มีเย็นครับ
ท่านอาจารย์: เป็นอะไร รู้จักไหม "เย็น" มีจริงๆ กำลังเย็นเป็นขันธ์หรือเปล่า?
อ.อรรณพ: เป็นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เย็นเป็นเรา หรือเย็นเป็นขันธ์?
อ.อรรณพ: เย็นเป็นขันธ์ ไม่ใช่เราครับ
ท่านอาจารย์: จนกว่าจะรู้ว่า เย็นไม่ใช่เรา เย็นเป็นขันธ์
ไม่ใช่ฟังแล้วก็พูดตามกันไปหมดเลย แต่เย็นกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะก็ศึกษาให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรแต่ละหนึ่งขณะ
เดี๋ยวนี้มีเย็น แล้วมีอะไรอีก?
อ.อรรณพ: มีคิดครับ
ท่านอาจารย์: แล้วมีอะไรอีก?
อ.อรรณพ: มีได้ยินครับ
ท่านอาจารย์: มีอะไรอีก?
อ.อรรณพ: มีสีครับ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา
ท่านอาจารย์: มีอะไรอีกๆ ๆ เห็นไหม? มีความไม่รู้สิ่งที่เย็น
อ.อรรณพ: มีความไม่รู้สิ่งที่เย็น
ท่านอาจารย์: ก็ไปคิดถึงอย่างอื่นหมดเลย
อ.อรรณพ: มีความไม่รู้สิ่งที่เย็น และความไม่รู้สิ่งที่เย็นก็เป็นธรรมะที่ ...
ท่านอาจารย์: ก็จำไว้เท่านั้นว่า เป็นขันธ์ จำไว้เท่านั้นว่าเป็นขันธ์ แต่ต้องเข้าใจความลึกซึ้งตามที่ได้ฟังว่า ขันธ์คืออะไร? ไม่ใช่แค่เย็นเป็นขันธ์เท่านั้น
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะเมื่อเข้าใจลักษณะของธรรมะ ก็จะทำให้เข้าใจลักษณะของธรรมะอื่นๆ เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เพียงชื่อแต่ว่ามีลักษณะจริงๆ
เย็นกำลังปรากฏ มีจริงไม่ใช่ไม่มี ถ้าเย็นไม่เกิดไม่มีเย็น เย็นเกิดแล้วเย็นก็ดับ
กว่าจะรู้ว่า ฟังธรรมะเพื่อรู้ตรงนี้แต่ละหนึ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง ละเอียดขึ้นๆ โดยเริ่มจากการเป็นผู้ตรงต่อความจริง
เย็นมีจริง ถูกต้อง เย็นเป็นอะไรไม่ได้นอกจากเย็น
ถูกต้อง เย็นเกิดขึ้นเป็นเย็น ถูกต้อง และเย็นก็ดับไป นี่คือความจริงของแต่ละหนึ่งซึ่งก่อนเกิดไม่มีสิ่งนั้น แล้วก็มีสิ่งนั้นที่เกิดแล้วก็ดับ
เพราะฉะนั้น มั่นคงในความเป็นจริงถึงจะรู้ว่า การเข้าใจธรรมะทั้งหมดต้องถึงความเป็นสิ่งนั้นในขณะนี้ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงคือยังไม่รู้ความจริงของอะไรเลยทั้งสิ้น มีแต่ตัวหนังสือมีแต่ความจำมีแต่เรื่องราว แต่ว่าเรื่องราวทุกคำในตัวหนังสือกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีให้มีความเข้าใจขึ้น ตรงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นตามลำดับ
นี่คือ การศึกษาธรรมะตัวธรรมะจริงๆ ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ขันธ์ 5 เป็นของไม่เที่ยง [โคมยปิณฑสูตร]
ขอเชิญฟังเพิ่มได้ที่..
ความสงสัยในขันธ์
ขันธ์ ๕ - ปรมัตถธรรม ๓
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ