ประสบการณ์ การอธิบายธรรมมะ ให้กับผู้ไม่เคยฟัง
โดย peeraphon  13 ก.ค. 2555
หัวข้อหมายเลข 21406

ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ การสะสมมาของแต่ละบุคคล ก็เกิดขึ้นได้เพราะมี ธาตุรู้ คือจิตและเจตสิก. เมื่อฟังธรรมะ และเริ่มเข้าใจ และรู้ว่านี่คือหนทางเดียวที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จึงอยากแบ่งปันให้ คนที่รู้จัก ผู้ที่ดูแล้วน่าจะมีการโน้มเข้าหาพระธรรมจริงๆ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็มีการอธิบายให้ผู้อื่นที่ยังยึดถือในสิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล และผู้ที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ (ปัจจุบันเห็นเยอะมากขึ้นทุกที) ส่วนใหญ่ก็จะเจอกับเหตุผลของผู้นั้น และข้อโต้แย้ง ที่เป็นความคิดของตัวเอง แต่บางคนก็เข้าใจ เริ่มฟัง แต่สุดท้ายก็หยุดฟังไป.

ไม่ทราบว่า สหายธรรมทุกท่าน พิจารณา หรือมีวิธีการแบ่งปันธรรมะ ให้กับผู้อื่นอย่างไรครับ? โดยเฉพาะกับผู้ที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดครับ

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ



ความคิดเห็น 1    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 13 ก.ค. 2555

มาฟังคำตอบจากท่านอาจารย์กันดีกว่าค่ะ ...

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส

ท่านอาจารย์ ...

มีหนทางเดียว คือ พระธรรมเท่านั้น ไม่ทราบจะช่วยอย่างไร อย่างอื่น

คุณกฤษณา ...

พระธรรม ทีนี้ถ้าไม่ฟังก็ ...

ท่านอาจารย์ ...

ไม่ฟังก็ไม่มีทาง

คุณกฤษณา ...

ไม่มีทางอื่นเลย ใช่ไหมคะ

ท่านอาจารย์ ...

ทีนี้ โดยมากเราจะคิดถึงช่วยคนอื่น ใช่ไหมคะ?

แต่ว่าตัวของเราเองก็เป็นผู้ละเอียดที่จะรู้ว่า ความเห็นผิดที่เป็นความเห็นผิดชัดๆ เราไม่มี

แต่ว่าความเห็นผิดเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ ยังมีไหม?

เพราะว่าเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ

เวลาที่เราคิดถึงคนอื่น ขณะนั้นก็เป็นจิตที่มีคนอื่นเป็นอารมณ์ แล้วก็คิดถึงจะช่วยเขา

ซึ่งความจริงแล้ว ก็เป็นแต่เพียงความคิดของเราขณะนั้น ที่เกิดขึ้นที่คิดจะช่วย

... นี่โดยปรมัตถ์

จะเห็นได้ว่า ถ้าเราเป็นผู้ที่ระลึกลักษณะสภาพของจิตบ่อยๆ จะทำให้เราเข้าใจถูกขึ้น

แล้วก็เป็นเรื่องของแต่ละคนต้องปฏิบัติกิจของตนเอง

เราอยากจะช่วยคนอื่นจริง ถ้าเขาพร้อมจะให้ช่วย

มีข้อแม้อยู่นิดเดียว ถ้าเขาพร้อมจะให้ช่วย

เมื่อไรที่เขาพร้อม เราช่วยได้ทันที

แต่ถ้าเขายังไม่พร้อม คิดว่าจะไม่สำเร็จแล้วก็คงจะเสียเวลา

คุณกฤษณา ...

พร้อมนี่หมายถึงเขายินดีที่จะรับฟังพระธรรม ใช่ไหมคะ?

ท่านอาจารย์ ...

ไม่ทราบคุณกฤษณาอยากจะช่วยใครบ้างคะ?

คุณกฤษณา ...

ก็พวกพี่น้อง

ท่านอาจารย์ ...

เท่านั้นหรือ คนอื่นล่ะคะ?

คุณกฤษณา ...

คนอื่นด้วย ที่รู้จัก

ท่านอาจารย์ ...

เพราะฉะนั้นที่เราทำอยู่นี้คือการช่วยแล้ว ใช่ไหมคะ?

คือช่วยตัวเราเองให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น

เพื่อว่า เมื่อไรที่เราสามารถจะช่วยคนอื่นได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร

ข้อสำคัญที่สุด คือ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เมื่อเขาพร้อมที่จะรับฟัง

เพราะฉะนั้นเราจะเลือกบุคคลไม่ได้ว่า จะช่วยญาติ หรือจะช่วยเพื่อน

แต่ต้องเป็นคนที่พร้อม!

คุณกฤษณาเบาใจขึ้นไหมที่ไม่คิดเจาะจงจะช่วยคนนั้นคนนี้

แต่ว่าพร้อมที่จะช่วยใครก็ได้ที่เขาพร้อม เบาใจขึ้นไหมคะ?

คุณกฤษณา ...

ยังหนักใจนิดหนึ่งตรงที่ว่า ตัวเองก็ยังไม่ค่อยจะพร้อมเท่าไร

แต่ว่าก็อยากจะช่วยคนอื่นด้วย

ท่านอาจารย์ ...

แต่ทุกคนจะสังเกตได้ว่า ขณะใดที่จิตเป็นกุศลแท้ๆ จริงๆ ขณะนั้นเบา

แต่ถ้าขณะใดแม้ว่าดูเหมือนเป็นกุศล เพราะว่าอยากจะช่วยคนนั้นคนนี้

แต่จริงๆ แล้วขณะนั้นเป็นความหนัก แสดงให้เห็นว่า ขณะนั้นไม่ใช่กุศล

เพราะฉะนั้น สามารถที่จะเปลี่ยนสภาพของอกุศลจิตเป็นกุศลจิตได้

คือรู้ว่าไม่มีใครสามารถจะช่วยใครได้จริงๆ เขาต้องช่วยตัวเขาเอง

แต่เรามีหนทางที่ว่า เมื่อได้ศึกษาธรรมแล้ว เข้าใจแล้ว ก็มีโอกาส

คุณกฤษณา ...

อยากจะช่วยสักนิดหนึ่ง

อยากจะให้เขาได้แม้ฟังพระธรรมสักนิดหนึ่ง

อยากจะช่วยให้เขาได้ฟัง

ท่านอาจารย์ ...

แล้วสำเร็จไหมคะ

คุณกฤษณา ...

ก็ไม่

ท่านอาจารย์ ...

ไม่ เพราะฉะนั้น ก็อย่างที่ว่า

ต่อให้เราอยากสักเท่าไร ก็ต้องแล้วแต่ว่า คนอื่นพร้อมหรือยัง?

คุณชวลิต ...

เป็นไปได้ไหม อาจารย์ครับ

เราจะสอนหรือจะบอกเขาตอนที่ถึงแม้เขาจะฟังไม่เข้าใจ บอกเขาฟังเอาบุญ

อย่างที่มีการเทศน์กันทั่วๆ ไป ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร

ฟังเอาบุญก็แล้วกัน

ท่านอาจารย์ ...

จริงๆ แล้วดิฉันก็มีวิธี อย่างเวลารับประทานอาหาร

ถ้าเป็นรายการ ๗ โมงครึ่ง ก็เปิดธรรมไว้ที่โต๊ะเบาๆ

ใครจะฟังบ้าง ไม่ฟังบ้างก็แล้วแต่

คือถ้าเป็นโอกาสซึ่งทุกคนอยู่พร้อมหน้า แต่จะไม่บอกใครเลยว่าให้ฟัง

เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะบอกเขา

แต่ถ้าเขาได้ยิน แล้วเกิดความสนใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

เพราะว่าโอกาสนั้นก็เป็นโอกาสซึ่งทุกคนอยู่ที่โต๊ะอาหารได้

ถ้าเป็นโอกาสอื่น ต่างคนต่างก็แยกกันอยู่ ก็ไม่ได้ฟัง


ท่านใดที่สนใจจะรับฟังเพิ่มเติม คลิกฟังได้ที่ลิงก์ค่ะ

ช่วยอย่างไรไฝม่ให้เขาเห็นผิด

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย isme404  วันที่ 13 ก.ค. 2555
กราบอนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 3    โดย เข้าใจ  วันที่ 13 ก.ค. 2555

เป็นการลำบากอย่างยากยิ่งครับ ในการจะให้คนใดคนหนึ่งมาฝักใฝ่ในพระธรรมคำสั่งสอนของพระตถาคตเจ้า เพราะว่าการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมนั้น ต้องเกิดจากจิตใจลึกๆ ที่อยู่ในจิตใจจริงๆ ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไรครับ

ก็ถ้าจะให้ไปเดาจิตใจของผู้อื่น หรือเดาจิตเจตสิกของผู้อื่นนั้น ไม่สามารถเป็นไปได้ครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือแม้แต่เพื่อนบ้าน ทุกคนมีความอิสระทางความนึกคิด มีจิตใจของตนเป็นใหญ่ ไม่มีใครฟังใครหรอกครับ และก็การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของการเสแสร้ง ถ้าคิดเสแสร้ง ก็เสแสร้งไม่ได้นานหรอกครับ เดี๋ยวกิเลสพื้นเดิมก็ต้องปรากฏออกมา แล้วก็เลิก

อีกอย่างหนึ่ง เรื่องเกี่ยวกับพระภิกษุสงฆ์ด้วย เห็นแล้วก็ต้องถอนใจใหญ่ครับ ปัจจุบันไม่ทราบวัดไหนที่ยังถือพระวินัยได้อย่างเคร่งครัดบ้างครับ เรื่องของกิเลสนั้น หลงลืมสติทีไรเป็นเรื่องทุกทีครับ จิตใจนั้นไม่ใช่ของใคร บางครั้งจิตใจก็เชื่อถือไม่ได้ครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย วิริยะ  วันที่ 13 ก.ค. 2555

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย wannee.s  วันที่ 14 ก.ค. 2555

พระธรรมไม่สาธารณะกับทุกคน ต้องเป็นผู้ที่เคยสะสมบุญไว้แล้วในปางก่อน จึงจะได้ฟังธรรม และ อบรมปัญญาต่อๆ ไป จนกว่าจะสิ้นอาสวกิเลส ค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย วิริยะ  วันที่ 14 ก.ค. 2555

ประสบการณ์ คือ ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะว่าผู้ฟังไม่พร้อมและไม่อยากฟัง เพราะว่า

ผู้ฟังยังจมอยู่กับความคิดเดิมๆ ความเชื่อเดิมๆ และประสบการณ์ คือ

ดิฉันเริ่มจะโมโหเสียก่อน


ความคิดเห็น 7    โดย Graabphra  วันที่ 17 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ครับ

ขอบพระคุณคุณไตรสรณคมณ์ คุณวรรณี แซ่โง้ว และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย isme404  วันที่ 22 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ