การดูหมิ่นบุคคลอื่น
โดย chatchai.k  15 ต.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 38242

พระผู้มีพระภาคทรงโอวาทโดยละเอียดถี่ถ้วน เพื่อเกื้อกูลอุปการะแก่จริตอัธยาศัยของทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต


กิเลสไม่ได้ละเว้นเลยตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า ถึงแม้จะเป็นบรรพชิตที่มีความเป็นอยู่อย่างเศร้าหมอง แต่กิเลสนี้ก็ยังทำให้ภิกษุรูปนั้นดูหมิ่นภิกษุอื่นที่เป็นอยู่อย่างประณีตได้ นี่เป็นเรื่องของบรรพชิต แต่ว่าสำหรับเรื่องของท่านเอง วันหนึ่งๆ เป็นอย่างนี้บ้างไหม นี่คือสภาพชีวิตตามความเป็นจริง เคยดูหมิ่นบุคคลอื่นบ้างหรือเปล่า โดยประการใดๆ ก็ตามแม้สักเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ เมื่อมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นปรากฏให้รู้ แต่ถ้าสติไม่เกิด ไม่รู้ ไม่เคยรู้เลยว่า เป็นสิ่งที่ควรจะ ขัดเกลา ละคลาย บรรเทา และให้ดับเป็นสมุจเฉทจริงๆ

ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงทรงโอวาททุกประการ เพื่อท่านผู้ใดที่มีอุปนิสัยอัธยาศัยอย่างไร ซึ่งแต่ก่อนนี้อาจจะยังไม่เคยทราบ ไม่เคยระลึกรู้ว่า ตัวท่านเป็นอย่างนี้ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงก็จะช่วยเตือนให้ท่านได้พิจารณาตัวท่านเองว่า เป็นอย่างนี้บ้างไหม

หรือว่ามีใครบ้างที่ไม่เป็นอย่างนี้เลย เพราะว่าทุกท่านจะต้องมีกิเลสแต่ละชนิด ซึ่งตัวท่านเองเท่านั้นที่จะเป็นผู้รู้ดีว่า ท่านมีกิเลสประเภทใดที่ยังมากมายเหลือเกิน และกิเลสชนิดใดที่ไม่มากมายเท่ากับกิเลสอื่น ซึ่งท่านก็จะได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

แม้ในความเป็นอยู่ ซึ่งเป็นนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกรรมที่ได้สะสมมาเฉพาะตนแต่ละท่าน ใครจะได้รับความสุขมาก ใครจะได้รับความสุขน้อย ใครจะเป็นอยู่อย่างเศร้าหมอง ใครจะเป็นอยู่อย่างประณีต ก็แล้วแต่บุญกรรมที่ได้กระทำแล้ว มีโอกาสให้ผลเมื่อไรก็เป็นปัจจัยให้นามธรรมนั้นๆ รูปธรรมนั้นๆ เกิดขึ้น ไม่ควรที่จะยึดถือด้วยกิเลส และเกิดกิเลสที่ทับถมขึ้นโดยการที่ดูหมิ่นบุคคลอื่น

แต่ว่ากิเลสที่สะสมมา ก็กระทำให้ดูหมิ่นบุคคลอื่นได้ ถ้าเป็นภิกษุผู้ที่มีความเป็นอยู่อย่างเศร้าหมอง ก็ดูหมิ่นภิกษุผู้ที่มีความเป็นอยู่อย่างสบาย อย่างประณีต และสำหรับภิกษุผู้ที่มีความเป็นอยู่อย่างประณีต ก็ยังมีกิเลสที่ทำให้ดูหมิ่นภิกษุอื่นผู้ที่เป็นอยู่อย่างเศร้าหมอง

ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่ดับกิเลสได้ตามความเป็นจริง แม้แต่บุคคลที่มีปัญญา ใครถามปัญหาก็แก้ได้ ถ้าขณะนั้นดูหมิ่นบุคคลอื่นว่า มีปัญญาน้อยกว่าไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ ขณะนั้นผู้ที่มีสติหรืออบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ควรจะเห็นกิเลสโดยชัดเจนว่า เพราะยังมีกิเลสอยู่ จึงมีปัจจัยที่จะให้ปรากฏเป็นความดูหมิ่นอย่างนั้นขึ้น แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้เป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน สติจะเกิดได้ไหมที่จะระลึกรู้อย่างนั้น ในขณะนั้นทันที ก็ย่อมเกิดไม่ได้ เมื่อสติและปัญญาเกิดไม่ได้ การดับ การละกิเลสที่ปรากฏในขณะนั้น ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้น กิเลสทั้งหมดที่มีปัจจัยเกิดขึ้น ที่จะละ หรือว่าจะดับได้เป็นสมุจเฉท ก็ด้วยการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ด้วยสติที่เกิดขึ้นระลึกรู้ จึงจะละการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้นว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงสภาพของนามธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

เป็นเรื่องของกิเลสที่ปรากฏให้รู้ สำหรับผู้ที่ระลึกได้

รับฟัง และ อ่านรายละเอียด

ภิกษุไม่พึงดูหมิ่นผู้อื่น