การเข้าใจจริงๆ ก็คือว่า เมื่อมีสิ่งใดที่ปรากฏแล้ว ก็ได้ฟังเรื่องของสิ่งนั้น ก็เริ่มที่จะเข้าใจความเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตาของสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็มีความเข้าใจถูกต้องขึ้นว่า แม้จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของสภาพธรรมมากมาย แต่ปัญญาจริงๆ ที่จะเข้าใจจริงๆ ในลักษณะที่เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ต้องอาศัยกาลเวลา
จิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ จิตแต่ละคนไม่สามารถมีใครรู้ได้ว่า สะสมอะไรมาแค่ไหน แต่ที่มากที่สุดคืออวิชชา การไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ และเป็นเหตุปัจจัยให้อกุศลทั้งหลายเกิดพร้อมกับอวิชชา โลภะบ้าง โทสะบ้าง มานะบ้าง ริษยาบ้าง มากมาย อยู่ในจิตซึ่งมองไม่เห็นเลย และถ้าไม่เกิดเมื่อไร ก็ไม่ปรากฏว่ายังมี
กว่าจะดับการที่ไม่เคยรู้ลักษณะของสภาพธรรมด้วยความรู้ ความละเอียดจริงๆ ของธรรม จนกระทั่งเป็นการคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นการ "ละ" ด้วยความรู้ ไม่ใช่เป็นตัวเราจะไปทำละอย่างนั้น ไปทำละอย่างนี้ ที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น แต่ว่าไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แม้ในขั้นของการฟัง
การละจริงๆ เป็นหน้าที่ของปัญญาที่รู้ ในขณะที่รู้ บางทีก็กล่าวว่า ละโลภะ แต่จริงๆ รู้นั้นตรงกันข้ามกับอวิชชาซึ่งไม่รู้ เพราะฉะนั้น รู้ตรงกันข้ามกับอวิชชาซึ่งไม่รู้ จึงละโลภะได้ เพราะโลภะเกิดเพราะอวิชชา
พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 430