ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงเลื่อยจักรประสาร ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐
โดย วันชัย๒๕๐๔  27 พ.ย. 2560
หัวข้อหมายเลข 29333

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๒๔-๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากร อ.กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช อ.ธีรพันธ์ ครองยุทธ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากคุณประสาร คุณรัชนีวรรณ บุญชู เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพัก ในบริเวณ บริษัท โรงเลื่อยจักรประสาร จำกัด ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

ขออนุญาตเล่าเรื่องราวส่วนตัวไว้ ณ ที่นี้สักเล็กน้อยนะครับ โดยส่วนตัว ข้าพเจ้ารู้จักกับพี่ประสารเป็นครั้งแรก เมื่อคราวเดินทางไปกราบสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่ประเทศอินเดีย เมื่อปลายปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ ซึ่งเป็นครั้งแรกของข้าพเจ้าที่ได้เข้ามามูลนิธิฯ ด้วยจุดประสงค์ของการเดินทางไปกราบสังเวชนียสถาน หลังจากที่ได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์อยู่ที่บ้านสักสี่ห้าปีเห็นจะได้ ในคราวนั้นพี่ประสารและข้าพเจ้ามีโอกาสได้นั่งรถตู้แวนด้วยกันในที่นั่งด้านหลังสุด เพราะข้าพเจ้าย้ายจากรถบัสคันใหญ่ ลงมานั่งรถตู้ ซึ่งในรถคันนี้ เท่าที่จำได้ก็มีพี่แดง (พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง) พี่สงบ (รศ.สงบ เชื้อทอง) คุณใหม่ พี่กฤษณา อยู่ในรถตู้คันนี้ด้วย ถ้าจำไม่ผิด เป็นการเดินทางในช่วงของกุสินารา (สถานที่ปรินิพพาน) ไปยังลุมพินี (สถานที่ประสูติ) ประเทศเนปาล (ซึ่งอยู่ติดชายแดนประเทศอินเดีย) ระหว่างทางได้มีโอกาสคุยกันบ้างเล็กน้อยกับพี่ประสาร เพราะส่วนใหญ่พี่ประสารจะใส่หูฟังธรรมจากไอพอดตลอดทาง ซึ่งพี่ประสารบอกว่าลูกซื้อไอพอดให้ (สมัยนั้นไอพอดนับว่ามีราคาค่อนข้างแพงและเป็นอุปกรณ์ที่นำสมัย) ส่วนข้าพเจ้าก็ได้อาศัยฟังธรรมะจากเอ็มพีสามของคุณใหม่ ที่เปิดให้ทุกคนได้ฟังตลอดทางในรถคันนั้น ซึ่งยังคงจำได้จนบัดนี้ ในความรื่นรมย์ในธรรมระหว่างทาง ที่เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง อันแสนวิเศษยิ่งในสังสารวัฏ ที่แม้ไม่มีวันหวนกลับมาอีก แต่รู้ว่า ในกาลข้างหน้า หากได้อยู่ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อๆ ไป คงจะได้มีโอกาสและกาลอันยอดเยี่ยมเช่นนี้อีกแน่นอน นี่ย่อมไม่ใช่การคาดหวังหรือความติดข้องต้องการแต่ประการใดทั้งสิ้น แต่จากการได้ศึกษาและเข้าใจ ย่อมรู้ว่า เมื่อเป็นผู้สร้างเหตุแห่งการฟังและสะสมความเข้าใจธรรมไว้ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้ได้มีการฟังและสะสมความเข้าใจอีกต่อๆ ไปในกาลสมัยข้างหน้าที่ได้จะพบกับพระธรรมอีก ไม่ว่าจะอีกกี่กัปกี่กัลป์ ยาวนานเพียงไหน ก็ไม่สำคัญเลย

พี่ประสารและพี่เจี๊ยบ (รัชนีวรรณ) เป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่ทำดีและศึกษาพระธรรม กล่าวคือ พี่ประสารและพี่เจี๊ยบ แม้เป็นผู้มั่งคั่งในทรัพย์มากมายในชาตินี้ แต่มีใจเกื้อกูล รู้จักพอ และใช้ทรัพย์ที่มีไปในการเจริญกุศลช่วยเหลือเกื้อกูลแก่บุคคลอื่น พี่ประสารเคยเล่าให้ฟังว่า กิจการที่เคยมีอยู่หลายแห่งในอดีต ปัจจุบันก็ได้แบ่งสรรปันส่วนให้ลูกๆ และลูกน้องเก่าที่เคยร่วมงานกันมา ให้เป็นผู้รับมอบดูแลเป็นกิจการของตนเองไปหมดแล้ว พี่ประสารเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเมื่อคราวไปสนทนาธรรมที่กนกรัตน์รีสอร์ท อัมพวา คราวก่อนโน้นว่า ปัจจุบันไม่ใส่ใจใยดีกับสิ่งที่มีเท่าไรนักแล้ว นึกอยากจะไปไหนก็ขับรถไปเลย มีกระเป๋าเสื้อผ้าพร้อมอยู่ในรถเสมอ ที่สำคัญ หากใครพบกับพี่ประสารตอนนี้ ก็จะยังคงเห็นพี่ประสารใส่หูฟังพระธรรมตลอดเวลาเสมอๆ อนึ่ง ควรที่จะบันทึกไว้ ณ กาลนี้ด้วยว่า เท่าที่ทราบมา พี่ประสาร เป็นคหบดีผู้หนึ่ง ที่สละทรัพย์มากเพื่อให้จัดหาผ้าห่มพระเจดีย์และต้นพระศรีมหาโพธิ์ในการเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียและศรีลังกาในแต่ละครั้ง (ซึ่งต้องใช้ผ้าเป็นม้วนใหญ่มาก หลายๆ ม้วนในคราวหนึ่งๆ )

เมื่อทราบว่าพี่ประสารและพี่เจี๊ยบจัดสนทนาธรรมที่โรงเลื่อยจักรแห่งนี้ จากข่าวที่ประกาศทางเวปไซต์ของบ้านธััมมะ จึงตั้งใจว่าจะเดินทางมาร่วมอนุโมทนากับพี่ทั้งสองด้วย ซึ่งก็น่าแปลกใจว่า แม้การเดินทางมายังโรงเลื่อยจักรแห่งนี้จะหลงๆ งงๆ จากการอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่คือกูเกิ้ลแมพที่ยังไม่ละเอียดแม่นยำพอ ปรากฏว่าเจ้าอากู๋เกิ้ล พาข้าพเจ้าบุกป่าฝ่าหนทางที่ยอกย้อน จนคิดว่าสิ้นหวังแล้ว แต่ในที่สุด ภาพของโรงเลื่อยจักรประสาร ก็ปรากฏแก่สายตาเฉพาะหน้า ในเวลาที่ทันกาลพอดี แสดงความเป็นอนัตตา และ บุญที่เคยได้กระทำไว้และจะได้กระทำอีกต่อๆ ไป ด้วยความมั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น ว่า เมื่อจะได้เห็น จะได้พบ ทุกสิ่งก็จะปรากฏเฉพาะหน้าเอง ตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่ใช่ด้วยความติดข้อง ต้องการ แต่ประการใดเลยทั้งสิ้น (ไม่ลืมว่า เหตุปัจจัยหนึ่ง คือ ขับรถออกจากบ้านที่กรุงเทพฯมาด้วยนะครับ ถ้าไม่ขับรถออกจากบ้านมา ก็ไม่เป็นเหตุหนึ่งที่จะให้ถึงโรงเลื่อยแน่ ฮี่ๆ )

การศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ในหนทางที่ถูกต้อง ตรงตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น เป็นหนทางที่ยาก ละเอียด และลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ใช่หนทางที่จะเข้าใจได้โดยง่ายเลย หากเป็นผู้เผิน ไม่เป็นผู้ละเอียด รอบคอบ ไม่เป็นผู้ตั้งจิตไว้ชอบ ฟังและพิจารณาในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังโดยแยบคาย ย่อมถูกลวงไปสู่หนทางผิดด้วยโลภะ ความติดข้องความต้องการ ด้วยความไม่รู้ และด้วยความเป็นตัวตน แม้ว่าจะทรงมีพระมหากรุณาแสดง "วัญจกธรรม" ธรรมะหลอกลวงไว้ แต่บุคคลก็ยังถูกลวงไปสู่หนทางผิดโดยง่าย และแม้ว่า ท่านอาจารย์จะได้เมตตาเตือนโดยบ่อยว่า หนทางคือเพียงฟังและเข้าใจในสิ่งที่ฟังเท่านั้น ไม่ต้องไปทำอะไรเลย ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากการฟังบ่อยๆ เมื่อไม่เข้าใจก็รู้ว่าไม่เข้าใจ ก็ฟังอีก และฟังอีก ไม่คิดเอง แต่คิด พิจารณา เข้าใจถูกต้อง จากสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แต่ความเป็นตัวตนที่สะสมมาเหนียวแน่นยาวนาน ในสังสารวัฏ ก็ทำให้เป็นบุคคลที่ยากที่จะเข้าใจได้โดยง่าย แม้ท่านอาจารย์จะแสดงว่า ความเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย ย่อมละคลายความไม่รู้ไป ทีละเล็ก ทีละน้อย ค่อยๆ สะสมไปก็ตาม แต่ด้วยความเป็นตัวตน ก็มักแสวงหาหนทางที่อยากจะรู้เร็วๆ รู้มากๆ หรือแม้คิดว่ารู้แล้วก็ตาม (ก็เป็นเราที่รู้ ไม่ใช่ปัญญาที่รู้ ซึ่งเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา เพียงฟังและเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ความเข้าใจที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับแล้ว แต่สะสมไปในจิต และจะเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้นทำกิจขณะใด ก็ไม่ใช่ด้วยความต้องการของผู้ใดเลย หรือ เกิดขึ้นตามอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใดเลยทั้งสิ้น เกิดก็เกิด ไม่เกิดก็ไม่เกิด จะเดือดร้อนอะไร? ใครกันที่เดือดร้อน? อยากรู้ อยากเห็นสภาพธรรม ยิ่งอยาก ยิ่งไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย แน่นอนที่สุด!! พูดอย่างนี้ แล้วจะถามอีกไหม? ว่าแล้วจะทำอย่างไร? ก็ตอบว่าไม่ต้องทำอะไร!! เพียงฟังและเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย บ่อยๆ เนืองๆ แค่นี้!!! เข้าใจไหม? ถามใครกันล่ะนี่? ฮาาาาาาา) แม้ว่าจะฟังมาว่าโลภะคือเพื่อนสนิท กำลังพูดอยู่แท้ๆ แต่ก็ถูก (เพื่อน) ลวงอีกจนได้ จะป่วยกล่าวไปใยกับผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมกันเล่า? อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอนระหว่างท่านอาจารย์กับคุณหมอวิภากร พงศ์วรานนท์ ซึ่งเป็นข้อความการสนทนาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง มาให้ทุกท่านได้พิจารณาดังต่อไปนี้ครับ

คุณหมอวิภากร กราบเท้าท่านอาจารย์และกราบเรียนวิทยากรทุกท่านค่ะ หนูเป็นผู้เริ่มต้นใหม่ ก็อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า การศึกษา หนูยังสับสนว่า ไม่รู้ว่าจะศึกษาตัวสภาพธรรมอย่างไร? พอดีหนูได้ยินมาหลายแบบว่า เราไม่ควรที่จะฟังแต่เรื่องราว เพราะว่าถ้าฟังแต่เรื่องราวโดยที่ไม่ใส่ใจศึกษาตัวสภาพธรรม ก็เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกง

เมื่อสองสามวันนี้ ที่บ้านได้รับรองคนเชียงใหม่ ก็เลยสนทนาว่า พี่พรทิพย์คะ เวลาที่พี่ฟังท่านอาจารย์ พี่ก็ฟังมานานแล้ว หนูก็ถามว่า พี่ได้ใส่ใจในตัวสภาพธรรมไหม? พี่เขาบอกว่า พี่ไม่เลย พี่กลัวเป็นตัวตน เขาพูดอย่างนี้ หนูก็เลย..อ้าว แล้วเราจะรู้ลักษณะได้อย่างไร? อย่างเช่น "ได้ยิน" เราต้องมีการใส่ใจที่จะรู้ว่า ลักษณะที่ได้ยินเป็นอย่างไร และ "เสียง" เป็นอย่างไร หรือในหลายๆ ทาง ว่าเป็นอย่างไร แล้วถ้าเราไม่ใส่ใจ เราจะรู้ลักษณะได้อย่างไร แล้วความจำเราก็จะอยู่อย่างนั้น เป็นแต่เรื่องราวไปเรื่อยๆ หนูก็เลยจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่าเราจะศึกษาตัวธรรมะอย่างไร ที่ว่าไม่เป็นตัวตน แล้วก็เป็นแนวทางที่ถูก

หรือว่า ไม่ต้องไปใส่ใจเลย ฟังอย่างเดียว ที่ท่านอาจารย์ว่า ฟังให้เข้าใจเท่านั้นก็พอ แล้วอย่างไร ต้องรอเขาวูบขึ้นมาเองหรืออย่างไรคะ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ แต่ละคนเป็น "แต่ละหนึ่ง" ใช่ไหม?
คุณหมอวิภากร ค่ะ ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ แล้วคุณหมอจะต้องไปถามใคร ว่าคนโน้นเขาฟังอย่างไร? เขาเรียนอย่างไร ทำอย่างไรเขาถึงจะเข้าใจ เพราะว่า แต่ละคน เป็นแต่ละหนึ่ง ได้ยินคำว่า "ธรรมะ" คุณหมอเข้าใจไหม?
คุณหมอวิภากร ก็หมายถึง สิ่งที่มีจริงที่เขาเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย
ท่านอาจารย์ ถามว่า ได้ยินคำว่า "ธรรมะ" เข้าใจไหม?
คุณหมอวิภากร เข้าใจค่ะ
ท่านอาจารย์ เข้าใจว่าอะไร? เห็นไหม ไม่ต้องไปถามใคร อยู่ที่ตัวของเราเอง ว่าพอได้ยินแล้ว เราเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ไม่ต้องไปถามคนอื่นว่า เราจะต้องเรียนอย่างไร เราถึงจะเข้าใจ จะต้องไปเอาแบบไหน แต่ เมื่อได้ยินคำอะไร ตัวเองเป็นคนที่รู้ว่า เข้าใจคำนั้นหรือเปล่า?

ท่านอาจารย์ คุณหมอบอกว่าเข้าใจ ใช่ไหม?
คุณหมอวิภากร ค่ะ
ท่านอาจารย์ ธรรมะคืออะไร?
คุณหมอวิภากร ธรรมะก็คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเขาเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยของเขา
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ มีไหม?
คุณหมอวิภากร มีค่ะ
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นธรรมะ?
คุณหมอวิภากร ได้ยินก็มี เสียงก็มี เห็นก็มี
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นธรรมะ?
คุณหมอวิภากร สิ่งที่ีมีจริง
ท่านอาจารย์ อะไรมีจริง?
คุณหมอวิภากร "เห็น" มีจริง
ท่านอาจารย์ เห็นมีจริง เพราะฉะนั้น คุณหมอเริ่มเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้ "เห็น" เป็นธรรมะ หมายความว่า ต้องมีความเข้าใจว่า ธรรมะเป็นธรรมะ ไม่อย่างนั้น เราก็บอกว่า "เราเห็น" ถูกต้องไหม? แต่พอได้ยินคำว่า "ธรรมะ" หมายความถึง "สิ่งที่มีจริง" สิ่งที่มีจริงมีจริงแน่นอน แต่เราไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ทั้งๆ ที่มีจริงๆ กำลังปรากฏ!!

แต่เราอาศัยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ คนอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น!! ใครจะรู้? นอกจากผู้ที่บำเพ็ญบารมี ที่จะตรัสรู้ความจริง จนละเอียด จนกระทั่งแสดงความจริง ให้คนที่เพียงได้ยินคำว่า "เห็น" มีจริง เท่านั้นไม่พอ เห็นมีจริง เห็นเป็นเห็น ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ เข้าใจ เพราะความจริงก็คือว่า เมื่อเห็นเป็นเห็น สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะ ไม่ต้องคิดถึงคำว่าธรรมะในภาษาบาลีก็ได้ สิ่งที่มีจริงๆ นี้แหละ ยังไม่สามารถที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ก็ต้องอาศัยการไตร่ตรองว่า เป็นเราหรือเปล่า? "เห็น" เป็นเราหรือเปล่า? ไม่ใช่ต้องไปถามใครว่าเรียนอย่างไร? เขาคิดอย่างไร? เขาดูอย่างไร? แต่ เดี๋ยวนี้เอง "เห็น" เป็น "เราเห็น" หรือว่า "เห็น" เป็น "เห็น"???

คุณหมอวิภากร ก็ที่ฟังท่านอาจารย์ ก็บอกว่า เห็นเป็นสภาพรู้ หนูก็ศึกษา ตรงที่ว่า เห็นเป็นสภาพที่รู้สี
ท่านอาจารย์ คุณหมอคะ ไม่ต้องไปฟังใครทั้งหมด ไม่ต้องเท่าที่ฟังอาจารย์...ไปคิดถึงเรื่องนั้นทำไม ว่าเราฟังใคร แต่ "เห็น" เดี๋ยวนี้!! มีแน่ๆ แล้วคุณหมอเข้าใจถูกหรือยัง? ว่า "เห็น" ไม่ใช่เรา!!
คุณหมอวิภากร ก็เขาเป็นสภาพรู้สี หนูก็คิดว่าเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เข้าใจถูกหรือยัง? ว่า "เห็น" ไม่ใช่เรา!!
คุณหมอวิภากร (คิดอยู่ชั่วขณะ) คือถ้าจะรู้แบบชัดจริงๆ นี่ จะไม่ใช่อย่างนั้น
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ ถามว่า คุณหมอเข้าใจหรือยัง? ว่า "เห็น" เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา!!
คุณหมอวิภากร ค่ะ
ท่านอาจารย์ เข้าใจอย่างนี้ใช่ไหม?
คุณหมอวิภากร ค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่ "สภาพเห็น" ยังไม่ได้ปรากฏว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ก็มีการฟัง!! แล้วก็เห็นความลึกซึ้ง ว่า ทุกคนก็เห็นเหมือนกันหมด และทุกคนก็ได้ยินคำว่า เห็นเป็นธรรมะ และทุกคนก็ได้ยินว่า เห็นมีจริง ทุกคนก็ได้ยินว่า ถ้าเห็นไม่เกิด เห็นก็ไม่มี และทุกคนก็ได้ยินคำว่า เห็นเกิดขึ้นและดับไป ไม่ได้มีเห็นอยู่ตลอดเวลา ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง จนกระทั่งรู้ว่า "เห็น" เป็นสิ่งที่มี ซึ่งไม่ใช่เรา!!

เพราะว่า การศึกษาธรรมะ โดยการ "ฟังคำ" ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงกล่าวไว้ตั้งแต่ต้นว่า "ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา" หมายความว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แค่นี้!! สำหรับเพื่อที่จะเข้าใจ "เห็น" ที่กำลังเกิดดับ โดยปัญญา!! ไม่ใช่ "เราไปหาทาง" ที่จะเข้าใจ!!

คุณหมอวิภากร แต่ "ตัวธรรมะ" เขาก็ให้เรารู้ว่า ขณะนี้มีสภาพที่รู้สีอยู่ แล้วเราจะศึกษาตรงนี้ได้ไหม? ว่า ขณะที่รู้สีคือเห็น
ท่านอาจารย์ คุณหมอคิด คือ คนนี่ชอบ "คิด" ถ้าฟังอย่างนี้ เห็นมีจริงๆ เดี๋ยวนี้เลย! ที่กำลังเห็น!! ใช่ไหม?
คุณหมอวิภากร คิดนี่ท่านอาจารย์หมายถึงคิดเป็นคำหรือคะ?
ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องไปคิด!! ฟังให้เข้าใจ!! "เห็น" กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ มีจริงๆ !!
คุณหมอวิภากร ค่ะ
ท่านอาจารย์ "เห็น" ต้องเกิด กำลังเห็น ถ้าไม่มีการเกิดขึ้น ก็ไม่มีเห็น แต่ที่ไม่รู้ก็คือว่า ไม่รู้ว่าเห็นนี้ เกิดแล้วดับ!! ใช่ไหม? คือ ต้องยอมรับตามความเป็นจริงว่า ได้ฟังอย่างนี้ แต่ว่า ไม่ได้รู้อย่างนี้!! แล้วไม่ใช่จะไปหาหนทางจะรู้อย่างนี้ด้วย!! เพราเหตุว่า หาหนทาง ก็คือ เรานั่นแหละ!! ที่มีความต้องการที่อยากจะรู้!! จนกระทั่งไปแสวงหาทาง ไปถามคนโน้น คนนี้ ว่าเรียนอย่างไร? ฟังอย่างไร?

แต่ความจริงก็คือว่า เราเป็นผู้ที่ตรงต่อตัวเอง ขณะนี้ ได้ยิน ได้ฟัง เรื่องที่กำลังมีจริงๆ และ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งว่า เห็นนี้เกิด และเห็นดับด้วย!! เดี๋ยวนี้เอง!! ความจริงเป็นอย่างนี้!! เพราะฉะนั้น พระปัญญาที่พระองค์ได้ทรงพระมหากรุณาแสดงให้คนอื่นได้เริ่มฟัง ได้เข้าใจตั้งแต่ต้น ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ให้ฟังปุ๊บ แล้วก็ให้เราไปประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ละความเป็นตัวตน

แต่จากที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาเลย แล้วก็ได้ยินได้ฟัง คำที่ต้องไตร่ตรอง และรู้ว่า หนทางที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้ สภาพเห็น ไม่ใช่เฉพาะเห็น ได้ยิน หรืออะไรก็ตามที่กำลังปรากฏนี้ เกิดดับทั้งนั้นเลย!! ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ดับไป ไม่ใช่เป็นการที่ "ตัวเรา" จะไปพยายาม แต่ "ความเข้าใจ" ทีละเล็ก ทีละน้อย ว่า ไม่สามารถที่จะเข้าใจคำที่พระองค์ตรัสว่า เห็นกำลังเกิดดับ เพราะเป็นขั้นต้นที่เพิ่งจะเริ่มรู้ว่า "เห็น" ไม่ใช่เรา!! "เห็น" มีจริงๆ !!

เพราะฉะนั้น กว่าจะประจักษ์แจ้ง "เห็น" ที่กำลังเกิดดับ ต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ว่า มาจากคนอื่นบอก แต่ฟังแล้ว กว่าจะเข้าใจ ใช้คำว่า "กว่าจะเข้าใจ" ไม่ใช่คนอื่นมาบอกว่า คุณหมอรู้เท่านี้แล้ว คุณหมอเข้าใจแค่นี้แล้ว แต่..ตัวเองต้องรู้ว่า...กว่าจะเข้าใจ...และ "ตรง" ว่าขณะนี้ "เห็น" ไม่ใช่เรา ก็แสนยาก เพราะว่า เพียง (ความเข้าใจ) เท่านี้ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย!!

ถ้าแค่นี้เป็นไปได้ (คำสอน) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ง่ายมาก!! ไม่ต้องมีอะไรเลย แค่นี้ คนรู้แล้ว เป็นไปได้อย่างไร!! แต่ว่า ต้องเป็นคนที่ตรง พูดถึงได้ยิน "ได้ยิน" ก็มี กำลังได้ยินด้วย ได้ยินก็ต้องเกิด ได้ยินก็ต้องดับไป แต่ไม่ได้รู้ในความเป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นได้ยิน ขณะนั้นต้องไม่มีอะไรเลย นอกจาก "ได้ยิน" กับ "เสียง" แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เป็นอย่างนั้นเลย!!

แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมะทั้งหมด เกิดดับสลับกันเร็ว สุดที่จะประมาณได้ จึงไม่ปรากฏการเกิดดับของอะไรเลยทั้งสิ้น!! ฟังให้เข้าใจความจริง เท่านั้นเอง!! เพราะว่า ขณะที่เข้าใจ ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรา!! จนกว่า...ไม่ใช่เราเลยสักอย่าง!! เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ไหม?

คุณหมอวิภากร ค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เป็นไปได้ เดี๋ยวนี้หรือเปล่า?
คุณหมอวิภากร ยังไม่เดี๋ยวนี้
ท่านอาจารย์ อีกนานไหม?
คุณหมอวิภากร อีกนานค่ะ และหนูจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า แล้วตัวธรรมะที่เรากำลังเห็นนี้ เป็นสภาพที่รู้สีหรือรู้เสียงนี่
ท่านอาจารย์ มี "เรา" เข้ามาอีกแล้ว มีเราเข้ามาอย่างนั้นอย่างนี้
คุณหมอวิภากร ไม่ค่ะ อาการที่รู้เสียง ได้ยินนี่ เราสามารถจะศึกษาตรงนี้ รู้ว่ามันเป็นลักษณะ...
ท่านอาจารย์ เป็นเราอีกแล้ว!! เป็นเราจะต้องศึกษาอีกแล้ว!! ไม่ต้องเลย!! คุณหมอไม่ต้องทำอะไรเลยทั้งสิ้น!! ฟังแต่ละคำ แล้วเข้าใจว่า อีกนานไหม? กว่าแม้แต่จะรู้ว่า ขณะนี้ สภาพรู้เกิดขึ้น ได้ยินแล้วดับไป อีกนานไหม?
คุณหมอวิภากร อีกนานค่ะ
ท่านอาจารย์ อีกนาน!! แล้วทำไม (ถามว่า) ทำอย่างไร? คุณหมอไปหาวิธีหรือ? หรือว่า รู้ว่า อาศัยความเข้าใจ ซึ่งเริ่มได้ยินได้ฟังคำว่าธรรมะ สิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นและดับไป กำลังเป็นอย่างนี้ ความจริงยากที่จะประจักษ์ได้ แต่ประจักษแจ้งได้ แต่โดยไม่ใช่เราไปนั่งคิดว่า แล้วสภาพเห็นเป็นอย่างไร อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ต้องคิด!! ฟัง เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!! และค่อยๆ สะสมความเข้าใจ ว่ากำลังคิดก็มีจริงๆ เกิดขึ้นและดับไป จนทุกอย่างไม่เหลืออะไรเลยที่ปรากฏ "ความเข้าใจ" สามารถที่จะรู้ในขณะที่สภาพธรรมะนั้น กำลังเป็นอย่างนั้น!!

ซึ่งขณะนี้ไม่สามารถที่จะเป็นอย่างนั้นได้ เพราะเหตุว่า สภาพธรรมะเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ กว่าจะเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง เห็นกี่สี เพราะว่า ดอกไม้แม้ดอกเดียวก็ไม่ได้มีสีเดียว ชมพูอ่อน ชมพูแก่ อยู่ในดอกไม้ดอกเดียวก็ได้ กว่าจะเป็นดอกไม้ขึ้นมาได้ ต้องแยกออกไปว่า แค่ "เห็น" ยังไม่ใช่ดอกไม้เลย เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ เห็นทันทีเป็นดอกไม้ หลายอย่างด้วย เป็นใบไม้ด้วย เป็นโต๊ะด้วย เป็นคนด้วย เป็นบ้านด้วย เป็นไฟฟ้าด้วย เป็นทุกอย่างหมด ทันทีเลย แสดงความรวดเร็ว สุดที่จะประมาณได้!!

ทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ในการคิดว่า ตัวเรา ความเป็นเรา จะไปขวนขวายให้รู้ยิ่งกว่านี้!! โดยการที่พยายามทำอย่างอื่น นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพราะรู้ว่า แต่ละคำของพระองค์ จะค่อยๆ โน้มไป!! ค่อยๆ น้อมไป!!! ที่จะ..ค่อยๆ ..รู้ความจริงว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ แต่กำลังนี้ยังไม่รู้เลย!!

สิ่งที่ปิดบังอยู่ คือ อวิชชา เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปิดบัง คือ ความไม่รู้ ต้องค่อยๆ ลดน้อยลง ด้วยความรู้!! เข้าใจเมื่อไหร่ เป็นวิชชา ละความไม่รู้คืออวิชชา อย่างอื่นไม่มีทางที่จะไปละอวิชชา ซึ่งกำลังปกปิดสิ่งซึ่งกำลังเป็นอย่างที่กล่าวได้เลย ไม่ใช่มีเราต้องไปคิดอย่างโน้นอย่างนี้อีกต่างหากเลย!! ฟังแล้วเข้าใจอย่างนี้ ก็เป็นปกติ แล้วก็ฟังต่อไป แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นปกติ!!!

จนกระทั่ง สภาพธรรมะสามารถที่จะปรากฏ เพราะปัญญาถึงการที่จะเห็นความจริงของสภาพธรรมะ ว่าเดี๋ยวนี้ ลักษณะใด ที่ "กำลังถึงเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ" เพราะเข้าใจจากการฟัง มิฉะนั้นแล้ว ถ้าไม่มีความเข้าใจจากการฟัง จะไปรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมะ ที่เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร?

คุณหมอวิภากร กราบขอบพระคุณค่ะ
ท่านอาจารย์ ทุกคนที่นั่งที่นี่ก็เป็นธรรมดา เป็นปกติ ไม่รู้ทั้งนั้น!!! ได้ยิน ได้ฟัง ทั้งนั้น!! ค่อยๆ เข้าใจทั้งนั้น!! ค่อยๆ รู้ว่า ไม่ใช่เราที่กำลังเข้าใจ ทุกอย่างต้องเป็นสภาพธรรม ซึ่งกว่าจะปรากฏว่าไม่ใช่เราได้ แต่ละหนึ่ง ก็ไม่ใช่เพียงแค่ฟังวันนี้!! ถึงชาตินี้ก็ตามแต่ เป็นคนที่ตรงอย่างยิ่ง!!

เพราะฉะนั้น ปัญญาสามารถที่จะรู้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ แม้แต่คำว่า ธรรมะ สิ่งที่มีจริง หลากหลายมาก เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ลองคิดถึงแต่ละหนึ่งสิคะ หนึ่งเกิดขึ้น และหนึ่งนั้นดับไป แต่มีปัจจัยที่จะให้แต่ละหนึ่งเกิด พร้อมกันทันทีมากมาย จนไม่รู้ว่า ขณะนี้ ไม่ได้ดับเลยสักอย่าง เหมือนไม่ได้ดับเลย คิดว่าอย่างนั้น!!

เพราะฉะนั้น ยังมีความเป็นเรา ยังมีความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งรวมกัน ปรากฏรูปร่างสัณฐาน ทางตา หลับตาเลยเดี๋ยวนี้ หายไปไหนหมด? นี่คือความจริงใช่ไหม? เพราะฉะนั้น สิ่งที่กระทบตา แล้ว "เห็น" เกิดขึ้นเห็น ต้องกำลังมี!! ไม่ใช่เรา!!

นี่ค่ะ ไม่ต้องไปหาวิธีอื่นเลย นอกจาก ฟังแล้วฟังอีก!! ค่อยๆ ฟังไป เพราะว่า ไม่มีใคร!! แต่ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โดยความจริง โดยละเอียดยิ่ง ก็คือว่า เมื่อไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร? เป็นธาตุรู้ กับสภาพธรรมะที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ไม่ว่าโลกไหน กี่โลก แสนโกฏจักรวาล ก็เป็นธรรมะที่ต่างกันเป็นสองประเภท คือ สภาพธรรมะอย่างหนึ่ง มี แต่ไม่สามารถจะรู้อะไร ต่อให้มีสักเท่าไหร่ ถ้าไม่มี "ธาตุรู้" ซึ่งเป็นสภาพธรรมะอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นรู้ สิ่งใดๆ ก็ไม่ปรากฏทั้งสิ้น!!

ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ มีความเห็นถูกต้องว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแปลงอะไรเลยทั้งสิ้น!! เปลี่ยนเมื่อไหร่ก็เป็นเรา ยิ่งเพิ่มเติมความยาก ที่พยายามที่จะเป็นตัวตน ที่จะไปรู้!! ก็ฟังแล้ว ทำไมแต่ละคำไม่มั่นคง ลงไปในจิตที่สะสมโดยไม่เปลี่ยนแปลง ว่า ธรรมะเป็นธรรมะ เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไป

แน่นอน เกิดแล้วต้องตาย เห็นชัด สุขแล้วก็ทุกข์ เห็นชัด ได้ลาภแล้วก็เสื่อมลาภ เห็นชัด สรรเสริญแล้วก็นินทา เห็นชัด ทุกสิ่งทุกอย่างไม่คงที่ แต่เผินมาก เพราะว่า เป็นเราทั้งหมด!! ใช่ไหม? ได้ลาภก็เราได้ ได้ยศก็เราได้ ได้สุขก็เราสุข ทุกข์ก็เราทุกข์ สรรเสริญก็เป็นเราได้รับคำสรรเสริญ นินทาก็เป็นเราได้รับคำนินทา เป็นเราไปหมด!! เพราะฉะนั้น ไม่ใช่คำที่ได้ฟังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่ยังไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ตรงทุกอย่างที่ได้ฟัง

เพราะฉะนั้น ก็มีทางเดียว สาวก ผู้ฟัง จะเป็นคนอื่นไหม? จะเป็นศาสดาไหม? จะ "คิดเอง" ไหม? ก็เป็นได้อย่างเดียวคือ "สาวก" แล้วไม่ได้ฟังคำของคนอื่นด้วย คำของของคนอื่นไม่ได้ทำให้เข้าใจเรื่องการ "ละความไม่รู้" แต่คำของคนอื่น มีการให้เป็นตัวตนที่พยายามจะไปทำให้รู้!!

เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ซึ่งต้องไตร่ตรอง ถ้าไม่มีการไตร่ตรอง ไม่มีการที่จะเข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย เพราะว่า แต่ละคำไม่เปลี่ยน ธรรมะ ใครเปลี่ยนได้? สิ่งที่มีจริง ไหนลองมีใครสักคนมาเปลี่ยนได้ไหม? แข็งก็ต้องเป็นแข็ง เสียงก็ต้องเป็นเสียง ใครจะเปลี่ยนได้ ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนได้เลย แล้วก็ไม่ใช่เรา ใช่ไหม? เพราะเสียงก็เป็นเสียง จะเป็นเราได้อย่างไร? แข็งก็เป็นแข็ง จะเป็นเราได้อย่างไร? เห็นก็เป็นเห็น เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป จะเป็นเราได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น ก็อาศัยการฟังอย่างเดียว สุตมยปัญญา ปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง!! ถ้าฟังยังไม่เข้าใจ ก็ฟังไปอีก ฟังไปอีก ฟังไปอีก หนทางเดียวก็คือว่า ไม่มีทางที่จะไปหาปัญญาโดยวิธีอื่น นอกจากการ ฟัง!!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณประสาร คุณรัชนีวรรณ บุญชู
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

.........



ความคิดเห็น 1    โดย เบญจขันธ์  วันที่ 28 พ.ย. 2560
ขอบพระคุณครับ. ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 23 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย chvj  วันที่ 25 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ