เป็นผู้ที่ตรงว่า ปัญญาไม่มีใครสามารถบังคับ แต่อบรมได้ ค่อยๆ เจริญขึ้น ขณะนี้มีธรรม แล้วเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เพิ่มขึ้นบ้างไหม มั่นคงขึ้นได้ไหม ขณะนั้นตัวจริงคือไม่ประมาท แต่ไม่ใช่หมายความว่า พอได้ยินคำว่า “ไม่ประมาท” ก็จะไม่ประมาท แล้วก็ถามว่า ทำอย่างไร วิธีไหนถึงจะไม่ประมาท นั่นคือไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา
ความละเอียดของธรรม พยัญชนะตื้น แต่อรรถลึก เพราะบอกว่า ปรมัตถธรรมคือสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนลักษณะนั้นๆ ได้เลย เข้าใจใช่ไหมพยัญชนะนี้ แต่อรรถของธรรมที่เป็นปรมัตถ์ในขณะนี้ยังไม่ได้เข้าถึง เพราะฉะนั้นอรรถจึงลึก แต่พยัญชนะตื้น
ปรมัตถธรรมมี ๔ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ตื้นไหม แต่อรรถของจิต เจตสิก รูป ลึก เพราะฉะนั้น ไม่ประมาท หมายความว่าไม่ใช่ให้เรารีบไปทำอะไรว่า เขาไม่ประมาท เราจะได้ไม่ประมาทด้วย โดยที่ไม่เข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่มีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ประมาทจริงๆ คือจากความไม่รู้ เป็นผู้ที่เคารพในพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงให้คนอื่นเห็นความละเอียดยิ่งของธรรมนั้นๆ
เป็นผู้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า เข้าใจแค่ไหน ไม่คิดว่าเราเข้าใจมาก แต่เข้าใจแค่ไหน คือ สภาพธรรมปรากฏ เป็นการยืนยันความรู้ว่า เข้าใจแค่ไหน ไม่ประมาทก็คือว่า เมื่อไม่รู้ก็ฟัง แล้วไตร่ตรอง แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็รู้ว่า ถ้าเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม วันหนึ่งปัญญาก็สามารถแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะต้องเป็นปัญญาเท่านั้น
ปัญญาเท่านั้นที่จะละอกุศลทั้งหลายได้ ไม่ใช่จะละได้ด้วยความต้องการมากๆ อยากจะถึงเร็วๆ โดยที่ไม่รู้อะไรเลย แม้ขณะที่กำลังฟัง ทราบไหมว่า เป็นเรื่องละ กำลังค่อยๆ ละความต้องการ เพราะรู้จริงๆ ว่า ต้องการอะไร ได้หรือได้ หรือไม่อย่างที่ต้องการ หรือ เข้าใจหรือไม่ แล้วเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงตามที่ได้ฟังแค่ไหน
พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 434