เป็นผู้มั่นคงไม่หวั่นไหวในเหตุในผล คือ ในกรรมและผลของกรรมของตนเอง
โดย nattawan  8 ส.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50616

ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนจะต้อง เป็นผู้มั่นคงไม่หวั่นไหวในเหตุในผล คือ ในกรรมและผลของกรรมของตนเอง

จะต้องไม่หวั่นไหวจริงๆ อย่างคนที่ได้รับอุบัติเหตุ ถ้าไม่เคยมีกรรมมาก่อนเลย จะไม่มีร่างกาย ซึ่งบางวันจะกระทบกับสิ่งที่สบาย บางวันก็จะกระทบกับสิ่งที่ไม่สบาย แต่ถ้าถูกโจรผู้ร้ายประทุษร้าย ก็อาจจะคิดว่าที่กำลังเจ็บปวดเพราะโจรผู้ร้าย ลืมว่าไม่ใช่เลย ถึงแม้ไม่มีโจรผู้ร้าย ตกเครื่องบินก็ได้ ตกรถไฟก็ได้ ถูกรถทับก็ได้ อะไรก็ได้ ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น แต่พอมีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเลยคิดว่าเพราะคนอื่น ฉันใด เวลาที่จะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ก็คิดว่าเพราะคนอื่นให้ แต่ลืมว่าเป็นเพราะกรรมของเราเอง คนอื่นจะให้ได้อย่างไรในเมื่อเขาเองก็มีกรรมของเขาเอง เป็นของเขา จะไปทำกรรมให้คนอื่น เป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้นคำว่า “พร” หรือ “วรัง” ที่แปลว่าประเสริฐ คนอื่นให้ได้ไหม ที่ให้พรกัน อวยพรกัน เป็นแต่เพียงขณะนั้นเป็นเมตตาจิตที่มีความหวังดี มีความปรารถนาดี มีความระลึกถึงในทางดีต่อกัน แต่ว่าใครก็ตามที่ขอพร หวังพร ต้องการพร ก็คือว่าต้องทำกุศลด้วยตนเอง จึงจะได้ ถ้าขอพรมากๆ ก็หมายความว่า ต้องทำกุศลให้พอที่จะได้รับที่จะเป็นปัจจัยให้พรนั้นๆ เกิด ไม่ใช่ทำนิดเดียว แล้วก็ขอมากๆ เหตุกับผลไม่ตรงกันเลย

เพราะฉะนั้นที่คนไหนได้รับพร สิ่งที่ดีมาก ก็เพราะกุศลที่ทำไว้มากต่างหาก ไม่ใช่เพราะคนอื่นมาให้ได้

มีหนังสือ “พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อหรือไม่” ที่มีเรื่อง “พร” แสดงให้เห็นถึงในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน มหาอุบาสิกาวิสาขาขอพร คือ ขอโอกาสที่จะกระทำกุศล เพราะรู้ว่า พรทั้งหลาย สิ่งที่ดีทั้งหลาย สิ่งที่ประเสริฐทั้งหลาย จะมีได้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะกุศลซึ่งเป็นเหตุ แต่ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวขอพรจากคนนั้นคนนี้แล้วหวังว่า สิ่งที่ได้รับนั้นมาจากคนนั้นคนนี้

โสภณธรรม ครั้งที่ 140



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 8 ส.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ