ถ . ฟังๆ ดูแล้ว ก็เป็นสมมติบัญญัติ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ชีวิต ไม่ใช่บุคคล เป็นสภาวะ คำว่าสภาวะนี้มีลักษณะอย่างไร จะพูดได้ไหม หรือว่าจะเห็นได้โดยไม่ต้องพูด ถ้าเห็นได้โดยไม่ต้องพูด ก็เฉพาะตน อย่างนี้ใช่ไหมครับ
สุ . โดยมากเข้าใจธรรมยังไม่ถูกต้องตามอรรถ เช่น คำว่า “รู้เฉพาะตน”อธิบายได้ไหม หรือว่าอธิบายไม่ได้ เพราะว่ารู้เฉพาะตนเลยอธิบายไม่ได้ พูดถึงไม่ได้บางท่านกล่าวว่า รู้สภาพธรรมที่เป็นรูปนั่งชัดเจน ประจักษ์ความเกิดดับ ลึกซึ้งเหลือเกินอธิบายไม่ได้ บอกใครไม่ได้ เพราะลึกซึ้งมาก ถ้าอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็จะไม่ทรงแสดงสภาพธรรมทั้งปวงที่ทรงตรัสรู้ เพื่อเกื้อกูลบุคคลอื่นให้ได้รู้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า การรู้แจ้งสภาพธรรมจะต้องรู้อย่างไร ทรงแสดงโดยละเอียดที่จะให้ผู้อื่นสามารถที่จะรู้ตามได้ เพราะเป็นสภาพธรรมจริงๆ เมื่อเป็นของจริง ก็พูดถึงลักษณะของๆ จริงที่ปรากฏได้ถูกต้องว่า ของจริงแต่ละลักษณะนั้นเป็นอย่างไรลักษณะของนามธรรมซึ่งเป็นของจริงมีลักษณะอย่างไร ลักษณะของรูปธรรมแต่ละชนิดเป็นของจริงมีลักษณะอย่างไร เมื่อเป็นของจริง หนทางอย่างไรจึงจะรู้แจ้ง รู้ชัด รู้ทั่วในสภาพธรรมนั้น ก็ได้ทรงแสดงไว้ตามความลึกซึ้งของสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ทรงแสดงไม่ลึกซึ้ง ลึกซึ้งโดยที่ผู้ฟังสามารถรู้แจ้งในภาพธรรมที่ลึกซึ้งนั้นได้
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามอะไร หรือรูปอะไรได้ไหม หรือว่าต้องมีตัวตนไปเลือก ไปจดจ้องที่จะรู้เฉพาะบางนาม บางรูป นั่นไม่ทำให้ท่านได้ประจักษ์สภาพธรรมตรงกับปริยัติธรรมที่ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
แต่ถ้าสติระลึกเอง อาศัยปัจจัย คือ การได้ยินได้ฟัง ไม่มีตัวตนที่จดจ้องด้วยอภิชฌาหรือโทมนัสที่จะรู้เฉพาะบางนาม บางรูป สติจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจได้
เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังได้ยิน สติระลึกรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมที่กำลังรู้ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงลักษณะสภาพธรรมที่รู้เสียงเท่านั้น ไม่เหมือนลักษณะของสภาพธรรมที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา
ผู้ที่หวังประโยชน์ในการฟังธรรม หวังประโยชน์ในการเจริญปัญญา ต้องพิจารณาเหตุผลก่อนที่ท่านจะเข้าใจเป็นอย่างอื่น เพราะบางท่านอาจจะเข้าใจว่า ถึงจะจดจ้องก็คงจะถูก แต่ประโยชน์จริงๆ คือ ท่านควรจะสังเกต สำเหนียกว่า ด้วยการจดจ้องนั้น จะทำให้ท่านรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้หรือไม่ ทำให้ละคลายการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตนได้หรือไม่ และในขณะที่จดจ้องนั้น สังเกตสำเหนียกหรือไม่ว่า มีความต้องการด้วยความเป็นตัวตนที่จะจดจ้องในนามนั้น ในรูปนั้น และก็ควรจะสังเกต สำเหนียกว่า สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติในชีวิตประจำวันได้หรือไม่
ถ้าท่านเป็นผู้ที่สังเกต สำเหนียกจริงๆ จะเห็นว่า การจดจ้องรู้บางนาม บางรูปนั้น ไม่สามารถที่จะทำให้สติเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามปกติ ตามความเป็นจริง
เมื่อไม่สามารถที่จะทำให้ระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริงได้ ชื่อว่าปัญญาเจริญได้ไหม ชื่อว่าอบรมสติได้ไหม ชื่อว่ารู้อะไร หรือชื่อว่าละอะไร เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้สภาพธรรมตามปกติ ตามความเป็นจริง การที่จะละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ จะต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
มีท่านผู้หนึ่งเล่าให้ฟังว่า การเจริญสติปัฏฐานของท่านยังไม่เป็นปกติ ดีไหมที่ทราบว่ายังไม่เป็นปกติ
เพราะฉะนั้น การสังเกตการ สำเหนียกจะช่วยให้ท่านเจริญสัมมามรรคมีองค์ ๘ถูกต้องยิ่งขึ้น ท่านฟังเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน สติเป็นอนัตตา ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจก็ได้ แต่ในขณะที่สติระลึกนิดหนึ่ง ตัวตนจัดการมาทำงานต่อแล้ว
มีท่านผู้หนึ่งเล่าให้ฟังว่า เวลาที่ท่านอยู่บางสถานที่เป็นกุศลมาก แต่เวลาอยู่บางสถานที่ก็เป็นอกุศลมาก เครื่องทดสอบปัญญาของผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานว่าเวลาที่อกุศลจิตเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมากน้อยรุนแรงบางเบาสักเท่าไรก็ตาม สติระลึกได้ไหมรู้หรือไม่ว่าขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงนามธรรม หรือรูปธรรมแต่ละชนิดที่เกิดขึ้นปรากฏ และปัญญารู้ชัดได้ไหม รู้ทั่วได้ไหม แทงตลอดได้ไหม
เพราะเหตุว่าการที่จะรู้ความจริง และละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ต้องรู้ทั่ว ถ้ายังไม่ทั่ว ท่านผู้ฟังที่เพิ่งเริ่มระลึกรู้ลักษณะของรูปบ้าง ก็จะสังเกตสำเหนียกว่า ตัวตนก็ยังอยู่ที่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ที่กำลังมีรูปในขณะนั้นเป็นอารมณ์ เวลาที่เวทนาเกิดขึ้นดีใจ หรือว่าเสียใจ และสติระลึกรู้ว่าเป็นแต่เพียงนามธรรม ในขณะนั้นเยื่อใยความเป็นตัวตนก็ยังอยู่ที่รูปขันธ์สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ สักกายทิฏฐิ ๒๐ ซึ่งเป็นไปในขันธ์ ๕ ที่ยึดถือรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐานที่ท่านจะไม่ระลึกรู้สัญญาขันธ์ หรือเวทนาขันธ์ หรือสังขารขันธ์ หรือวิญญาณขันธ์นั้น จะละกิเลสได้อย่างไร ในเมื่อขณะที่กำลังรู้รูป ความเป็นตัวตนก็อยู่เต็มที่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์และก็ตามปกติในขณะนี้
เพราะฉะนั้น การที่จะละกิเลส รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้นั้น ต้องรู้แล้วละมิจฉาทิฏฐิ ต้องรู้แล้วละสักกายทิฏฐิ ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนี้ความเป็นตัวตนอยู่ที่นามธรรมใด รูปธรรมใดบ้าง ก็ไม่ละ เมื่อไม่ละ ก็ไม่ใช่ทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ถึงแม้ว่าสติกำลังเริ่มระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้าง ผู้เจริญสติสำเหนียก สังเกต รู้ว่ายังมีความเป็นตัวตนอยู่ที่นามใดรูปใดอีก จึงอบรมเจริญสติปัญญาให้รู้เพิ่มขึ้น เพื่อการละคลายมากขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะดับการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้
เพราะฉะนั้น การศึกษาและการปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ท่านได้ยินคำว่าอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ไม่ใช่ศึกษาในหนังสือ แต่ศึกษาสำเหนียก สังเกตรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามปกติ ตามความเป็นจริง นี่คือ การศึกษา เพื่อรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยสติที่ระลึกรู้ในสภาพที่เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 297
รับฟัง ...