
วันนี้ยังไม่มีใครมีทุกข์ที่จะต้องสะเดาะเคราะห์ใช่ไหม แต่กุศลจิตก็เกิดได้ ทำไมเราจะไปทำบุญตอนที่เรามีเคราะห์กรรม และก็หวังว่าบุญนั้นจะทำให้เคราะห์กรรมอันนั้นหมดไป แม้ในขณะนี้หรือเมื่อไหร่ก็ตามแต่ที่กุศลจิตเกิดก็เป็นกุศลที่เราจะกระทำทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางวัตถุต่างๆ บ้าง ก็กระทำได้ ไม่ต้องไปคิดว่าพอมีเคราะห์กรรมแล้วจะต้องไปสะเดาะหรือว่าจะไปทำบุญเพราะอย่างนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วถ้ากรรมที่ได้ทำมามากมายมหาศาล แล้วเราก็ไปปล่อยนก ๗ ตัว แค่นั้นพ้นไหมจากกรรมที่ได้กระทำไว้มากมาย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ ในเรื่องกรรมและผลของกรรม กุศลจิตย่อมเกิดมากไม่หวั่นไหว แม้ว่าจะได้ลาภหรือว่าเสื่อมลาภก็ตามแต่ไม่ใช่พอได้ลาภก็ไม่ต้องสะเดาะ ไม่ต้องทำกุศล หรือว่าพอมีเคราะห์ก็ต้องไปสะเดาะหรือว่าทำกุศล อันนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นความจริง เพราะเหตุว่าเราไปคิดว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นั้นจะทำให้ผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วหมดไปได้ แต่ว่าตามความเป็นจริงเวลาที่เราบอกว่าผู้ที่มั่นคงในกรรมและผลของกรรมต้องไม่ใช่เพียงเรื่องราว ต้องสามารถที่จะรู้ถึงเหตุที่จะให้เกิดวิบากคือกรรม แล้วก็กุศลจิตและอกุศลจิตด้วย
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
จริงและตรงที่สุด
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพ และกราบอนุโมทนาธรรมที่แสดงค่ะ
สาธุ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยตวามเคารพอย่างสูง
กราบอนุโมทนาในคำบรรยายนี้และเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ
กราบขอบพระคุณคะ อาจารย์
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ