ทำประโยชน์ ทำความดี ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ_สนทนาธรรมไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕
โดย khampan.a  21 พ.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 43139

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


" ทำประโยชน์ ทำความดี ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ "

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕




~
ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ว่า มูลนิธิพระธรรม (DHAMMA FOUNDATION, INDIA) เป็นที่ที่จะนำมาซึ่งบุคคลที่สะสมบารมี ที่จะเคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ก่อนอื่น ให้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ผู้มีพระคุณสูงสุดคือคนที่ทำให้รู้จักพระองค์ ฟังพระองค์ จึงรู้จักพระองค์ได้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์หรือฟังแล้วไม่รู้จักความลึกซึ้งของคำนั้น ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน
~
ต้องไม่ลืมว่า ก่อนฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังคำของพระองค์ เข้าใจเพียงเล็กน้อย ก็ยังไม่เห็นพระคุณของความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเริ่มเห็นความลึกอย่างยิ่งของสิ่งที่มีในสังสารวัฏฏ์และในชาตินี้ ว่า ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
~ ความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่กราบไหว้ บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนของหอมต่างๆ แต่ไม่เข้าใจคำของพระองค์ แต่เมื่อฟังคำของพระองค์ เคารพสูงสุดในแต่ละคำที่กล่าวถึงสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยในสังสารวัฏฏ์ ทั้งๆ ที่กำลังมีกำลังปรากฏ ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความต่างกันของคนที่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้เห็นพระพุทธรูป ได้ฟังคำบางคำ แต่ก็ไม่เข้าใจความลึกซึ้ง ชื่อว่า ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ
~ เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ทีละเล็กทีละน้อย คือ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทีละเล็กทีละน้อย
~ การเข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรมเป็นสิ่งเดียวที่จะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สืบต่อไปได้
~ การเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ คือ การฟังทุกคำ ทีละคำ ด้วยความเคารพ ไตร่ตรองความลึกซึ้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้น จนเข้าใจ นั่นคือ การเคารพจริงๆ ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เริ่มเข้าใจความหมายของคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเท่าไหร่ ยิ่งเห็นความลึกซึ้งเพิ่มขึ้นๆ จึงเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น จนกระทั่งเห็นจริงๆ ว่า ไม่มีที่พึ่งอื่นนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และผู้ที่เข้าใจธรรม ขัดเกลากิเลสจนได้รู้แจ้งในอริยสัจจธรรมตามที่พระองค์ได้ตรัสแล้ว
~ คุณอาคิล คุณอาช่าและสหายธรรมที่เริ่มรู้จักพระพุทธศาสนา จะเป็นผู้ที่ดำรงคำสอน เป็นภาระที่เป็นกุศลอย่างยิ่ง เป็นการนำมาซึ่งความเบิกบานใจที่จะทำให้คนอื่นได้มีโอกาสเข้าใจธรรมด้วย
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะมีกำลังที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรมและดำรงพระธรรมได้
~ ปีติยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้ทราบว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่การเกิดมาในชาตินี้ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะได้ร่วมกันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดในชีวิต เพราะฉะนั้น ก็ได้ความปีติอย่างมากที่ต่อไปนี้จะมีผู้ที่อาศัยความรู้ของคุณอาคิล คุณอาช่า ดำรงคำสอนของพระศาสนาต่อไป ต้องศึกษาด้วยความเข้าใจจริงๆ ทุกคำ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง นั่นคือ การบูชาสูงสุด
~ ชีวิตน้อยนัก จะอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่ แล้วก็ทำอะไรกัน แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด คือ ตื่นมาเพื่อทำประโยชน์ ตื่นมาเพื่อทำความดี ตื่นมาเพื่อศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ
~ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.) ยินดีที่จะร่วมมือร่วมใจกับมูลนิธิพระธรรมที่อินเดีย ที่จะทำทุกอย่างที่จะทำให้พระศาสนาดำรงอยู่
~ ต้องไม่ลืม ว่า เคารพสูงสุด เมื่อไตร่ตรองพระธรรมที่กำลังปรากฏ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงด้วยความเข้าใจในความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ประมาทไม่ได้เลย เป็นที่พึ่งสูงสุดที่จะทำให้ได้รู้ความจริงซึ่งไม่เคยรู้เลย ขอให้ไตร่ตรองทุกคำ คำไหนก็ได้
~ ถ้าไม่มีอะไรปรากฏ จะติดข้องอะไรได้ไหม? เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ อะไรปรากฏ นี่คือ ศึกษาธรรม มีสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งที่จริงเป็นธรรม ให้ศึกษาให้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏทีละหนึ่ง อย่างเดียว? (เห็น) เขาต้องการเห็นไหม? (ต้องการ) เพราะฉะนั้น ติดข้องที่จะเห็นต่อไปเรื่อยๆ ใช่ไหม? ถ้าไม่เห็น จะต้องการเห็น จะติดข้องในเห็น จะอยากเห็นไหม ถ้าเห็นไม่มีเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า ถ้าเห็นไม่เกิด ก็ไม่มีอะไรที่จะปรากฏว่า เป็นเห็น
~ เขาทำให้เห็นเกิดหรือเปล่า? (ไม่) ถ้าไม่มีเหตุที่จะให้เห็นเกิด เห็นเกิดไม่ได้ ใช่ไหม? ถ้ามีตา แต่ไม่มีสิ่งที่กระทบตา เห็นเกิดได้ไหม? (ไม่ได้) นี่คือ การเริ่มศึกษาธรรมซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ทีละคำ ลึกซึ้ง
~ วันนี้ เห็นมากมาย มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมากมาย ใครรู้ว่ามีความติดข้องทั้งในเห็นและในสิ่งที่ปรากฏมากมาย?
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้จึงทรงแสดงว่า เห็นเกิดขึ้นเพียงเห็นแล้วดับ ไม่ใช่เห็นอีกต่อไป เป็นอย่างอื่นแล้ว เพราะฉะนั้น เห็นเกิดขึ้นเห็นหนึ่งขณะแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย แล้วติดข้องเพราะไม่รู้ว่า ขณะที่ติดข้อง เห็นไม่มีแล้ว เห็นดับแล้ว เพียงแต่จำว่าเห็น นี่คือ การศึกษาธรรมเพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริง เห็นกำลังมีจริง เป็นธรรมซึ่งถ้าไม่สนใจ ไม่ฟัง ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างไร ก็ไม่ได้ศึกษาธรรม เพราะธรรมกำลังปรากฏแล้วไม่รู้ จะชื่อว่า ศึกษาได้อย่างไร?
~ การศึกษาคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสและจารึกไว้ ไม่ใช่เพียงให้ท่องหรือให้จำ แต่ให้เข้าใจว่าพระองค์ตรัสถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ ให้เข้าใจว่า นั่นคือ ธรรมสิ่งที่มีจริง ที่พระองค์ตรัสรู้และทรงแสดงให้เราได้เข้าใจว่า ศึกษาธรรมคือเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ ถ้าศึกษารู้ว่า มีจิตเท่าไหร่ มีเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) เท่าไหร่ แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้คืออะไร ไม่ใช่การศึกษาธรรม
~ ได้ยินคำว่า อุปาทาน ไม่รู้เรื่อง แต่แปลได้ ความยึดมั่น แต่ยึดมั่นในอะไร สิ่งนั้นมีจริงหรือเปล่า เดี๋ยวนี้มีไหม เดี๋ยวนี้ยึดมั่นหรือเปล่า นี่คือ การจะเข้าใจคำว่า อุปาทาน
~ โลภะเกิดหรือเปล่า? (เกิด) เดี๋ยวนี้ มีไหม? (มี) คุณอาช่าทำให้เกิดขึ้นหรือเปล่า? (ไม่) เพราะฉะนั้น โลภะ ไม่ใช่คุณอาช่า เห็นไม่ใช่คุณอาช่า ทุกอย่างที่มีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมี ปรากฏให้รู้ว่ามี ตามเหตุตามปัจจัย เริ่มเข้าใจคำว่า สังขารธรรม ใช่ไหม? สังขาร หมายความว่า อะไร? (ธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย) พูดได้ แต่ต้องไม่ลืม ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย โลภะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย เห็นเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่ทำให้เกิดขึ้น สิ่งนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น ต้องมีสภาพธรรมที่ปรุงแต่งทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นสังขารธรรม
~ เริ่มรู้จักธรรม ใช่ไหม โกรธเกิดขึ้นเป็นธรรม เป็นสังขารธรรม ยินดีเป็นสุขเกิดขึ้น เกิดแล้ว ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดอย่างนั้น ก็เกิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ว่า ธรรมอยู่ไหน ไม่ใช่อยู่ในหนังสือ แต่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทุกขณะเป็นธรรมทั้งหมด
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมทีละหนึ่งทุกอย่าง พระองค์ตรัสว่า สังขารธรรมทั้งหลาย ไม่เที่ยงหรือเปล่า? พระองค์ตรัสอย่างนี้หรือเปล่า? หมายความว่า เดี๋ยวนี้ไม่เที่ยง เกิดแล้วดับทันที เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะเป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้แต่ละสิ่งที่มีในขณะนี้ ว่า สิ่งนั้น เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้น พระองค์ตรัสว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา เพราะไม่มีแล้ว เกิดแล้วดับแล้ว ไม่เหลือ เริ่มมั่นคงในความจริงว่า เปลี่ยนไม่ได้ ไม่ว่าอะไรที่เกิดต้องดับ มีคุณอาคิลไหม? เพราะจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ใครก็เปลี่ยนธรรมไม่ได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นค่อยๆ พิจารณาเข้าใจ จนเป็นความเข้าใจของตนเอง จริงไหมที่ว่าสภาพธรรมเดี๋ยวนี้เกิดดับ มีคุณอาคิลไหมหรือว่ามีสภาพธรรมที่เกิดดับ? เพราะฉะนั้น เมื่อเริ่มเข้าใจความจริง เริ่มรู้ว่า ไม่มีใครเลย ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย มีแต่ธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยทำให้ธรรมอย่างนั้นเกิดขึ้นแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก ไม่เหลือเลย เป็นอนัตตา

~ การเข้าใจความจริงไม่ทำร้ายใครเลยทั้งสิ้น แต่สามารถทำให้รู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งซึ่งมีเพียงปรากฏแล้วหมด
~ เมื่อมีความไม่รู้ความจริงก็ยึดมั่นทุกอย่างว่า เป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ก็ยึดมั่น แสวงหา ต้องการ ทำให้เกิดการกระทำต่างๆ ซึ่งไม่ใช่กุศล ไม่ใช่สิ่งที่ดีงาม เพราะความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เป็นของเรา นี่เป็นเหตุที่มีการทุจริตต่างๆ ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นถึงอย่างนั้น ก็เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นได้เพราะความไม่รู้ความจริง
~ ช่วยให้เขาหายหิว ช่วยให้เขาหายเจ็บไข้ แต่เขาก็ต้องหิวอีก ต้องเจ็บไข้อีก ยากจนอีก ลำบากอีก เป็นทุกข์อีก แต่ถ้าช่วยให้เขาเข้าใจความจริงถูกต้อง เขาไม่ทำสิ่งที่จะทำให้เกิดผลที่เราเห็นว่า เป็นสิ่งที่น่าสงสาร เพราะฉะนั้น ใครก็แก้ปัญหาไม่ได้นอกจากเข้าใจความจริง รู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด
~ คนที่มีทรัพย์สินเงินทองมาก ก็เป็นทุกข์ ป่วยไข้ได้เจ็บ และก็มีความต้องการที่ทำให้ไม่มีความสุขเลย เพราะอยากได้เหลือเกิน นี่เป็นเหตุที่เขายังไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีเขา ไม่มีอะไร แต่มีธรรม
~ ต้องเข้าใจว่า กามุปาทาน เป็นคำ ๒ คำ กาม รวมกับคำว่า อุปาทาน (ยึดมั่น) เป็น กามุปาทาน กาม หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โผฏฐัพพะ เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว ทำไมเป็นกาม เพราะเหตุว่า เป็นสภาพธรรมที่นำมาซึ่งความพอใจ และ ทำไมกล่าวถึงเพียงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ? เพราะเหตุว่า สิ่งนี้ปรากฏตลอดชีวิต เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส สิ่งเหล่านี้ ปรากฏแล้วไม่รู้ จึงยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ด้วยความไม่รู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้เห็น ยินดีติดข้อง เสียงปรากฏให้ได้ยิน เป็นที่ตั้งของความยินดีติดข้อง มีกลิ่น ชอบไหมกลิ่นดอกไม้? เป็นที่นำมาซึ่งความยินดีติดข้อง มีความยินดี ความต้องการ ความติดข้อง เพราะฉะนั้น มี วัตถุกาม ที่ตั้งของความยินดีพอใจ
~ เวลาได้ยินคำว่า กาม มีความหมาย ๒ อย่างคือ กิเลสกาม ได้แก่ โลภะ ความติดข้องยินดี และ วัตถุกาม ที่ตั้งของความติดข้องยินดี
~ กิเลสกาม เป็นคุณอาคิลหรือเปล่า? (ไม่ใช่) เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า ไม่มีเรามั่นคงขึ้นตามความเข้าใจ แต่ยังไม่พอจนกว่าจะประจักษ์แจ้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คำว่า ตรัสรู้ นี่เป็นการแสดงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามลำดับ คือ ให้รู้ความจริงและค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ การละกิเลส ไม่ใช่ไปละที่อื่น ที่สำนักปฏิบัติ ที่ห้องปฏิบัติ แต่ขณะที่กำลังไม่เข้าใจแล้วเริ่มเข้าใจ นั่นคือ การค่อยๆ ละกิเลส คือ ความไม่รู้ ถ้าไม่มีการเข้าใจความละเอียดจริงๆ จะไม่รู้ความลึกซึ้งของพระธรรม
~ ก่อนได้ฟังท่านพระอัสสชิ ท่านพระสารีบุตร คิดเรื่องธรรมหรือเปล่า แต่เมื่อได้ฟังท่านพระอัสสชิ ท่านพระอัสสชิไม่ได้บอกท่านพระสารีบุตรให้ไปห้องปฏิบัติหรือไปที่ไหนเลย แต่ว่า เพียงฟังคำจากการที่เข้าใจทุกๆ ชาติที่สะสมเป็นบารมี สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ได้ฟังได้เมื่อถึงเวลา นี่คือ ความอัศจรรย์ของธรรมซึ่งเป็นความเข้าใจถูก เพียงหนึ่งขณะเล็กๆ น้อยๆ ก็นำมาสู่ปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมได้
~ คณะของเราก็ยินดีปีติที่สุดที่ได้ร่วมกันกระทำกิจที่สำคัญที่สุดในคราวนี้ คือ การให้คนได้มีโอกาสรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เข้าใจธรรม
~ เราพูดคำจริง กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ให้ทุกคนได้คิดไตร่ตรองด้วยตัวเองว่า นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสกับคนที่ได้สะสมมาแล้ว เราไม่รู้ว่าเป็นใครบ้าง แต่ทุกคนที่มีโอกาสได้ฟังต้องสะสมมา ต่างกับคนที่ไม่มีโอกาสเลย
~ เป็นโอกาสจะได้ฟังคำ (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ซึ่งทุกคนได้ยินเหมือนกันหมด แต่ว่าใครจะไตร่ตรองและมีความเข้าใจแค่ไหน ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เหมือนในครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมกับคนขอทานโรคเรื้อน สุปปพุทธกุฏฐิ เขาสามารถที่จะประจักษ์แจ้งธรรมได้
~ เราติดข้อง เพราะความไม่รู้ ทำให้มีการยึดมั่นในความเห็นว่าเป็นเรา และสำหรับคนที่ไม่ได้ฟังธรรม นอกจากยึดมั่นในความเห็นว่าเป็นเรา ยังมีความเห็นอื่นๆ และเมื่อมีความมั่นคงในความเห็นอื่นๆ ก็ประพฤติปฏิบัติตามความเห็นนั้นๆ
~ คนที่บอกว่า ตนเองเป็นชาวพุทธ นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ได้เข้าใจธรรมละเอียดจริงๆ ก็มีความเห็นผิดว่า ต้องมีสำนักปฏิบัติ นั่นเป็น สีลัพพตุปาทาน (ยึดมั่นถือมั่นในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด)
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมด จึงทรงแสดงว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ก็ยังมีสีลัพพตุปาทาน เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจและไม่ประมาทว่า แม้ชื่อว่านับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ศึกษาคำของพระองค์ด้วยความเคารพสูงสุดในความลึกซึ้ง ก็มีสีลัพพตุปาทาน
~ คนที่ไปสำนักปฏิบัติ เป็นสีลัพพตุปาทานหรือเปล่า? ถ้าคิดว่าจะต้องพยายามจดจ้องที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เป็นสีลัพพตุปาทานหรือเปล่า? การประพฤติปฏิบัติหนทางที่ผิดทั้งหมดเป็นสีลัพพตุปาทานหรือเปล่า? แต่ปัญญาที่เข้าใจถูกตามความเป็นจริง สามารถรู้ว่า นั่น ผิด
~ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงธรรมโดยละเอียดยิ่งใน ๔๕ พรรษาทั้งหมด ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด ด้วยเหตุนี้ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริงถึงที่สุด นี่เป็นความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งของพระธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ จะทำให้ไม่มีความเห็นผิดทีละเล็กทีละน้อย จนสามารถอบรมเจริญภาวนาให้มีความเข้าใจถูก ค่อยๆ เจริญขึ้นจนประจักษ์แจ้งความจริงตรงตามความเป็นจริงได้
~ ต้องมีความตรงต่อความจริง ต้องมีความอดทนที่จะเข้าใจความลึกซึ้ง ต้องมีความมั่นคงว่า สามารถจะรู้ความจริงได้ นี่คือ สิ่งที่มูลนิธิพระธรรมจะดำรงรักษาให้คนได้เข้าใจความจริงว่า เป็นที่สำหรับเข้าใจความจริงซึ่งจะเป็นบารมีจนกว่าจะรู้ความจริงได้ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดในสังสารวัฏฏ์ที่จากการสะสม เราจึงสามารถที่จะเคารพสูงสุดในพระรัตนตรัยและช่วยกันดำรงรักษาพระธรรมต่อไป


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย เมตตา  วันที่ 21 พ.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบยินดีในความดีทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย swanjariya  วันที่ 21 พ.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในความดีของคุณสุคิน คุณอาคิล คุณอาซ่าและทุกท่านที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมเพื่อดำรงพระพุทธศาสนา ตลอดจนการประดิษฐานพระพุทธศาสนากลับไปสู่ประเทศอินเดีย


ความคิดเห็น 3    โดย Jans  วันที่ 21 พ.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย chatchai.k  วันที่ 21 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย Nataya  วันที่ 21 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย petsin.90  วันที่ 21 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย Sea  วันที่ 21 พ.ค. 2565

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.) ยินดีที่จะร่วมมือร่วมใจกับมูลนิธิพระธรรมที่อินเดีย ที่จะทำทุกอย่างที่จะทำให้พระศาสนาดำรงอยู่


ซาบซึ้งอย่างยิ่ง กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบยินดีในความดีทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย Lai  วันที่ 22 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย เมตตา  วันที่ 22 พ.ค. 2565

กราบยินดีในความดีทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย เมตตา  วันที่ 22 พ.ค. 2565

กราบยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย มังกรทอง  วันที่ 22 พ.ค. 2565

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 12    โดย tim7755tim  วันที่ 23 พ.ค. 2565

สิ่งที่เห็นได้ยินคือเหตุและเป็นจัจจัยให้เกิดความติดข้องแต่รู้ว่าไม่ใช่เราก็ไม่ยึดไม่ติดข้องในสิ่งที่เห็นได้ยิน


ความคิดเห็น 13    โดย tim7755tim  วันที่ 23 พ.ค. 2565

กราบพระศาสดาของโลก กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์และกัลยานมิตรทุกท่าน


ความคิดเห็น 14    โดย jaturong  วันที่ 23 พ.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ