Thai-Hindi 21 June 2025
- (คุณอาช่า - แม้อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้อ่านอริยสัจจ์ ๔ แต่ในชีวิตประจำวันมีความอยากได้ทุกอย่าง พูดถึงอริยสัจจ์ที่ ๒ เป็นความต้องการหรือไม่) ก็เป็นอยู่แล้ว ต้องการๆ แสวงหาๆ แล้วจะจบสิ้นได้อย่างไร แต่ไม่รู้ใช่ไหมว่า เพราะอะไรจึงแสวงหา ธรรมเป็นเรื่องเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องตำราเรื่องหนังสือ เรื่องเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ มีคำเยอะมีหนังสือแยะ จำได้รู้เรื่องแต่ไม่เข้าใจแล้วจะมีประโยชน์อะไร
- พูดได้ว่าอยากทุกอย่างแต่อยากคืออะไร เห็นไหม ธรรมมีจริงๆ กำลังมีจริงๆ สิ่งที่มีจริงๆ กำลังมีเป็นธรรม มีธรรมเดี๋ยวนี้แต่ไม่รู้จักธรรมเดี๋ยวนี้ อยากรู้โน่นอยากรู้นี่ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมแน่นอนแต่อยากรู้โน่นอยากรู้นี่เพราะอะไร (คุณอาช่า - เพราะความไม่รู้และกิเลส) ความไม่รู้อะไร (รู้สิ่งที่มีจริงตอนนี้) นี่แหละ ต้องไม่ลืม ไม่ว่าจะฟังอะไร จะรู้อะไร ได้ยินอะไร เข้าใจอะไรแต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไร้ประโยชน์
- เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร ไม่ว่าเราจะพูดถึงอะไรทั้งหมดเพื่อรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรเป็นอะไร เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม คิดเสมอค่อยๆ ไม่ลืมเสมอว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร ตอบเลยเดี๋ยวนี้มีอะไร (ได้ยิน) ก่อนเราสนทนากัน สนใจเรื่องได้ยินไหม (ไม่ได้สนใจ) เห็นไหม แล้วจะรู้จักธรรมได้อย่างไร ได้ยินมีทั้งวัน เดี๋ยวก็ได้ยินๆ ก็ไม่รู้ความจริงเลย
- เพราะฉะนั้นธรรมมีจริงเดี๋ยวนี้ นี่คือ อริยสัจจะ จริงไหม รู้จักอริยสัจจะหรือยัง (ยัง) ถูกต้องเพราะฉะนั้นจึงต้องฟังเรื่องสิ่งที่มีทุกอย่างเป็นธรรม เป็นสัจจะ เป็นอริยสัจจะ เป็นหนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ ในสังสารวัฏฏ์ที่สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี มิฉะนั้นก็จะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีตลอดไป กำลังได้ยินถ้าเราไม่พูดถึงได้ยิน ไม่มีวันจะรู้จักธรรม
- ได้ยินเป็นอะไร (คุณสุคิน - ทีแรกตอบเจตสิกตอนหลังเปลี่ยนเป็นจิต) เห็นไหม ไม่ใช่จำผิดๆ ถูกๆ แต่ต้องเข้าใจ (คุณสุคิน - คุณอาช่าบอกว่า เป็นเพราะว่าเราพูดถึงเจตสิกอยู่ก็เลยไม่ได้พิจารณาดีๆ แต่ที่เป็นอย่างนั้นเราฟังแล้วจำได้ว่าคำตอบที่ถูกคืออะไรก็ตอบไปอย่างนั้น เพราะความจริงแล้วก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร ได้รู้ตามจำได้ว่ามีตามที่เราพูดมาเรื่อยๆ ว่ามีเห็น มีได้ยิน มีคิด มีความรู้สึกก็คือตามที่เราจำ แต่ความจริงแล้วความเข้าใจยังไม่รู้ว่า สิ่งที่มีจริงคืออะไร ไม่ต้องพูดถึงคววามต่างระหว่างนามและรูป จิตและเจตสิก ต้องรู้ว่า เข้าใจแค่ไหน ไม่ใช่คิดว่าเข้าใจแล้ว) ประมาทมากไหมถามคุณอาช่า
- (คุณสุคิน - อาช่าบอกว่าที่ตอบว่าเจตสิกเพราะกำลังคิดเรื่องอื่นเลยหลุดปากแต่ไม่เคยลืมว่าได้ยินเป็นจิต เลยคิดว่าเป็นเพราะสติระลึกกับจำต่างกัน ท่านอาจารย์คิดว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า) ไม่ใช่เลย ไม่ใช่อย่างที่พูดเลยทั้งหมด ที่พูดทั้งหมดไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเราพูดกันสั้นๆ เพราะว่า ความลึกซึ้งของธรรมมีมาก
- เพราะฉะนั้นกว่าเราจะรู้ความลึกซึ้งจริงๆ ทีละคำ ฟังแล้วฟังอีกๆ เพราะว่าเราไม่รู้มานานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นที่อาช่าพูดว่า เขารู้ว่าเป็นจิต เขามัวคิดเรื่องอื่นเลยตอบว่าเจตสิกนั่นผิด เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ทุกครั้งที่ได้ยินคำถาม เขาต้องตอบตรง ไม่ใช่ว่าผิดเพราะคิดเรื่องอื่น
- อย่าลืมว่า ธรรมลึกซึ้งละเอียดมาก คิดดูถ้าเราศึกษาธรรมด้วยความไม่เคารพเราจะรู้ความลึกซึ้งของธรรมได้ไหม เพราะฉะนั้นคุณอาช่าศึกษาธรรมทำไม (เพื่อเข้าใจ) น้อยไปไหมหรือมากไปไหมเพื่อเข้าใจ (น้อยไป) เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อละความไม่รู้ ความไม่รู้อยู่ไหน (ปัจจุบัน) ความไม่รู้เดี๋ยวนี้ที่ไม่รู้ความจริงของธรรม ไม่ต้องไปหาความไม่รู้ที่ไหนเลย เดี๋ยวนี้ที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอะไร (เห็น) เห็นเป็นอะไร (เป็นจิต) ทำไมเป็นจิต (เพราะเห็นเป็นการรู้อย่างหนึ่ง) เพราะว่าเห็นกำลังรู้สิ่งที่มีที่ปรากฏ จะรู้ความจริงอย่างนี้ใช่ไหม เมื่อไหร่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ (พูดไม่ได้ว่าเมื่อไหร่จะรู้) อีกนานหรือพรุ่งนี้รู้ได้ (ใช้เวลานาน) คุณอาช่าเกิดมาเพื่อจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจึงต้องพูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง
- เดี๋ยวนี้มีจริงใช่ไหม เป็นอริยสัจจธรรมอะไร (เป็นอริยสัจจ์ที่ ๑ คือ ทุกข์) และอริยสัจจะอะไร (ที่ ๒ ด้วย) และอะไรอีก (บางครั้งมีอริยสัจจ์ที่ ๔ ด้วย) แล้วอริยสัจจ์ที่ ๓ เริ่มมีน้อยลงไหมที่จะรู้จนดับได้ (เริ่มมีน้อยลงหมายความว่า) ถ้าเข้าใจก็ต้องน้อยลงที่กำลังของอวิชชาและอริยสัจจะที่ ๒ น้อยลงก็ค่อยๆ ถึงอริยสัจจะที่ ๓ ได้
- ถ้าไม่เข้าใจธรรมเลย ไม่เข้าใจความละเอียด ไม่เข้าใจความลึกซึ้ง ไม่มีอริยสัจจะทั้ง ๔ เป็นคุณอาช่าชาตินี้มีโลภ มีโกรธ มีหลง มีทุกอย่างแล้วก็ตาย แล้วก็เป็นคนใหม่ต่อไปก็มีทุกสิ่งอย่างนี้แล้วก็ตาย ไม่สามารถที่จะออกจากหรือพ้นจากความเป็นอย่างนี้ได้
- เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประเสริฐสุดก่อนตายคือสามารถที่จะค่อยๆ รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นต้องฟังทุกคำด้วยความเคารพว่า เข้าใจแค่ไหน ไม่ว่าอยากจะจำ อยากจะรู้อะไรๆ แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังพูดถึงสิ่งที่มี
- เดี๋ยวนี้มีจิตไหม (มี) มีเจตสิกไหม (มี) มีรูปไหม (มี) มีอาช่าไหม (ไม่มี) มีหมอนไหม (ไม่มี) มีผมไหม (ไม่มี) มีฟันไหม (ไม่มี) มีแขนไหม (ไม่มี) นี่เป็นทางที่จะค่อยๆ เพิกอัตตาให้รู้ความจริงว่า เป็นอนัตตา
- คนอื่นมีปัญหาหรือคำถามไหม (คุณสุคิน - ท่านอาจารย์บรรยายว่า พุทธศาสนาจะอยู่นานแค่ไหน ศาสนาจะจบเมื่อพระโสดาบันองค์สุดท้ายสิ้นชีวิต ยังไม่เข้าใจ) จนกว่าจะถึงโสดาบันคนสุดท้ายสิ้นชีวิต (หลังจากนั้นไม่มีใครสามารถเข้าใจขั้นปริยัติเลยหรือ) ขั้นปริยัติเข้าใจได้แต่พระศาสนาดำรงอยู่ด้วยปริยัติเท่านั้นหรือ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ
- ใครที่มีคำถามเชิญได้เลยเพราะเรื่องสนทนาธรรมให้เข้าใจความละเอียดยิ่งของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่รู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีวันจะรู้ความจริงได้
- (คุณตรัสวิน - อยากให้ท่านอาจารย์ขยายเรื่องอริยสัจจะที่ ๓ ให้ท่านอื่นได้ฟังด้วย) เพราะฉะนั้นอริยสัจจะที่ ๓ คือการดับสิ่งที่เคยเกิดไม่ให้เกิดอีกเลยได้ตามลำดับ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นหนทางคือ มรรค อริยสัจจะที่ ๔ ก็ต้องเกี่ยวข้องกับอริยสัจจะที่ ๓ ด้วย ถ้าไม่มีอริยสัจจะที่ ๔ ที่เริ่มค่อยๆ เข้าใจ อริยสัจจะที่ ๓ ก็ละๆ จนกว่าจะดับไม่ได้
- (คุณตรัสวิน - การที่จะละทุกอย่างได้ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า อริยสัจจะที่ ๒ คืออะไร เพราะไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ทราบว่าจะละอะไร ถูกต้องไหม) ทุกอย่างต้องฟังโดยความละเอียดยิ่งโดยการไตร่ตรองยิ่งจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้ เช่น เดี๋ยวนี้เป็นอริยสัจจธรรมที่ ๑ เกิดดับ ไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ไม่มีหนทางรู้ก็ไม่สามารถประจักษ์ความจริงได้ เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีอริยสัจจธรรมที่ ๒ ก็ไม่สามารถที่จะรู้หนทางที่ถูกต้องที่จะประจักษ์ความจริงได้
- เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อดับอริยสัจจะที่ ๒ โลภะและความยินดีติดข้องเพราะความไม่รู้ตามลำดับที่เกิดกับความเห็นผิดก่อน ซึ่งถ้าพูดแค่นี้ทุกคนไม่มีทางจนกว่าจะรู้ว่า หนทางคืออะไร เพราะฉะนั้นหนทางที่กำลังเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีทีละเล็กทีละน้อยนี้แหละกำลังค่อยๆ ลดความไม่รู้และความติดข้องน้อยลงจนกระทั่งสามารถดับได้
- (คุณสุคิน - ตามนัยนี้คือเราก็ไม่ต้องไปพูดถึงว่า พระโสดาบัน พระสกทาคามียังต้องเกิดอยู่เพราะว่าก็รู้หนทางแล้ว) เราไม่พูดไม่ได้เลย เราต้องพูดความจริงทั้งหมด ไม่อย่างนั้นเขาก็คิดเองและเข้าใจผิดต่อไป (ฟังเหมือนว่าถ้ายังมีโลภะอยู่ก็ยังไม่รู้หนทาง) เพราะฉะนั้นมีหนทางไหมที่จะละ (ถ้าพระโสดาบันก็มีหนทาง) ยังไม่มีพระโสดาบัน ถามถึงเรื่องหนทาง (ถ้าปุถุชนอย่างนี่ก็…)
- ถามถึงหนทางว่ามีหนทางไหม (มี) เพราะฉะนั้นถ้ามีหนทางๆ นั้นเองคือ ปัญญาค่อยๆ มี คือ ค่อยๆ ละความไม่รู้และความติดข้องซึ่งเป็นอริยสัจจ์ที่ ๒ ใช่ไหม จนกว่าอริยสัจจะที่ ๓ สามารถที่จะค่อยๆ ลดน้อยลงจนหมดได้ ไม่อย่างนั้นจะเอาอะไรไปหมดที่จะดับ
- (คุณอาช่า - อยากให้พูดต่อเรื่องอริยสัจจ์ ๔) พูดเหมือนที่พูดแล้ว สงสัยอะไรก็ถามใหม่ (อริยสัจจ์ที่ ๒ เป็นบางครั้งบางคราวหรือเป็นตลอด) ดับหมายความว่าอะไร (ไม่เกิดอีก ตกลงจะให้เข้าใจว่าอย่างไร ในเมื่อนิโรธหมายถึงไม่เกิดอีกแล้วทำไมถึงพูดว่า ไปทางนั้นยังไม่ดับ เพราะฉะนั้นอริยสัจจ์ที่ ๓ ยังไม่มี) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับกิเลสหรือเปล่า แล้วคนที่อบรมเจริญปัญญาค่อยๆ เข้าใจเดี๋ยวนี้จนกระทั่งสามารถที่จะไม่เหลือความเป็นตัวตนได้มีไหม (มี) แล้วยังสงสัยอริยสัจจะที่ ๓ หรือ? (ไม่สงสัย)
- ดีที่ฟังแล้วไตร่ตรอง หายสงสัยแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ต้องมั่นคงทุกคำเปลี่ยนไม่ได้ (คุณสุคิน - เป็นเรื่องที่น่าสงสัยที่ว่า กิเลสน้อยลง ความเข้าใจเพิ่มขึ้นที่ละนิดทีละหน่อย แล้วจริงหรือเพราะเวลาเดียวกันกิเลสก็เพิ่มอยู่เรื่อย น้อยลงคืออย่างไร)
- ถ้าไม่เข้าใจกิเลสก็เพิ่มใช่ไหม (เพิ่ม) แล้วถ้ามีความเข้าใจกิเลสจะน้อยไหม (น้อยเฉพาะตอนที่เข้าใจ) แน่นอน เพราะฉะนั้นอริยสัจจะจึงมีสามรอบ เพราะฉะนั้นเชิญทุกท่าน นี้เป็นประโยชน์สูงสุดว่า ถ้าเราพูดแต่ตามตำราไม่มีทางที่จะรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ได้
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอริยสัจจ์อะไร (คุณตรัสวิน - อริยสัจจ์ที่ ๑) เท่านั้นหรือ (มิได้ เพราะทุกอย่างเกิดดับเร็ว ความเข้าใจที่เกิดขึ้นที่กำลังฟังท่านอาจารย์อยู่ก็เป็นอริยสัจจ์ที่ ๔ และเมื่อละความไม่รู้ซึ่งน้อยนิดมากยิ่งกว่าปลายเข็มก็เป็นอริยสัจจ์ที่ ๓ และอริยสัจจ์ที่ ๒ ก็ปรากฏตลอดเวลา ความกระหายใคร่รู้ก็ยังไม่ได้ละซึ่งความเป็นตัวตนและความเห็นผิดอยู่)
- เห็นไหมว่า อริยสัจจ์ ๔ รอบที่หนึ่งต้องสำคัญมากกว่าจะถึงรอบที่สอง (ตอนนี้เข้าใจมากขึ้นหลังจากที่ฟังเรื่องนี้ ได้กราบเรียนถามหลายครั้งซ้ำๆ และฟังซ้ำๆ) เพราะฉะนั้นมีอริยสัจจะทั้ง ๔ เมื่อเข้าใจทีละน้อยมากจนกว่าจะเต็ม จนกว่าจะถึงรอบที่สาม ถ้าไม่มีรอบที่หนึ่งเลยไม่เข้าใจอริยสัจจะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เลย แล้วจะถึงอริยสัจจะรอบที่สองได้อย่างไร
- (คุณสุคิน - ตามเหตุผลแล้วต้องเป็นอย่างนั้น) เพราะฉะนั้นสุคินจะแปลให้คุณอาช่าฟังไหม เพราะฉะนั้นเห็นไหม อริยสัจจะทั้ง ๔ ก็ต้องครบทั้ง ๔ ที่ในรอบที่หนึ่ง
- (คุณแอน - ท่านอาจารย์พูดว่า รอบที่สี่สำคัญกว่ารอบที่สอง ยังไม่ค่อยเข้าใจ) เดี๋ยวนะคะคุณแอน เราจะค่อยๆ พูดให้หายสงสัยดีที่สุดเพราะธรรมต้องเป็นเรื่องอย่างนี้ คุณแอนถามใหม่ (อริยสัจจ์ที่ ๔ สำคัญกว่าอริยสัจจ์ที่ ๒) แน่นอน ถ้าไม่มีอริยสัจจธรรมที่ ๔ ไม่มีการรู้ธรรมเลย ถูกต้องไหม เพราะอริยสัจจะที่ ๔ เป็นมรรคคือหนทางเริ่มด้วยปัญญา (เข้าใจเพิ่มขึ้นท่านอาจารย์ ขอบคุณมาก) ยินดีที่คุณแอนมีอะไรก็ถามเพื่อคนอื่นด้วยเลยเพราะเป็นเรื่องละเอียดมาก สามรอบต้องเป็นสามรอบ
- (คุณเมตตา - วันนี้เป็นวันที่ได้เข้าใจอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มมากขึ้นเลยเพราะว่า ตั้งแต่เด็กที่ศึกษาก็ได้แต่ท่อง พอมาฟังท่านอาจารย์ก็เริ่มเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ วันนี้ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น อริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ก็ต้องเริ่มจากขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏมีอะไรบ้าง มีอริยสัจจธรรมอะไรบ้าง เป็นอะไรที่ปลาบปลื้มว่า เดี่ยวนี้มีอะไรบ้างแต่ละอย่าง เริ่มจากหนทางที่ได้ฟังไตร่ตรองให้เข้าใจความจริงขณะนี้ซึ่งเป็นปัญญาที่ค่อยๆ อบรมไปในสิ่งที่กำลังมีขณะนี้เป็นทุกขสัจจ์อยู่แล้วเป็นอริยสัจจธรรมที่ ๑ ไม่ว่าจะเป็นจิต เจตสิก รูปทุกอย่างในขณะนี้โดยไม่ต้องท่อง อยู่ที่ความเข้าใจจริงๆ พอเข้าใจแล้วก็จะสะสมอยู่ในใจจริงๆ ว่าเข้าใจ ก็ต้องเริ่มจากหนทางที่การฟังค่อยๆ ไตร่ตรองความจริงที่กำลังมีขณะนี้ ขณะที่อริยสัจจะที่ ๒ มีตลอดเวลาเลยคือปิดกั้นขณะที่อริยสัจจ์ที่ ๒ไม่มีทางที่จะเข้าใจอะไรได้เลย ก็ต้องค่อยๆ ไตร่ตรองถึงว่า เพราะมีโลภะเป็นเหตุให้สิ่งที่มีจริงเกิดตลอดเวลาแฃ้วก็จะมาปิดกั้นไม่ให้มีการอบรมความเข้าใจในหนทางเพราะโลภะจะปิดกั้น เพราะฉะนั้นหนทางเดียวจริงที่ว่า เป็นหนทางที่จะอบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง และการค่อยๆ อบรม ค่อยๆ ละความไม่รู้ ละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา การอบรมที่ค่อยๆ ละความไม่รู้ละความเห็นผิดเป็นอริยสัจจธรรมที่ ๓ ซึ่งจนกว่ามรรคจิตจะเกิดดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ต้องกราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างยิ่งวันนี้ได้เข้าใจถึงอริยสัจจะธรรมทั้ง ๔ ด้วยความเข้าใจถึงความลึกซึ้งจริงๆ)
- ยินดีและขอบคุณคุณเมตตาที่ได้ร่วมสนทนาให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย คุณสุคินแปลได้เลย คุณสุคินเองชัดเจนแล้วใช่ไหม (คุณสุคิน - ก่อนหน้านี้คล้ายคุณเมตตาเรื่องอริยสัจจ์ที่ ๓ ว่าเป็นเรื่องการดับบริบูรณ์ ไม่ได้คิดตามเหตุผลว่า ถ้าความเข้าใจเกิดขึ้นมันก็ตามปริยายอยู่แล้ว ปัญญาก็ทำหน้าที่คือดับกิเลสที่ละนิดทีละหน่อย แต่ว่าก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาว่า ความรู้เกิดขึ้นความไม่รู้ก็ต้องลดลง วันนี้ก็เข้าใจตรงนั้นเพิ่มขึ้น)
- ยังไม่ถึงกับดับเพียงแต่ลดที่จะเกิด ทำให้การปิดบังน้อยลงและการที่จะต้องเป็นความอดทนบารมีต่างๆ ขันติบารมีรู้ว่า นี้เป็นหนทางเดียวก็จะเป็นทางตรงที่จะทำให้แม้จะยาวนานเท่าไหร่ก็เป็นทางตรงทางเดียวที่จะรู้ความจริงได้ (คุณสุคิน - และมาพิจารณาอีกทีว่า ถ้าไม่ลดลงแล้วปัญญาจะเกิดขึ้นได้หรือ) แปลด้วยนะคะ
- (คุณสุคิน - คิดว่าถ้าความไม่รู้ไม่ลดลงอยู่ ปัญญาก็เกิดขึ้นยากอยู่แล้ว ความไม่รู้ลดลงก้เป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นปัญญาก็ไม่เกิดขึ้นถูกไหม)
- (คุณตรัสวิน - ขอถามเพิ่มจากคุณสุคิน ท่านอาจารย์จะได้ตอบทีเดียว ที่คุณสุคินถาม ตามความเข้าใจก็คือว่า ด้วยโลภะแล้วด้วยความเป็นตัวตนเราใช่คำใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็นปัญญา เราดับระงับทุกอย่างลงไป แต่ว่าเราลืมว่าเดี๋ยวนี้ขณะนี้เกิดดับรวดเร็วมาก สิ่งที่เรารู้มันน้อยนิดเดียว ปลายเข็มก็ยังใหญ่ไป แม้กระทั่งจงอยปากยุงดูดขึ้นไปก็ยังไม่ได้ ปัญญาที่เราพูดถึงเหมือนกับมันเยอะ แต่จริงๆ ความเข้าใจมันน้อยนิดเดียวแม้กระทั่งสติและปัญญาที่เกิดขึ้นในแต่ละ ๑ ขณะเกิดแล้วดับแล้วเร็วมาก ยิ่งไม่รู้เลย ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ต้องเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้จะไม่เข้าใจอะไรเลย รู้สึกว่า ตั้งแต่เข้าใจคำว่าเดี๋ยวนี้มากขึ้น คำอื่นใหญ่ไปหมด และไม่ได้สนใจกับคำอื่นอีกแล้วเพราะว่า ยังต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้อยู่)
- เห็นไหมปัญญาเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหมด นี่คือหนทางละ เมื่อเห็นความลึกซึ้งจึงละการขวนขวาย การหวัง การทำใดๆ ทั้งสิ้น เพราะรู้ว่า ความเข้าใจเท่านั้นที่เมื่อเพิ่มขึ้นก็จะค่อยๆ ละความไม่รู้และกิเลสมากมายมหาศาลที่สะสมมาในแสนโกฏกัปป์จนเกิดขึ้นไม่ได้ตามลำดับ
- (คุณสุคิน - ท่านอาจารย์พูดถึงหนทางเป็นหนทางละ แต่ว่าตรงนี้มันก็กลับมาตรงปัญญาใช่ไหม) แน่นอน ในบรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหมดปัญญาประเสริฐสุดและปัญญาเป็นมรรคมีองค์ ๘ องค์แรกด้วย (ตรงนี้ลืมไม่ได้ถ้าลืมเมื่อไหร่ก็ไปผิดแล้ว) เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า ปัญญารู้อะไรเดี๋ยวนี้ ถ้ารู้ไม่ได้ก็ไม่ใช่หนทาง (ไปทางผิดง่ายมาก หนทางที่ถูกเกิดเพราะปัญญา)
- ถ้าเข้าใจอย่างนี้ทุกคำที่รู้จะเข้าใจทุกคำในพระไตรปิฎก (ท่านอาจารย์ถามว่ามีอริยสัจจะอะไรเดี๋ยวนี้ ใจตอบว่าที่ ๑ กับ ๒ พร้อมๆ กันเลย มาอยู่ตลอดเวลา) นี้เป็นประโยชน์ของการสนทนาธรรม เข้าใจในความลึกซึ้งมิฉะนั้นทั้งหมดที่ฟังมาเป็นชื่อไม่มีความหมายเลย ลืมหมดไม่เข้าใจ
- คุณอาช่าเห็นประโยชน์ของการศึกษาให้เข้าใจไม่ใช่ศึกษาชื่อและคำแล้วใช่ไหม เมื่อเข้าใจแล้ว ตอนนี้เราจะพูดธรรมคำไหนก็ได้ เพราะเราจะได้ค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองให้เข้าใจให้ตรงกับอริยสัจจะรอบที่ ๑ เชิญคุณอาช่าได้เลยค่ะ (คุณอาช่า - สงสัยว่ามีเหตุอื่นไหมของทุกข์นอกจากโลภะ)
- ความไม่รู้ไง เพราะฉะนั้นอริยสัจจะที่ ๒ พูดถึงอวิชชาและโลภะแต่คนไม่เห็นอวิชชาเลยเพราะฉะนั้นจึงเห็นแต่โลภะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีเห็น กำลังเห็น มีอวิชชาไม่รู้ว่าเห็นเป็นอะไร เมื่อไม่รู้ว่าเห็นเป็นอะไรก็ติดข้องในเห็นทันที
- ตื่นขึ้นทำไมลืมตา (เพราะอยากเห็น) เห็นไหมทันทีทุกขณะไม่รู้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมหากรุณาแสดงให้รู้ว่า ไม่รู้อะไร ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ตอบไม่ได้ว่า ไม่รู้ความจริงของเห็น ไม่รู้ความจริงของเห็นขณะกำลังเห็นเป็นอวิชชาสวะ อาสวะเป็นกิเลสที่ละเอียดยิ่งเกิดขึ้นละเอียดมากลึกซึ้งมาก
- เพราะฉะนั้นขณะที่ไม่รู้ความจริง เป็นขณะที่กิเลสเกิดแล้วบางมาก เริ่มรู้จักอกุศลธรรมต่างๆ มิฉะนั้นจะไม่รู้เลยว่า ความไม่ดีมีละเอียดมากทุกระดับ กิเลสที่ละเอียดกว่าอาสวะคือกิเลสที่สะสมอยู่ในจิตไม่เกิดแต่เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสประเภทนั้นๆ
- เราฟังความจริงเพื่อรู้ว่า กิเลสเกิดทั้งวันมากมาย กิเลสเกิดเพราะอวิชชาไม่รู้ความจริงและปิดกั้นลักษณะที่แท้จริง เพราะฉะนั้นกว่ากิเลสจะหมดไป ดับไม่เกิดอีก นานเท่าไหร่กว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หนทางและทรงแสดงหนทางให้เริ่มรู้จักหนทาง กว่าจะรู้หนทางต้องเป็นผู้ตรงต่อความจริง
- นอนหลับมีกิเลสไหม (มี) พระสัมมาสัมพุทธเจ้านอนหลับมีกิเลสไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงหนทางที่แม้นอนหลับก็ไม่มีกิเลสเลย เพราะฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่า นอนหลับมีกิเลส (เมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้น) เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ทำไมรู้ว่า นอนหลับไม่มีกิเลสสำหรับคนที่ดับกิเลสเท่านั้นจึงจะเป็นอย่างนั้นได้
- เพราะฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่า ตอนนอนหลับกิเลสไม่เกิดแต่มีกิเลส (รู้โดยตรงไม่ได้ แต่หลังจากฟังธรรมแล้วความเข้าใจเพิ่มขึ้น) เพราะฉะนั้นต้องฟังละเอียด นอนหลับมีกิเลสแต่กิเลสไม่เกิดเพราะตื่นขึ้นมีกิเลส ตื่นขึ้นมีกิเลสเพราะกิเลสเกิด ใครรู้ (พระพุทธองค์รู้และสาวกคนไหนที่มีความเข้าใจพอก็รู้ได้)
- เดี๋ยวนี้คุณอาช่ารู้ไหม (ไม่) อ้าว ก็ฟังเดี๋ยวนี้ไง ตอนหลับมีกิเลสแต่กิเลสไม่เกิด พอตื่นขึ้นกิเลสเกิดก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีวันที่จะรู้เลย แต่เมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจึงรู้ว่า มีกิเลสเกิดเมื่อตื่นเพราะนอนหลับมีกิเลสแต่กิเลสไม่เกิดจึงไม่รู้
- ตื่นขึ้นคุณอาช่ารู้ไหมว่า มีกิเลส (ไม่รู้) เพราะอะไร (เพราะความไม่รู้) เพราะสภาพธรรมเกิดดับเร็วมากสุดที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีโอกาสจะรู้แต่ละหนึ่งธรรมที่เกิดดับเร็วมาก พอเริ่มเข้าใจไหมว่า กิเลสสะสมมามากเท่าไหร่ ทันทีที่ตื่นกิเลสก็เกิดแม้อย่างบางเบาที่สุด
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า กิเลสที่ไม่เกิดเป็นอนุสัยกิเลส ใครรู้บ้าง คุณอาช่าผ่านแล้วใช่ไหม อนุสัยกิเลสมีเท่าไหร่ (ไม่เคยได้ยินหรือได้ยินแล้วลืมเรื่องอนุสัยกิเลส) ได้ยินแล้วลืมเพราะไม่ได้เข้าใจความละเอียดแต่ถ้าเข้าใจแล้ว แม้ลืมไปเวลาถูกถามก็จำได้
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่อให้เข้าใจไม่ใช่เพื่อให้จำเท่านั้น เพราะฉะนั้นลองคิดนิดนึงว่า อนุสัยกิเลสที่ไม่เกิดมีอะไรบ้างที่เมื่อตื่นก็เกิด (ยังสับสน มีคำตอบเดียวคืออวิชชาเป็นกิเลสหนึ่ง) ถูกต้องเพราะเหตุว่า อวิชชาไม่เกิด สะสมอยู่เพื่อที่จะเกิดเพราะฉะนั้นตราบใดที่อวิชชายังไม่ได้ดับ อวิชชาเป็นอนุสัยกิเลสระดับที่ไม่เกิด ๑
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจจริงๆ เราก็ไม่สามารถที่จะระลึกถึงความไม่รู้มหาศาลยังมีอยู่มากทุกขณะไม่ได้ดับไป เพราะฉะนั้นทันทีที่เกิดไม่รู้สิ่งที่ปรากฏเป็นอวิชชาสวะ ถ้ายังไม่เกิดเลยนอนหลับสนิทหรือว่าขณะที่ไม่มีกิเลสเกิดได้เลย ขณะนั้นก็เป็นอนุสัยกิเลส อวิชชานุสัยเมื่อเกิดเป็นอวิชชาสวะ
- เพราะฉะนั้นจะเห็นความละเอียดไหม กิเลสที่มีมาก สะสมมามาก หนาแน่นมากแต่ไม่เกิด แต่พอมีโอกาสเกิดๆ ได้บางมากไม่รู้สึกตัวเลยคือ อาสวะกิเลส ตื่นขึ้นมาเห็น ไม่รู้ว่าอะไรเลยขณะนั้นก็เป็นอวิชชาสวะ ทั้งวันหรือเปล่า ทั้งวันเฉพาะขณะที่จิตเป็นอกุศลเท่านั้น นี้คือความละเอียดอย่างยิ่งที่เมื่อเข้าใจแล้วเป็นหนทางที่จะค่อยๆ เข้าใจอริยสัจจะรอบที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ตามลำดับ
- เริ่มเข้าใจมั่นคงทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น ค่อยๆ รู้ความละเอียด รู้ความลึกซึ้งของธรรมจึงจะรู้ว่า หนทางที่กิเลสจะค่อยๆ หมดไปละเอียดและยากลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- ท้อถอยไหม (ไม่) เพราะอะไร (คุณอาช่า - เพราะเห็นความสำคัญขอความเข้าใจและเพราะรู้ว่าหนทางมันยากอยู่แล้ว) เพราะเป็นปัญญาเท่านั้นที่รู้ความจริงละเอียดขึ้น ถ้าไม่ใช่ปัญญาไม่สามารถจะรู้ความลึกซึ้งของธรรมเดี๋ยวนี้ได้เลย
- วันนี้คุณอาช่าเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นไหม นี้คือความลึกซึ้งว่า ต้องเป็นความมั่นคงของความเข้าใจที่จะไม่ท้อถอยและก็รู้ว่า สามารถที่จะรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้
- มีหนทางอื่นไหมที่จะรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอาสวะอะไรบ้าง (มีอวิชชาและความติดข้อง) ทีละอย่างๆ (มีอวิชชา) อวิชชาสวะเป็นธรรมอะไร (เป็นเจตสิก) เป็นเจตสิกอะไร (โมหะ) เพราะฉะนั้นโมหะเจตสิกมีจริง ไม่ใช่คุณอาช่า ไม่ใช่ใครแต่เป็นธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้
- สภาพธรรมมีหลายอย่าง เจตสิกก็มีหลายประเภท เพราะฉะนั้นโมหะเป็นอกุศลเจตสิก เป็นโมหะเจตสิกเกิดกับเฉพาะอกุศลจิตเท่านั้น กำลังโกรธมีโมหะเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม (มี) กำลังชอบกำลังสนุกมีโมหะเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม (มี) ขณะที่กำลังขยันมากมีโมหะเจตสิกไหม (มี) แล้วขณะที่ไม่ขยันมีโมหะเจตสิกไหม (ก็มี) ขณะที่กำลังรู้ว่าเป็นโมหะเจตสิกเป็นโมหะระดับไหน (ไม่รู้ว่าระดับไหน)
- เพราะฉะนั้นจึงต้องศึกษาว่า อกุศลมีหลายระดับ เพราะฉะนั้นโมหะที่เกิดกับอกุศลที่หลายระดับก็ต้องเป็นไปตามระดับนั้น เพราะฉะนั้นก็จะต้องรู้ว่า อาสวะมีอะไรบ้าง กิเลสประเภทที่ไม่รู้เลยเป็นอาสวะ ๔ คือ ๑ อวิชชาสวะ ๒ ภวาสวะ ความติดข้องในความเป็น ๓ ทิฏฐาสวะ ความเห็นผิดว่าเป็นสิ้่งหนึ่งสิ่งใด และ ๔ กามาสวะ ซึ่งเราจะค่อยๆ พูดถึงต่อไปแต่ให้ทราบว่า ทั้งหมดเป็นธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงจะค่อยๆ รู้ความจริง
- วันนี้คุณอาช่ามีอกุศลน้อยลงไหม (ก็ต้องน้อยลง) ถูกต้อง เมื่อไหร่ (เมื่อความเข้าใจเกิด) เพราะฉะนั้นรู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีละน้อยเพิ่มขึ้นใช่ไหม เป็นลาภที่ประเสริฐยิ่งใช่ไหม เหนือสิ่งใดๆ ทั้งหมดในสากลจักรวาลใช่ไหม ให้เป็นเศรษฐี ให้มีเงินมากมาย มีเกียรติยศ มีชื่อเสียงแต่ไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้จะเลือกอย่างไหน (เลือกความเข้าใจ) ก็ยินดีในกุศลของทุกคนนะคะ สวัสดีค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ยินดีในกุศลของทุกท่านครับ
เราฟังความจริงเพื่อรู้ว่า กิเลสเกิดทั้งวันมากมาย กิเลสเกิดเพราะอวิชชาไม่รู้ความจริงและปิดกั้นลักษณะที่แท้จริง เพราะฉะนั้นกว่ากิเลสจะหมดไป ดับไม่เกิดอีก นานเท่าไหร่กว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หนทางและทรงแสดงหนทางให้เริ่มรู้จักหนทาง กว่าจะรู้หนทางต้องเป็นผู้ตรงต่อความจริง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ บารมีทุกประการของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิด้วยครับที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ