เวลาที่เห็นเกิดขึ้นครั้งหนึ่งก็เป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง เป็นโมหะบ้าง ในขณะใดที่กุศลเกิด เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในภาวนา จิตในขณะนั้นไม่เป็นโลภะ ไม่เป็นโทสะ ไม่เป็นโมหะ
ผู้ไม่หลงลืมสติเลยนั้น เป็นพระอรหันต์ ซึ่งได้เคยเจริญสติมาแล้วตั้งแต่เป็นปุถุชน เจริญสติปัญญาเพิ่มขึ้นรู้ลักษณะของนามและรูปตามลำดับขั้น จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับ ตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เป็นพระอรหันต์เมื่อใด เมื่อนั้นเวลาเห็นก็มีสติ เวลาได้ยินก็มีสติ เวลาได้กลิ่นก็มีสติ รู้รสก็มีสติ คิดนึก สัมผัส ถูกต้องก็มีสติตลอดเวลาได้
ต้องเริ่มมาจากการเจริญสติทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งเป็นพระอริยะแล้วยังเจริญอีก ปัญญาสมบูรณ์เพิ่มขึ้น แล้วเมื่อปัญญาสมบูรณ์มากขึ้น ดับกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ไม่มีเชื้อของกิเลสใดๆ เลย เมื่อเห็นจึงมีสติได้ เมื่อได้ยินจึงมีสติได้ ตลอดติดต่อกันอย่างนั้นได้ เพราะเหตุว่าไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจเหตุผลด้วย อย่าไปพากเพียรทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ [ตอนที่ 46]
รับฟัง ...
มีสติติดต่อกันตลอดเวลา ได้ไหม
