การดูหนัง ดูละคร
โดย SOAMUSA  9 มิ.ย. 2554
หัวข้อหมายเลข 18512

การดูหนังดูละคร ทำให้เราเกิดความสนุก ต้องดูให้จบ

พอถึงเวลาเราจำได้ว่า วันนี้เวลานี้มีละครเรื่องนี้ ต้องดู

พลาดไม่ได้เลย และนำมาวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ผู้ดูด้วยกัน

ความเป็นไปอย่างนี้ มีโทษอย่างไร



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 9 มิ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ธรรมเป็นสัจจะ และเป็นเรื่องที่ตรงครับ กุศล เป็น กุศล อกุศล เป็น อกุศล กุศลมี

ประโยชน์ นำมาซึ่งสิ่งที่ดี อกุศล มีโทษ นำมาซึ่งสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้นขณะใดที่จิตเป็น

อกุศล ขณะนั้นมีโทษ เพราะตัวอกุศลเองมีโทษครับ แต่ความมีโทษนี้ก็มีหลายระดับ

คือ อกุศลที่เป็นเพียงนิวรณ์ที่เกิดขึ้นที่จิต แต่ไม่แสดงออกมาทางกายและวาจา เช่น

เห็นแล้ว ชอบ หรือไม่ชอบ เป็นโลภะ หรือ โทสะ ที่ไมได้แสดงออกมาทางกาย วาจา

ไม่มีกำลังมากและไม่ได้มีกำลังถึงกับ ทำอกุศลกรรม นั่นก็เป็นธรรมที่มีโทษแต่ ไม่ทำ

ให้ถึงกับไป อบายภูมิ เพราะไม่เป็นอกุศลกรรมบถ ทีเป็น การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น

แต่ก็สะสมเป็นอุปนิสัยของบุคคลนั้นทำให้โกรธง่ายขึ้น อกุศลก็เริ่มสะสมมีกำลังมากขึ้น

จนเป็นปัจจัยให้สามารถล่วงออกมาทางกายและวาจาได้ง่ายขึ้นครับ

ส่วนอกุศลธรรมที่มีกำลัง ก็มีโทษมากขึ้น ตามระดับกำลังของกิเลส คือ ล่วงออกมา

ทางกายและวาจา จนถึง ครบองค์กรรมบถ เช่น การพูดว่าร้ายผู้อื่น การพูดส่อเสียด

การฆ่าสัตว์ เป็นต้น ก็เป็นธรรมที่มีโทษและมีกำลัง สามารถทำให้เกิดในอบายภูมิได้

นี่เป็นการยกตัวอย่างของ อกุศลธรรมที่มีโทษและมีโทษตามระดับกำลังของกิเลสครับ


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 9 มิ.ย. 2554

ในชีวิตประจำวันของปุถุชนก็เป็นไปตามกิเลสที่สะสมมามาก สะสมอกุศลมามาก

จิตก็น้อมไปในทางอกุศล มีการดูหนัง ดูละคร เป็นต้น ซึ่งก็เป็นไปตามการสะสมมา

ของแต่ละคน ว่าชอบสิ่งใด อาจไม่ดูละคร ก็ไปเล่นกีฬา ทำอะไรในสิ่งที่ชอบ ตาม

โลภะ ตามฉันทะที่ชอบในสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ดังนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยที่จะไม่เป็น

โลภะ หากเป็นผู้ตรงแล้วก็อยู่กับโลภะเกือบตลอดเวลา แม้ขณะนี้ ยังไม่ได้ดูละครก็ยัง

เป็นโลภะโดยไม่รู้ตัวเลยครับ ดังนั้นหนทางในการอบรมปัญญา เมื่อศึกษาพระธรรมก็

จะรู้ว่าการละกิเลสต้องเป็นไปตามลำดับ กิเลสที่ต้องละอันดับแรกคือ ทิฏฐิ คือ ความ

เห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน นั่นคือพระโสดาบันท่านละได้ ส่วนความ

ติดข้อง ทีเป็นโลภะ ความยินดีพอใจในรูป เสียง...พระอนาคามีท่านถึงจะละได้ ดังนั้น

การอบรมปัญญาจึงต้องเริ่มจากความเข้าใจถูกก่อนครับว่าปัญญาขั้นแรกรู้อะไร เพื่อที่

จะละอะไร ดังนั้นปัญญาขั้นแรกคือเข้าใจความจริงที่เกิดแล้ว ว่าเป็นธรรมใช่เรา อกุศล

มีจริง เป็นธรรมไม่ใชรา กุศลมีจริงเป็นธรรมใช่เรา ขณะนี้มีสภาพธรรม มีจริงเป็นธรรม

ไม่ใช่เรา เข้าใจตรงนี้ก่อนครับ คือ ละความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนก่อน

จึงจะสามารถละโลภะได้ครับจึงไม่ใช่หลีกหนีที่จะไม่มีโลภะ เพราะโลภะเกิดแล้วใน

ขณะนี้แต่อยู่ด้วยความเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา


ความคิดเห็น 3    โดย paderm  วันที่ 9 มิ.ย. 2554

แม้ขณะที่ดูละคร มีธรรมไหมครับ มีครับ ขณะที่พูดเรื่องละคร มีธรรมไหมครับ มีครับ

ปัญญาควรรู้ว่าขณะนั้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือหนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้องครับ

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เมื่อตอนที่ยังไมได้บวช ท่านไปดูมหรสพกัน ท่านก็ยัง

ใช้ชีวิตปกติ แต่ท่านก็มีปัญญา สังเวชว่าแม้คนที่แสดงก็จะต้องตาย เราควรหาทาง

หลุดพ้น ดังนั้นปัญญาจึงสามารถเกิดตอนดูมหรสพได้ครับ

การศึกษาพระธรรม เมื่อปัญญาเจริญมากขึ้น ก็จะรู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดไม่มี

ประโยชน์กับชีวิต ก็จะค่อยๆ เสพคุ้นในสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้นคือการฟังพระธรรมและ

ศึกษาพระธรรม พร้อมๆ กับการเป็นไปในอกุศลที่มีในชีวิตประจำวัน แต่ปัญญาก็สามารถ

เข้าใจความจริง แม้ขณะที่ใช้ชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็น กุศล หรือ อกุศลครับ

การเสพคุ้นในสิ่งที่ทำให้กุศลเจริญนั้นเป็นสิ่งที่ดีและก็จะทำให้เห็นโทษของอกุศล

ตามกำลังปัญญา ส่วนโทษของ อกุศลนั้นมีอยู่แล้วจะมากหรือจะน้อย แต่สะสมอกุศล

มามากก็เป็นไปตามอกุศล แต่สำคัญที่แม้จะเป็นอกุศลมากมายในชีวิตประจำวัน เราก็

แบ่งเวลา ไม่ทอดทิ้งพระธรรม เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม

เพราะเป็นขณะที่ประเสริฐในการอบรมปัญญาครับ ซึ่ง การสะสมของกุศลและอกุศล

คนละส่วนกันครับ เมื่อปัญญาถึงพร้อมก็สามารถดับกิเลสได้หมดที่สะสมมาครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 4    โดย SOAMUSA  วันที่ 9 มิ.ย. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อาจารย์ที่กรุณาค่ะ

เข้าใจในการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันได้ถูกต้องมากขึ้นค่ะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย Sensory  วันที่ 9 มิ.ย. 2554

ดิฉันคิดว่ามีัโทษ ในเรื่องของการเสียเวลาอันมีค่า ซึ่งเวลาที่ดูละคร สมมติว่าใช้

เวลา1ชั่วโมง ผู้ดูก็เพลินกับเรื่องราว และสะสมโลภะ (สมุทัย) ของผู้ดูตลอด1ชั่วโมงนั้น

เป็นกิจกรรมที่สร้างเหตุที่ไม่ดี แม้โทษจะน้อย แต่อกุศลเล็กๆ น้อยๆ ก็สะสมเป็นปัจจัยต่อ

เนื่องได้ ในขณะที่ผู้ที่ฟังพระธรรมในเวลาหนึ่งชั่วโมงเท่ากัน กลับใช้เวลาชีวิตได้อย่างคุ้ม

ค่าที่สุด สร้างเหตุที่ดีเยี่ยม ที่กล่าวอย่างนี้เพราะคนทุกคนไม่รู้จะตายวันไหนค่ะ อาจตาย

หลังดูละครจบก็ได้ค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย paderm  วันที่ 9 มิ.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 5 ครับ

เป็นอย่างนั้นครับ คือ มีโทษที่แทนที่จะได้ฟังพระธรรม 1 ชม. ก็เอาเวลาไปทำอย่างอื่น

มีการดูละคร เป็นต้น แต่ก็เป็นเรื่องของธรรมและอนัตตา แม้ผู้ที่ฟังพระธรรม บางครั้งก็

ไม่อยากฟัง บางครั้งก็อยากฟัง บางครั้งอยากจะฟังก็ไมไ่ด้ฟัง เป็นต้น เห็นถึงความ

เป็นอนัตตาและที่สำคัญครับ ตามเหตุปัจจัย ตามกำลังของกิเลส บางครั้งกิเลสมีกำลัง

ก็ทำให้ไม่ฟัง ไปทำอย่างอื่นไม่ใช่ดูละครก็ได้ ทำอย่างอื่นก็ไม่พ้นโลภะอีกครับ ดังนั้น

การอบรมปัญญา ก็คือเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฎในชีวิตประจำวันว่าเป็น

ธรรม อยู่กับโลภะ ด้วยความเข้าใจถูกครับ เพียงแต่ว่าถ้าปัญญาเจริญขึ้นเราก็จะให้

เวลากับการฟังพระธรรมากขึ้นครับ ดังที่คุณ sensory กล่าวไว้ครับ ขออนุโมนาด้วยครับ


ความคิดเห็น 7    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 9 มิ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมและทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 8    โดย khampan.a  วันที่ 9 มิ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นเรื่องที่เบาสบาย เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างแท้จริง ในแต่ละวันชีวิตของแต่ละบุคคลย่อมดำเนินไปแตกต่างกัน บางครั้งบางคราวก็เพลิดเพลินสนุกสนานไปด้วยอำนาจของกิเลส อย่างเช่น ดูหนัง ดูละคร เป็นต้น บางครั้งบางเวลามีโอกาสก็ได้ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกขึ้น ตามแต่โอกาสจะอำนวย เป็นชีวิตปกติ เพราะคงไม่มีใครสามารถฟังพระธรรมได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง บางครั้งก็มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับกัลยาณมิตรผู้มีปัญญา เพิ่มพูนความเข้าใจสภาพธรรมยิ่งขึ้น สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป ทั้งหมดทั้งปวงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่สามารถที่จะค่อยๆ สะสม อบรมเจริญได้ในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญที่สุด คือ ความเข้าใจ (ปัญญา) ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเินินไปตามการสะสมจริงๆ แต่สำหรับผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของพระธรรม ย่อมให้เวลากับพระธรรม เป็นผู้ใคร่ในการฟังพระธรรมอยู่เสมอ ไม่ละเลยโอกาสสำคัญที่สุดในชีวิต คือ โอกาสที่จะทำให้ตนเองได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็สำคัญ ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 9    โดย ผ้าเช็ดธุลี  วันที่ 9 มิ.ย. 2554
ขอบพระคุณมากครับ และ ขออนุโมทนาครับ การฟัง และ การศึกษา พระธรรม เป็นสิ่งดี สิ่งประเสริฐ ถ้าประเสริฐเราก้อต้องฟังให้เยอะ ยิ่งเยอะยิ่งดี จิงม๊ะครับ และ ไม่ใช่เรื่องเครียดอะไร และ ไม่ใช่ว่าจะหาฟังได้ง่ายๆ คลื่นวิทยุในประเทศไทยก้อมีหลายสถานี แต่มีสถานีธรรมไม่ถึง ๕ ใน ๑๐๐ มั้งครับ แต่การนำเสนอพระธรรมที่ถูกต้องตรงตามพระไตรปิฎกนั้น ก้อหายาก บางท่านที่สอนก้อแนบความเห็นส่วนตัวมา (กิเลสมาอีกแล้วครับไปว่าเค้าได้) หรือ ซึ่งสงสัยลืมว่าพูดแทนพระปัญญาพระพุทธองค์ ผู้ฟังก้อไม่มีความรู้ ก้อเพี้ยนไปกันใหญ่ สิ่งแรกในการศึกษาพระธรรม เราควรเลื่อกสถานที่ที่เชื่อถือได้ และ ที่มูลนิธิฯ นี่แหละครับ เสนอชัดเจนที่สุด ไม่ได้ยกยอ แต่หากประสบกับตนเอง ทำให้คนที่ชอบ ชอบ อะไรและทำอะไรสารพัด อย่างผม กลายเป็นผู้ที่โยนกิจกรรมอื่นทิ้ง พอกันที ก้อเพราะเข้าใจคำว่า "พวกเธออย่าประมาท" พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ ก้อถ้าตายวันนี้ผมจะต้องไม่ทำอย่างอื่นแน่ นอกจากฟังธรรม ..... ผมกลายมาเป็นคนที่มีสิ่งที่ต้องทำ ๔ อย่างในชีวิตนี้ ๑ ทำทาน ๒ รักษาศีล จะห้า หรือ แปด ก้อตามกาล ๓ ทำงานหาทรัพย์ ไว้ให้ผู้ที่เราต้องรับผิดชอบ กะ ทำทาน ๔ ฟังพระธรรม และ ศึกษา (จะว่าไปก้อบุญกิริยา ๑๐ ต้องพยายามทำให้ครบ ใน ๑ วัน) รวมแล้วก้อเหลือข้อเดียว... ว่างไม่ได้ ถ้าว่างจากงาน ละก้อ ฟังธรรมทางวิทยุ ทางซีดีทันที (แต่มีเบื่อบ้าง) จำกัดขอบเขตชีวิตให้ดี หางานให้จิตทำ ถ้าจะทำอะไรแล้วเราต้องเปื้อนสิ่งนั้น ผมก้อขอฟังธรรม จะได้เปื้้อนพระธรรมนี่แหละ "ทำวันนี้ซึ่งเป็นวันแรกของวันที่เหลืออยู่ให้ดีนะครับ" ขอนอบน้อมพระรัตนตรัยสูงสุด

ความคิดเห็น 10    โดย wannee.s  วันที่ 9 มิ.ย. 2554

ดูหนังดูละคร ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าัปัญญาเกิดก็รู้ว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง

ที่ไม่ใช่เรา นี้เป็นหนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้อง่ค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย SOAMUSA  วันที่ 9 มิ.ย. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

ดิฉันก็อ่านธรรมะ และฟังธรรมะแบบซ้ำๆ หลายๆ รอบ ในแต่ละเรื่อง

และเรียนพระอภิธรรม ยังนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้บ้างเล็กน้อย

ตั้งใจไว้ว่าจะสนใจศึกษาพระอภิิธรรมต่อไปค่ะ เป็นเหมือนความสำคัญหลัก

ของชีวิตที่ไม่สามารถทิ้งได้ ตราบจนสิ้นลม เกิดชาติหน้าก็ขอพบพุทธศาสนา

ต่อๆ ไปทุกชาติค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 9 มิ.ย. 2554

ขณะที่ดูหนังดูละคร สติสามารถเกิดและพิจารณาสภาพธรรมได้เหมือนในขณะอื่น

ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว ธรรมมีอยู่ทุกที ทุกขณะจิต และทุกเวลาค่ะ

เคยสนทนากับท่านอาจารย์.....

ท่านกล่าวว่า เพลงทุกเพลงที่ฟังสามารถพิจารณาในความเป็นธรรมได้หมดเลย

ดังนั้นศึกษาธรรมแล้วไม่ใช่ว่าชีวิตต้องดำเนินไปผิดจากปกติ

(เพราะการดำเนินชีวิตของฆราวาสนั้นต่างกับบรรพชิต)

และเมื่อเข้าใจธรรมมากขึ้น ความสนใจของเราก็จะเปลี่ยนไปเองค่ะ

ไม่มีตัวเราที่ไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือไปบังคับ


ความคิดเห็น 13    โดย SOAMUSA  วันที่ 10 มิ.ย. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านค่ะ เป็นประโยชน์ทุกข้อความค่ะ

กราบขอบพระคุณ ธรรมะจากทุกๆ ท่านค่ะ

............................................................................................................

ไตรสรณคมน์ วันที่ 9 มิ.ย. 2554 21:39

และเมื่อเข้าใจธรรมมากขึ้น ความสนใจของเราก็จะเปลี่ยนไปเองค่ะ

ไม่มีตัวเราที่ไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือไปบังคับ

................................................

สาธุค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย Thirachat.P  วันที่ 12 มิ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมและทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 15    โดย nong  วันที่ 12 มิ.ย. 2554

ความเข้าใจธรรมเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง ด้วยความความเพียรค่ะ

ขออนุโมทนา...


ความคิดเห็น 16    โดย นาวาเอกทองย้อย  วันที่ 12 มิ.ย. 2554

เรียน ญาติธรรมทุกท่าน ด้วยความเคารพ

เวลาอ่านความคิดเห็นต่างๆ กระผมอ่านเพื่อซึมซับเอาความรู้ความเข้าใจในหลัก

คิดทางธรรมเป็นสำคัญ อย่างในกระทู้นี้ อ่านมาตั้งแต่ต้นด้วยชุ่มชื่นในหัวใจ ว่าเราต่าง

ช่วยดูแลกันและกันให้เข้าใจวิธีคิดพิจารณาพระธรรมเป็นอย่างดียิ่ง แต่ละท่านช่วยเสริม

เติมช่องว่างให้กันและกันอย่างน่าอบอุ่น อย่างเช่นท่าน wannee.s กระผมสังเกตดูใน

หลายๆ กระทู้ท่านจะช่วยเติมเสริมแนวคิดในแง่มุมเล็กน้อยๆ ที่เราอาจจะมองข้าม หรือ

ไม่ทันได้คิดให้อยู่เสมอๆ ขออนุโมทนาอย่างยิ่ง

แต่กระผมยังตัดไม่ขาดอยู่อย่างหนึ่ง คือนิสัยชอบจับผิดทางภาษา เห็นใครใช้

ภาษาที่ "ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น" แล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ อย่างเช่นท่าน paderm ซึ่งตอบ

อธิบายของยากให้ฟังเข้าใจง่ายได้อย่างสุดยอด เพรียบพร้อมด้วยหลักฐานทางวิชาการ

แต่พอกระผมเห็นท่านใช้คำว่า พระพุทธองค์ทรงตรัส (ในที่บางแห่ง) กระผมก็ไม่สบาย

ทันที ทั้งๆ ที่มันไม่เกี่ยวกับธรรมะใดๆ เลย อย่างนี้เป็นต้น หรืออย่างความคิดเห็นที่ 9

(ผ้าเช็ดธุลี) ในกระทู้นี้ เนื้อหาแนวคิดดีพร้อม แต่การใช้ภาษาบางคำ (หลายคำ) เช่น ก็

เป็น ก้อ จริงไหมครับ เป็น จริงม๊ะครับ ไปว่าเขาได้ เป็น ไปว่าเค้าได้ กระผมก็ไม่สบาย

ใจอย่างยิ่ง (ตามนิสัยที่ตัดไม่ขาด ทั้งๆ ที่เข้าใจดีว่าท่านใช้เช่นนั้นเพื่อให้ได้ความ

รู้สึกเป็นธรรมชาติของการเปล่งเสียง)

การสนทนาธรรมของเรา ถ้างามพร้อมทั้งอรรถะ งามพร้อมทั้งพยัญชนะ (ตาม

สมมติบัญญัติ) ก็จะน่าชื่นใจอย่างสมบูรณ์แบบ

"นี่เป็นเวทีธรรมะ ไม่ใช่เวทีภาษาไทย ถ้าอยากอภิปรายเรื่องภาษาไทยเชิญไป

เวทีอื่น" ถ้าญาติธรรมท่านใดรู้สึกอย่างนี้ กระผมกราบขออภัยอย่างสุดๆ ครับ


ความคิดเห็น 17    โดย paderm  วันที่ 12 มิ.ย. 2554

ขออนุโมทนาครับ จะปรับเปลี่ยนให้ถูกต้องตามที่นาวาเอกทองย้อยแนะนำเพื่อความ

สมบูรณ์ของพยัญชนะและอรรถด้วยครับ ถ้ามีอะไรแนะนำเพิ่มเติมในภาษาที่ไม่ถูกต้อง

ก็แนะนำด้วยครับ จะได้ปรับเปลี่ยนให้ถูกต้อง