ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “กุมฺมคฺค ”
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
กุมฺมคฺค อ่านตามภาษาบาลีว่า กุม - มัก – คะ มาจาก กุ บทหน้า ลงในความหมายว่า น่ารังเกียจ [ซ้อน มฺ] กับคำว่า มคฺค (ทาง) รวมกันเป็น กุมฺมคฺค หมายถึง ทางชั่ว, ทางที่น่ารังเกียจ ซึ่งไม่ใช่ทางที่ควรดำเนินไป เพราะเหตุว่า เป็นทางที่ทำให้อกุศลธรรมเกิดพอกพูนทับถมมากยิ่งขึ้น ทำให้จมอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ไม่เป็นเหตุนำออกจากทุกข์ได้เลย ไม่พ้นไปจากอกุศลธรรมประการต่างๆ มี ราคะ ความติดข้อง ความยินดีพอใจ เป็นต้น ตามข้อความในสารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค วีณาสูตร ดังนี้
บทว่า กุมฺมคฺโค ความว่า ชื่อว่า ทางชั่ว เพราะเป็นทางให้ถึงอบาย เหมือนทางเท้าที่ทอดไปสู่สถานที่ซึ่งน่ารังเกียจ สะอิดสะเอียน
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา มีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่งและที่สำคัญ แสดงถึงสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ การที่จะเข้าใจธรรมได้นั้น ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาไปตามลำดับ และจะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด โดยนัยประการต่างๆ มากมาย ก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก จะได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่เข้าใจผิด ไม่เข้าใจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
เมื่อกล่าวถึงทางแล้ว มี ๒ ทาง คือ ทางที่ผิด กับ ทางที่ถูก ถ้าเป็นทางดำเนินที่ผิดนั้น ย่อมเป็นทางที่ไม่ทำให้ถึงซึ่งการดับกิเลส ไม่สามารถทำให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่นำสัตว์โลกออกจากทุกข์ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมด เพราะอกุศลธรรมเป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย ไม่ทำให้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น อกุศลธรรมจะเป็นทางที่ถูกต้องไม่ได้เลย มีแต่จะเป็นทางหรือเป็นเหตุให้เกิดทุกข์เท่านั้น นี้คือความเป็นจริง และกุศลประการใดๆ ก็ตาม ที่กระทำเพื่อปรารถนาลาภ ยศ สักการะ สรรเสริญ ปรารถนาได้รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ หรือแม้แต่หวังการเกิดในภพภูมิที่ดี นั่นก็ไม่สามารถทำให้ถึงการพ้นจากทุกข์ได้ จึงเป็นทางที่ผิดด้วย เพราะไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่การดับกิเลสเลย ยังเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ ไม่พ้นจากทุกข์ ส่วนทางดำเนินที่ถูกต้อง ที่เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของกุศลธรรมและปัญญาที่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงนั้น ต้องเป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา และการเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง แม้ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมเป็นทางดำเนินที่จะทำให้ถึงซึ่งการดับกิเลสในภายหน้าได้ในที่สุด
สำหรับการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้นนั้น เป็นเรื่องที่ยาวไกลมาก ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา ละคลายอกุศลธรรม คือ ความไม่รู้ ความติดข้อง และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ซึ่งการละความยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนนั้น ไม่ง่ายเลย เพราะเหตุว่าจะต้องเป็นในแต่ละขณะที่รู้ความจริงว่า สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ใครๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ได้เลย นี้จึงจะเป็นหนทางที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล และที่น่าพิจารณา คือ การที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนนั้น เป็นสิ่งที่ยาก บางคนสละวัตถุง่าย มีการสะสมมาที่จะเป็นผู้มีอัธยาศัยในการให้ ก็พร้อมที่จะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น หรือบางคน ก็อาจจะมีจิตใจดี มีเมตตากรุณา ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นอยู่เสมอ แต่แม้กระนั้นการที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ต้องยากกว่า เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของปัญญา เป็นสิ่งที่ละเอียดและลึกซึ้งมาก ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่รู้ลักษณะของธรรมจริงๆ ขณะนั้นก็ไม่สามารถละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้เลย ดังนั้น จึงต้องดำเนินในทางที่ถูกต้องเท่านั้น ไม่ใช่การดำเนินไปในทางที่ผิด ไม่ใช่การประพฤติตามๆ กันไปด้วยความไม่รู้
การจะพ้นจากการดำเนินไปในทางที่ผิดได้นั้น ที่สำคัญที่สุด คือไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปตามลำดับ ความเข้าใจพระธรรมจะเป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายความเห็นผิด ความไม่รู้ และกิเลสทั้งหลาย เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ตกไปในฝ่ายผิดทั้งหมด พุทธบริษัทในครั้งอดีต มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม ก็เพราะได้อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงฉันใด พุทธบริษัทในยุคนี้สมัยนี้ จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ฉันนั้น จะประมาทในแต่ละคำของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ไม่ได้เลย ต้องศึกษาทุกคำด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
ขณะที่ฟังพระธรรม เป็นการสะสมความเข้าใจถูก เริ่มที่จะมีความเห็นถูก จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ โดยที่จะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา และประการที่สำคัญ เราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า โอกาสที่เราจะได้เข้าใจธรรมในชาตินี้จะเหลืออีกเท่าใด ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว จะต้องไม่ลืมจริงๆ ว่า ทุกคนกำลังจะตาย เพราะตายเมื่อไหร่ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ในเมื่อไม่รู้ว่าจะจะต้องตายเมื่อใด ก็ควรที่จะได้มีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ไม่ประมาทในการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งยากที่จะได้ฟังและยากที่จะเข้าใจ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นที่พึ่งต่อไป นี้แหละจึงจะเป็นเครื่องป้องกันต้านทานไม่ให้ดำเนินไปในทางที่ผิดโดยประการทั้งปวง
ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..
บาลี ๑ คำ
การจะพ้นจากการดำเนินไปในทางที่ผิดได้นั้น ที่สำคัญที่สุด คือไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปตามลำดับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ