ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๖
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา ทำให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น บางท่านก็บอกว่าคุ้มค่าที่ได้ฟังหรือคุ้มค่าที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วมีโอกาสได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ชีวิต สั้น การฟังพระธรรมแค่นี้ยังไม่พอ ความเข้าใจธรรมยังไม่พอ แต่กุศลใดที่ได้ทำไว้ที่ทำให้มีความศรัทธาในการที่จะได้ฟังมีการเห็นประโยชน์ว่าเป็นสิ่งเดียวที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้แม้เกิด ก็เกิดในที่ที่จะได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นด้วย
~ ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าเป็นคนที่เห็นคุณของพระธรรมจริงๆ จะกล่าวว่า มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ เพราะปัญญาเป็นความเข้าใจถูกความเห็นถูกในสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
~ เพราะเหตุใด จึงมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง? เพราะว่า ทำให้เข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ ถูกต้องตามความเป็นจริง
*** ~ ที่สำคัญที่สุด ก็คือ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและฟังคำของพระองค์ เพื่อมีความเข้าใจถูก ถ้าทุกท่านเป็นอย่างนี้ประเทศเจริญ ไม่เต็มไปด้วยการทุจริตทุกวงการ***
~ จริงๆ แล้วทุกคน ด้วยความจริงใจ ไม่ว่าใครทั้งสิ้น นับถือความดี หรือมีใครจะบอกว่านับถือความชั่ว? เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม? แต่ยังไม่รู้ว่าความดีคืออะไร แค่นี้ก็ไม่รู้ แค่คำว่าความดี ก็ไม่รู้ มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ คืออะไร ได้แต่อยู่ไปแล้วก็คิดไป แล้วก็ตามคำของคนอื่นเสมอมาจนกระทั่งเชื่อเครื่องรางของขลัง เขาบอกว่าดี ใช่ไหม? ถ้าเขาไม่บอกว่าดี เราจะเชื่อไหม? แต่เขา นั่นใคร? ลองบอกหน่อยว่าดีอย่างไร ถ้าไม่สามารถจะบอกได้ เราก็ไปนับถือสิ่งที่เราไม่รู้ และไม่ดีด้วย เพราะไม่รู้ ตราบใดที่ไม่รู้ ก็ไม่ดี ด้วยเหตุนี้ ในพระไตรปิฎก ไม่มีคำว่าเครื่องรางของขลังที่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นของลัทธิอื่นตั้งแต่ดั้งเดิมก่อนที่จะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เราจะเป็นอย่างนั้นหรือ? มีโอกาสได้ฟังคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีโอกาสที่จะได้ฟังคำของพระองค์ แต่พระองค์ไม่สามารถจะดลบันดาลให้เราที่ฟังเข้าใจได้ แต่ต้องเป็นการไตร่ตรอง การพิจารณาในเหตุและผลจนถูกต้อง นั่นคือ อาศัยคำของพระองค์
~ มีเหตุที่จะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ก็เกิด ขณะนี้นั่งกันอยู่ มีความสุข แล้วถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา อะไรเป็นเหตุ ใครไปทำใคร นั่งกันอยู่ด้วยกันไม่มีใครทำร้ายใครเลย แต่เจ็บก็เกิดได้ ปวดหัวตัวร้อน ก็เกิดได้ อะไรก็เกิดได้ โดยไม่คาดฝัน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ต้องแล้วแต่เหตุ ถูกไหม?
*** ~ นับถือเครื่องรางของขลัง คือ นับถือสิ่งที่เราไม่รู้จัก ใช่ไหม? นับถือมานานแล้วด้วย แล้วเมื่อไหร่จะรู้ว่า แล้วเราไปนับถืออะไรจริงๆ? นับถือดิน นับถือเหล็ก นับถือตะกั่ว หรืออะไร? แล้วนับถือแล้วได้อะไร? ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่คนอื่นถึงเขาไม่นับถือเครื่องรางของขลัง เขาก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้างเหมือนกัน แล้วเราไปนับถือทำไมให้เสียเวลา แทนที่จะนับถือสิ่งที่เรารู้ว่าประเสริฐที่สุดหรือมีคุณความดี***
~ คนที่ได้รับอุบัติเหตุ มีพระเครื่องหรือเปล่า ถ้ามีล่ะ? ... หรือ คนที่รอดพ้นจากภัยพิบัติ โดยไม่มีพระเครื่อง กับ คนที่มีพระเครื่อง ก็เลยเชื่อว่า พระเครื่องทำให้รอด แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ก็หนาแน่นมากขึ้นทุกวันจมลงสู่เหวที่ลึกที่สุดคือความไม่รู้ ยากที่จะขึ้นมาได้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความถูกต้องและความจริง จริงยิ่งกว่านั้นอีกนิดหนึ่ง คือ แต่ก่อนเห็นผิด เดี๋ยวนี้เริ่มเข้าใจถูกแล้วจะแก้ไขไหม?
~ เคารพในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเคารพเครื่องรางของขลัง? เปรียบเทียบ อะไรเป็นสาระ อะไรไร้สาระคือไม่มีประโยชน์เลย
~ ความไม่รู้ทั้งหมด ไม่ทำให้เห็นประโยชน์ของความดี
** ~ ถ้ายังไม่เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นชาวพุทธหรือเป็นชาวอื่น?***
~ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมแต่ละคำ นำไปสู่การที่จะเข้าใจถูก เพื่อหลุดพ้นจากความเห็นผิด ละความเห็นผิด ละความไม่รู้
~ บางท่านอาจจะคิดว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงในพระไตรปิฎกนั้น ซ้ำเหลือเกิน พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงนั้น จะไม่พ้นจากเรื่องของการรู้ชัดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่เพราะเหตุว่าท่านยังไม่รู้ชัดจริงๆ ในสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงซ้ำแล้วซ้ำอีก ทรงโอวาทพร่ำสอน แล้วๆ เล่าๆ ในเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
~ ผู้ที่สะสมมาก็เห็นประโยชน์ของพระธรรม แล้วก็เห็นว่าขณะที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตในสังสารวัฏฏ์ คือ ขณะที่เข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสซึ่งกำลังมีในขณะนี้ตามความเป็นจริง เพราะไม่มีใครเข้าใจเองได้เลย
~ ความดี เป็นความดี ความไม่ดี ความชั่ว เป็นความชั่ว เพราะฉะนั้น จะมีความเมตตา มีความหวังดี มีความเป็นเพื่อน ได้ไหม แทนที่จะโกรธ เพราะโกรธ ไม่ดีแน่ๆ จะมาอ้างสักนิดหนึ่งว่า ต้องโกรธ ไม่ได้เลย ทำไมล่ะ ทำไมต้องโกรธ? ดีตรงไหน? เขาไม่ดี เราดีหรือเปล่า หรือมีแต่เขาที่ไม่ดี? แล้วคนอื่นเห็นเราอย่างไร ดีหรือไม่ดี?
~ โกรธมีหลายระดับ ตั้งแต่ขุ่นใจเล็กน้อยนิดหน่อยจนกระทั่งพยาบาทไม่ลืมทั้งวันทั้งคืน ปรุงแต่งเป็นความคิดที่จะทำร้ายและทำลาย มาจากไหน มาจากความไม่ดี ไม่เห็นโทษของความโกรธว่าเพียงโกรธเกิดขึ้น ใคร ไม่สบาย ใคร เป็นทุกข์? เราเองใช่ไหม ตัวเอง แต่หลงว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น ค่อยๆ แยกเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ จึงรู้ว่าสิ่งที่มีจริงนี่แหละ เป็นธรรม ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้ว ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร นั่นคือความหมายของคำว่า ไม่ใช่เรา "อนัตตา"
~ ถ้าชาตินี้ไม่รู้ ต่อไปขณะไหนจะรู้?
~ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ไม่เหลือเลย แต่พระธรรมก็ยังมีให้เราได้ฟัง ได้รู้จักคุณว่าบุคคลนี้บุคคลเดียวที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เพื่อนที่ดีจะพูดสิ่งที่จริง ถูกต้อง ไม่คำนึงว่าเขาจะรักหรือเขาจะชัง เพราะเหตุว่า เราหวังดี เพราะถ้าเขาไม่ได้ฟังเลยแล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร
~ ความดีเกิดขึ้น ขณะนั้น เป็นคุณประโยชน์ ไม่ทำร้ายตน จึงไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่มีใครทำร้ายใคร สงบไหม? ทำแต่สิ่งที่ดีต่อกัน สงบไหม? สงบตั้งแต่ขณะที่ความดีเกิดขึ้นแล้ว ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่คิดร้าย ถ้าจิตเป็นอย่างนี้ กายจะไปทำร้ายได้ไหม? แล้วถ้าจิตมีความเข้าใจถูกต้อง จะไปพูดคำผิดๆ ได้ไหม?
~ ถ้าท่านเป็นผู้ที่ติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน วันหนึ่งท่านอาจจะเป็นผู้ที่ล่วงศีล แม้ในข้อกาเมสุมิจฉาจาร (การประพฤติผิดในกาม) ได้ เพราะท่านไม่ได้เพียรที่จะขัดเกลากิเลสของท่าน แต่สะสมกิเลสเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อกิเลสเพิ่มมากขึ้น ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะมากขึ้น ท่านก็ย่อมประพฤติผิดในกามได้ ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติผิดในศีลข้อ ๑ หรือข้อ ๒ หรือข้อ ๓ หรือข้อต่อๆ ไป ซึ่งก็เป็นไปเพราะความติดในกาม คือ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ
~ จะไปที่ไหนก็ตามแต่ ใครจะหนีความตายได้ เพราะว่าสัตว์โลกทั้งหลายเมื่อเกิดมาแล้วจะต้องตาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะหนีไปที่ใด ไม่ว่าจะอยู่ถึงสวรรค์ชั้นใดก็ตาม ความตายก็ครอบงำไว้ เพราะว่าสัตว์โลกทั้งหมดที่เกิดมาแล้วจะต้องตาย หนีความตายไม่พ้นเลย
~ ความตายนี้รวดเร็วมาก เร็วยิ่งกว่าการกระพริบตา หรือเพียงแต่จะเหยียดมือออก นั่นก็ยังนานกว่าการจุติและปฏิสนธิ เพราะเหตุว่าขณะจิตไม่มีระหว่างคั่นเลยทันทีที่จุติจิตดับลง ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที
~ ถ้าท่านคบหาสมาคมกับคนที่มีความเห็นผิดโน้มเอียงไปในทางความเห็นผิด ขาดการพิจารณาไตร่ตรองโดยแยบคาย ท่านก็ย่อมจะคล้อยตาม โน้มเอียงไปในความเห็นผิดนั้น แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่คบหาสมาคมกับผู้ที่มีความเห็นถูก ท่านก็จะได้รับการชักจูง โน้มเอียงไปในการที่จะเป็นผู้ที่ละเอียด และเป็นผู้ที่พิจารณาคล้อยตามคลองของธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นความเห็นถูกด้วย
~ ถึงแม้ว่าได้เกิดเป็นมนุษย์ในมนุษย์ภูมิแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยทำอกุศลกรรมในอดีตมาเลย เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสที่อกุศลกรรมนั้นจะให้ผล ถึงแม้ว่าจะเป็นมนุษย์ก็มีโอกาสได้ผลของอกุศลกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่ใช่ว่าเป็นมนุษย์แล้วจะไม่มีอกุศลกรรมให้ผลได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
*** ~ ถ้าดูมนุษย์ จะเห็นได้ว่าชีวิตของมนุษย์ย่อมแตกต่างกันไป แล้วแต่กรรมที่วิจิตรมาก แม้ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ด้วยกัน หรือว่าจะเกิดในวงศ์สกุลเดียวกัน เป็นญาติพี่น้องกันก็ตาม แต่กรรมที่จำแนกไปแต่ละขณะจิต ก็ยังวิจิตรต่างกันไป บางคนสมบูรณ์ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข บางคนก็เสื่อมลาภ เสื่อมยศและถูกนินทา ได้รับทุกข์ภัยต่างๆ เพราะฉะนั้น ก็ย่อมแล้วแต่การสะสมของกรรมที่แต่ละคนได้กระทำแล้ว ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมว่า จะมีโอกาส หรือพร้อมที่จะให้ผลในขณะไหน ก็ให้ผลในขณะนั้น***
~ ความเข้าใจถูก ป้องกันไม่ให้เข้าใจผิด
~ ความเข้าใจพระธรรม เป็นสิ่งเดียวที่จะนำมาซึ่งความสงบที่แท้จริง เพราะดีงาม เป็นกุศล ไม่คิดร้าย ไม่กล่าวร้าย ไม่ทำร้าย
~ คิดร้าย ดีหรือเปล่า? ทำร้าย ดีหรือเปล่า? ก็ต้องตรง เปลี่ยนไม่ได้ ความคิดร้ายเกิดเมื่อไหร่ ก็เป็นโทษเมื่อนั้น
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๕


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ถึงแม้ว่าได้เกิดในมนุษย์ภูมิแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยทำอกุศลกรรมในอดีตมาเลย เมื่อมีโอกาสที่อกุศลกรรมนั้นจะให้ผล ถึงแม้ว่าจะเป็นมนุษย์ก็มีโอกาสได้ผลของอกุศลกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่ใช่ว่าเป็นมนุษย์แล้วจะไม่มีอกุศลกรรมให้ผลได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา