ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๗
~ ชาตินี้ทุกคนก็มีปัญญาคนละนิดคนละหน่อย และจะเพิ่มขึ้นๆ ต่อไปอีก ชาติหนึ่งๆ ก็จะมีปัญญาเพิ่มขึ้นอีกๆ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของปัญญาซึ่งเจริญขึ้น ไม่ใช่ว่าปัญญาที่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจะเกิดขึ้นได้ฉับพลัน โดยไม่มีการสะสม ไม่มีการเจริญปัญญาในอดีตเลย
~ ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นตนเองเท่านั้นนำทุกข์มาให้แก่ตนเอง ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่สิ่งอื่น จะโทษใครไม่ได้เลย นอกจากอวิชชา นอกจากโลภะ นอกจากอกุศลเจตสิกของตนเอง ซึ่งสะสมมา
~ ชีวิตปกติประจำวัน จะไม่ละกิเลสเลยหรือ หรือว่าจะไม่ขัดเกลากิเลสเลยหรือ เพราะเหตุว่าถ้ายังคงมีกิเลสมากมายในชีวิต ก็เพิ่มกิเลสทุกขณะอกุศลก็หนาแน่นมาก ถ้าเป็นคนที่มีจิตใจดีเป็นไปทางฝ่ายกุศล ก็ยังสามารถที่จะไม่ให้โอกาสแก่อกุศลเกิดขึ้น เพราะอกุศลทั้งหมด ไม่สามารถที่จะทำให้รู้ความจริงได้
~ วันหนึ่งๆ ทุกท่านก็แสวงหาความเพลิดเพลินยินดี ไม่ว่าจะเป็นความเพลิดเพลินยินดี ในธิดา ในบุตร ในทรัพย์ ในการเล่น ในการฟ้อน การขับประโคมดนตรีต่างๆ แต่ว่าความยินดีนั้นๆ ทั้งหมด ยังสัตว์ให้ตกไปในสังสารวัฏฏ์ แล้วเสวยทุกข์โดยแท้ ต่างกับความยินดีของผู้แสดงธรรมก็ดี ผู้ฟังธรรมก็ดี ผู้กล่าวสอนธรรมก็ดี ความยินดีในธรรมเห็นปานนี้แหละ ประเสริฐกว่าความยินดีทั้งปวง
~ เรื่องของอกุศลในวันหนึ่งๆ เช่นเดียวกับเรื่องของกุศล คือ เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แล้วแต่ละท่านจะไม่เห็นการสะสมของอกุศลแต่ละขณะ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจว่า ค่อยๆ เพิ่มขึ้นและสะสมปรุงแต่งทำให้มีอกุศลจิตที่วิจิตรที่ทำให้เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจาที่ต่างกันออกไปในวันหนึ่งๆ มากสักแค่ไหน แต่พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้โดยละเอียด ทรงชี้ให้เห็นอกุศล ซึ่งในขณะที่จิตเป็นอกุศลจะมีการกระทำทางกายและวาจาอย่างไรบ้าง ซึ่งต่างกับขณะที่เป็นกุศล
~ ไม่ควรที่จะประมาทในเรื่องของอกุศล และก็จะเห็นได้ว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ย่อมเป็นประโยชน์ในทุกทางที่จะให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาธรรมโดยละเอียดจริงๆ เพราะเหตุว่าถ้าต้องการที่จะเจริญปัญญาเจริญกุศล ก็ต้องไม่ประมาทที่จะรู้จักอกุศลของตนเองด้วย
~ ผู้ที่สอนสิ่งที่ไม่จริงเป็นมุสาวาท มุสาวาทในที่นี้หมายความว่า คำที่สอนทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่จริงไม่เป็นเหตุ ไม่เป็นผล ไม่เป็นหนทางแท้จริงที่จะให้เกิดปัญญาได้ เพราะฉะนั้น คำสอนนั้นๆ ทั้งหมดเป็นมุสาวาท แต่ถ้าเป็นพระธรรมเทศนาที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ตรัสมุสาวาทเลย
~ จะต้องมีกุศลที่ได้สะสมไว้ในปางก่อนเป็นปัจจัยทำให้พอใจในการฟังพระธรรม และมีการพิจารณาให้เข้าใจขึ้น โดยที่ขณะนี้ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แท้ที่จริงแล้วก็เป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นอายตนะทั้งหลายนั่นเอง แต่ถ้าไม่พิจารณา ก็ฟังเรื่อง แล้วก็ลืมว่า ปรมัตถธรรมคืออะไร
~ บุญทั้งหลายที่คิดว่าจะเกิดได้มากนั้น เป็นไปไม่ได้ถ้าไม่ฟังพระธรรม แต่ถ้ามีการฟังพระธรรมและเข้าใจและน้อมประพฤติปฏิบัติตาม กุศลนานาประการจะเจริญขึ้น
~ ไม่อยากให้บุคคลอื่นพูดเท็จกับตน แต่ท่านพูดเท็จกับคนอื่นบ้างหรือเปล่า
~ กุศลที่เกิดขึ้นที่ท่านเจริญอบรมขึ้น จะชนะความไม่ดีที่มีอยู่ในตัวท่านเอง
~ ถ้าจะให้สภาพธรรมที่ไม่ดีที่สะสมมาในสังสารวัฏฏ์หมดได้ต้องมีความอดทนต่อทุกอย่างที่เคยเป็นอกุศล แค่ไตร่ตรองก็น่าจะเห็น เวลาโกรธสบายใจไหม? แล้วโกรธทำไม? ก็ห้ามไม่ได้เมื่อมีเหตุจะให้โกรธ แต่ถ้ารู้จริงๆ เข้าใจจริงๆ เห็นโทษว่าความโกรธไม่ได้ทำร้ายคนอื่นเลยนอกจากบุคคลผู้โกรธเท่านั้น แล้วจะพยายามจะทำร้ายตัวเองต่อไปไหม? ฉลาดไหม? ไม่มีใครทำให้เราโกรธได้นอกจากการสะสมมาเป็นปัจจัย ถ้าสะสมต่อไปอีก ก็โกรธง่าย แรง ไม่อภัยต่อไปอีก แต่ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้นทีละน้อย ความเข้าใจนั้นต่างหากที่จะทำให้เริ่มเห็นโทษของความไม่ดีทุกอย่างไม่ใช่แต่เฉพาะความโกรธอย่างเดียว นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สามารถจะรู้ได้เพราะสิ่งที่เกิดในชีวิตประจำวันไม่ใช่ของคนอื่นมาทำให้เกิดได้แต่ต้องของตนเองที่สะสมมา
~ คนที่โกรธบ่อยๆ สามารถรู้ได้ว่าใจขุ่นนาน ไม่เห็นหมดไปจากใจสักที อยากจะให้หมดๆ ไป ก็ไม่หมด บางทีขุ่นอยู่นาน และกลับมาขุ่นอีก แสดงให้เห็นว่า เป็นอกุศลธรรมที่ผูกมัดไว้ไม่ปล่อยไปสู่กุศล ยากแสนยากที่สภาพของจิตซึ่งชินและสะสมอกุศลมามากๆ จะเป็นกุศลได้บ่อยๆ และโดยรวดเร็ว
~ การที่คิดจะให้ ก็คงจะมีบ้าง แล้วก็ให้จริงได้หรือเปล่า หรือว่าเพียงคิด ถ้ายังให้จริงๆ ไม่ได้ ก็แสดงว่า ยังมีความตระหนี่อยู่ แล้วจะชนะความตระหนี่ที่มีในขณะนั้นได้อย่างไร มีด้วยวิธีเดียว คือ พึงชนะความตระหนี่ด้วยการให้ ให้ทันทีในขณะนั้น ชนะความตระหนี่ แต่ถ้ายังรีรอ ก็ไม่ชนะ
~ เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ สำหรับคำนินทาและสรรเสริญ เมื่อเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนี้ ใครเสียเวลาเร่าร้อนใจ หวั่นไหว ก็เป็นผู้ไม่ฉลาดเลย เพราะเหตุว่าไม่รู้สภาพธรรมที่เป็นธรรมดาของโลก
~ ถ้าใครทำกุศลกรรมถึงคนอื่นจะไปขอร้องไม่ให้กุศลกรรมให้ผล ก็เป็นไปไม่ได้ หรือว่าถ้าใครทำอกุศลกรรม ถึงใครจะไปช่วยกันอ้อนวอน ขอร้องอย่าให้บุคคลนั้นได้รับผลของอกุศลกรรม ก็เป็นไปไม่ได้เลยเหมือนกัน
~ ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ในสังสารวัฏฏ์อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็จะทำให้อกุศลวิบากจิตเกิด เห็นสิ่งที่ไม่ดีทางตา ได้ยินเสียงที่ไม่ดีทางหู ได้กลิ่นที่ไม่ดีทางจมูก ลิ้มรสที่ไม่ดีทางลิ้น กระทบสัมผัสสิ่งที่ไม่สบายทางกาย ตลอดไปจนถึงกาลที่จะปรินิพพาน โดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งได้
~ เรื่องของสภาพธรรมทั้งหลายที่เป็นอนัตตานั้น ถ้ายังมีเหตุปัจจัยของอกุศลธรรมอยู่ อกุศลธรรมนั้นก็เกิด และก็เป็นปัจจัยให้กระทำอกุศลกรรมได้ ถึงแม้ว่าท่านเป็นผู้ที่ใคร่จะดับกิเลส แต่ถ้ายังมีปัจจัยที่จะให้ทำทุจริตกรรมอยู่ ทุจริตกรรมก็ย่อมเกิดได้
~ ถึงเขาจะเป็นคนเลวสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่เราก็สามารถมีความหวังดีได้ ไม่ใช่ไปช่วยเขาทำความเลว แต่หมายความว่า หวังดีที่จะให้เขาได้เป็นคนดีและเข้าใจธรรม
~ ต้องไม่ลืมว่าพระธรรมทั้งหมด ไม่ใช่แค่ชื่อเท่านั้น แต่เป็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งด้วยพระปัญญาคุณที่ได้สะสมมา ก็ทรงแสดงธรรมนั้นโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง โดยนัยต่างๆ
~ อย่ามองข้ามสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด คือ กุศลทุกอย่าง เพราะถ้าปราศจากกุศลเหล่านี้แล้ว จิตก็เป็นอกุศล
~ ปัญญาประเสริฐสุด แต่ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีทางที่ปัญญาจะเกิดได้เลย
~ ที่ได้เกิดมาเป็นคนนี้ ในชาตินี้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่แท้จริง คือ ได้เข้าใจธรรม
~ ทุกท่านก็ยังมีร่างกาย มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ที่จะคิด ที่จะไตร่ตรองธรรม ที่จะพิจารณารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ที่จะเป็นประโยชน์ ก็ควรที่จะใช้ร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๖


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ