
บางท่านซึ่งไม่เข้าใจเรื่องการอบรมเจริญปัญญาเลย ท่านคิดว่า ทำวิธีไหนก็ได้ ทำสมาธิก่อนและปัญญาจะเกิดขึ้นเอง รู้แจ่มแจ้งขึ้นมาเอง หรือเมื่อทำสมาธิแล้ว ก็จะยกขึ้นสู่การรู้แจ้งสิ่งที่ปัญญารู้ ซึ่งถ้ากล่าวอย่างนั้น แสดงว่า ไม่รู้เลยว่า ปัญญา รู้อะไร
ปัญญารู้เห็นที่กำลังเห็นในขณะนี้ตามความเป็นจริง ปัญญารู้ได้ยินที่กำลังได้ยินในขณะนี้ตามความเป็นจริง ถ้าสติไม่ระลึกก่อน และปัญญาไม่น้อมไปศึกษาพิจารณาจนค่อยๆ รู้ขึ้น เมื่อไรจึงจะรู้
การทำสมาธิ โดยที่ไม่ศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และหวังว่าจะรู้เห็นที่กำลังเห็นได้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
การที่จะรู้สภาพธรรมของเห็นที่กำลังเห็นในขณะนี้ได้ ต้องเมื่อสติระลึกขณะที่กำลังเห็นตามปกติ เพราะฉะนั้น มีหนทางเดียวเท่านั้น คือ สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยตามควร
การสะสมของปัจจัย เป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ได้ เหมือนอย่างผู้ที่ สติระลึกแล้ว ผลยังไม่เกิดสักทีหนึ่ง คือ ยังไม่ประจักษ์ชัดในลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรม ซึ่งท่านผู้นั้นลืมคิดไปว่า ถ้าท่านเห็นด้ามมีดที่ยังไม่สึก และทำอย่างไรด้ามมีดนั้นจะสึก ถ้าจับเพียงครั้งเดียว สองครั้ง ด้ามมีดก็ไม่สึกไปได้ ก็เหมือนกับการที่สติระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมบ้าง แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ปัญญาประจักษ์แจ้งในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาเพียงประการเดียว ที่จะต้องเข้าใจให้ตรง และสติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นสัจธรรม
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1378
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ