[คำที่ ๗๑๐] อุกฺกณฺณ
โดย Sudhipong.U  3 เม.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 49673

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อุกฺกณฺณ”

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

อุกฺกณฺณ อ่านตามภาษาบาลีว่า อุก - กัน - นะ แปลว่า บุคคลผู้มีหูชัน เป็นคำที่เตือนใจที่ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะแสดงถึงความเป็นบุคคลผู้ว่ายาก ใครแนะนำพร่ำสอนในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ชี้ให้เห็นโทษในสิ่งที่เป็นโทษก็ไม่รับฟัง ไม่รับรู้เหตุผลทั้งปวงทั้งสิ้น ตามข้อความในกถาวัตถุ อรรถกถา อัจจันตนิยามกถา ดังนี้

“หูชัน หมายถึง การไม่รับรู้เหตุผลอะไรทั้งนั้น”


พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ไม่ว่าพระองค์จะประทับอยู่ ณ ที่ใด หรือเสด็จไปในที่ต่างๆ ก็ด้วยทรงมีพระมหากรุณา เพื่อให้สัตว์โลกได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจความจริง เพื่อที่สัตว์โลกจะได้ขัดเกลากิเลสที่ได้สะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ และอบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเองยิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถดับกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตได้ในที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษาแห่งการประกาศคำสอนของพระองค์ ก็เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลกเป็นสำคัญ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่เป็นพุทธบริษัท นอกจากจะเป็นผู้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว ก็ยังจะต้องเป็นบุคคลผู้ว่าง่าย คือน้อมรับคำพร่ำสอนด้วยความเคารพ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ด้วยการประพฤติตามขัดเกลากิเลสของตนเองด้วยความจริงใจ จึงจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากพระธรรมอย่างแท้จริง

ธรรม เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาให้ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามใจชอบได้ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ แม้แต่ความเป็นผู้ว่าง่าย ก็เป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไป ต้องเป็นกุศลธรรมเท่านั้น ในขณะที่มีการใคร่ครวญไตร่ตรองพิจารณาด้วยปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด แล้วประพฤติในสิ่งที่ถูก ละเว้นในสิ่งที่ผิด เป็นผู้ว่าง่ายต่อพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อดทนที่จะฟังเพื่อความเข้าใจ ว่าง่ายต่อการที่จะเป็นกุศล เมื่อได้รับคำพร่ำสอนที่ถูกต้องเป็นประโยชน์เกื้อกูล ก็น้อมรับคำพร่ำสอนนั้น แล้วประพฤติตาม ความเป็นผู้ว่าง่าย นั้น เป็นมงคล เป็นไปเพื่อความเจริญอย่างแท้จริง เป็นเหตุให้กุศลธรรมเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งจะตรงกันข้ามกับความเป็นผู้ว่ายาก เพราะเหตุว่าบุคคลผู้ว่ายาก ไม่ว่าบุคคลอื่นผู้เห็นประโยชน์จะแนะนำดี โดยถูกต้องโดยธรรมอย่างไรก็ไม่ฟัง และบางทีอาจจะเกิดความโกรธต่อผู้แนะนำเสียอีก บุคคลผู้ว่ายากย่อมอยู่ไกลจากความเจริญโดยประการทั้งปวง อยู่ไกลจากการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ความเป็นบุคคลผู้ว่ายาก ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของอกุศล เช่น โทสะ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ มานะ ความสำคัญตน มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด เป็นต้น ซึ่งมีแต่โทษเท่านั้น บางนัยก็แสดงไว้ว่าบุคคลผู้ว่ายากนั้น ก็เป็นบุคคลผู้มีหูชันอีกด้วย เพราะไม่รับรู้เหตุผลอะไรทั้งนั้น

สำหรับที่กล่าวถึง “บุคคลผู้มีหูชัน” นั้น ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของอาจารย์สุจินต์ บริหารวน-เขตต์ แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๘๙๖ - ๑๘๙๗ มีดังนี้

“พิจารณาดูว่าในขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ขณะที่ปิดความผิด ขณะนั้นต้องเป็นอกุศล แต่ปิดและคิดว่าเราจะไม่ทำอย่างนี้อีก ถ้าเป็นคฤหัสถ์ก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับพระภิกษุแม้คิดว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก แต่ปิดความผิดที่ได้กระทำแล้ว ไม่ปลงอาบัติกับภิกษุรูปอื่น ก็ยังคงเป็นความผิด เพราะว่าไม่ได้เปิดเผยความผิดที่ได้กระทำแล้ว แสดงให้เห็นว่ากุศลมีหลายขั้น สำหรับผู้ที่ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตจะต้องละเอียดจนกระทั่งแม้แต่ว่าความผิดที่ได้กระทำแล้วและก็ปิดเพียงคิดว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีกก็ยังไม่ได้ แต่สำหรับคฤหัสถ์ก็จะเห็นได้ว่าเป็นเพศที่ต่างกันมาก แล้วแต่ปัญญาจะทำให้กระทำอย่างไร เพราะเหตุว่าถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญามากก็อาจจะเปิดเผยความผิดนั้นสบายๆ ไม่เดือดร้อน เพราะว่าทุกคนต้องเคยทำความผิดทั้งนั้น ไม่มีใครที่ไม่เคยทำความผิด และเป็นผู้ตรงว่าเมื่อทำความผิดก็ผิด ไม่ใช่ว่าเมื่อทำความผิดแล้วก็ยังกล่าวว่า ไม่ได้ทำ หรือคิดว่าไม่ผิด ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะเป็นบุคคลผู้มี หู ชัน คือการไม่รับรู้เหตุผลอะไรทั้งนั้น ซึ่งในกถาวัตถุ อรรถกถา อัจจันตนิยามกถา แสดงว่าผู้ที่ไม่รู้ว่าอกุศลเป็นอกุศลและเป็นผู้ที่ว่ายาก เป็นบุคคลผู้มีหูชัน เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ก็ได้ทราบความหมายของผู้ที่ว่ายากอีกความหมายหนึ่ง คือผู้มีหูชัน คือไม่รับรู้เหตุผลอะไรทั้งนั้น”

แสดงให้เห็นว่าไม่ควรเลยที่จะเป็นบุคคลผู้มีหูชัน แต่ควรเป็นบุคคลผู้ว่าง่าย เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลสประการต่างๆ ยังมีกิเลสอยู่ครบทั้งโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้น ย่อมเป็นไปได้ที่จะมีความประพฤติที่ไม่ดีทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ เป็นธรรมดา ตามกำลังของกิเลส เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล โทษของตนเองเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากอย่างยิ่ง ดังนั้น บุคคลผู้ที่มีเมตตา มีความ หวังดี ท่านจึงเสียสละเวลาเพื่อที่จะแนะนำตักเตือนชี้แนวทางที่ถูกต้องให้ ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ที่เห็นประโยชน์จากคำแนะนำพร่ำสอนนั้น ได้เห็นโทษภัยของกิเลสของตนเองที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงแล้วประพฤติตามพระธรรมขัดเกลากิเลสของตนเอง ต่อไป บุคคลผู้น้อมรับคำพร่ำสอนโดยความเคารพนี้ เป็นผู้ว่าง่าย เป็นผู้ที่พิจารณาด้วยปัญญาแล้วเห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด เป็นต้น บุคคลผู้ว่าง่ายต่อคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมจะเป็นผู้มีความเจริญในกุศลธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป จนกว่าจะมีปัญญาเจริญขึ้นถึงขั้นที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ในที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต มีพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระอานนท์ เป็นต้น ล้วนเป็นผู้ว่าง่ายต่อคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วทั้งนั้น จึงสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสทั้งปวง

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่แสดงถึงความเป็นจริงของอกุศลประการต่างๆ ก็เพื่อเกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจอย่างถูกต้องว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีโทษ ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย แล้วละเว้นจากอกุศล ถอยกลับจากอกุศล ด้วยความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น เป็นสิ่งเดียวที่บุคคลทั้งหลายจะพึ่งได้อย่างแท้จริง เป็นแสงสว่างนำชีวิตไปสู่คุณความดีทั้งปวง ซึ่งก็ต้องเริ่มตั้งแต่ว่าง่ายที่จะฟังพระธรรมด้วยความเคารพ เห็นคุณค่าในแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 3 เม.ย. 2568

ยินดีในกุศลจิตครับ