เรามานั่งฟังกัน แล้วก็ข้ามไปๆ แล้วก็ไม่รู้อะไร เรียนหมายความว่า ฟังแล้วเข้าใจ แล้วก็สามารถที่จะจำได้ ที่จะไตร่ตรอง ที่จะพิจารณา นั่นคือประโยชน์ของการฟัง ถ้าเราจะเรียนแบบชื่อที่เก็บไปเยอะๆ อยู่ในหนังสือบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง อย่างนั้นไม่มีประโยชน์เลย
ต้องเข้าใจสภาวรูป ๑๘ รูป แล้วจะรู้ว่าอีก ๑๐ รูปเป็นอสภาวรูปอย่างไร การเรียนไม่อยากจะให้เรามานั่งฟังกัน แล้วก็ข้ามไปๆ แล้วก็ไม่รู้อะไรไม่ต้องการแบบนั้นเลย เรียนหมายความว่า ฟังแล้วเข้าใจ แล้วก็สามารถที่จะจำได้ ที่จะไตร่ตรอง ที่จะพิจารณา นั่นคือประโยชน์ของการฟัง ถ้าเราจะเรียนแบบชื่อที่เก็บไปเยอะๆ อยู่ในหนังสือบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง อย่างนั้นไม่มีประโยชน์เลย
ถ้าจะถามเรื่องสภาวะรูป กับ อสภาวรูป ก็ต้องให้เข้าใจจริงๆ ว่าสภาวรูปเป็นรูปที่มีลักษณะเฉพาะของตนแต่ละรูป
ส่วนอสภาวรูป ไม่ใช่รูปที่มีลักษณะเฉพาะของตน เช่น ขณะเกิด รูปมีอายุ ๑๗ ขณะ ขณะแรกที่เกิดเป็นอุปจยรูป รูปทุกรูปจะมี ๔ คือ อุปจย สันตติ ชรตา อนิจจตา รูปเดียวแต่ว่ามีลักษณะของเขา สภาพของเขา ๔ คือ ขณะเกิด อุปจยรูป ไม่ใช่ขณะดับ ไม่ใช่ชรตารูปเลย เพราะว่าเขามีอายุ ๑๗ ขณะ และระหว่างที่หลังจากเกิดแล้ว ขณะที่สืบต่อก็ไม่ใช่ขณะแรก รูปที่เกิดขณะแรกไม่ใช่รูปเดียวสภาพเดียวกับขณะที่สืบต่อ ขณะนั้นน่ะคือ สันตติ ยังไม่ใช่อนิจจตา ยังไม่ใช่รูปที่ดับด้วย และก่อนที่รูปจะดับ ขณะนั้นก็เป็นรูปที่เสื่อมที่จะดับ ลักษณะของรูปที่จะดับ ต้องเสื่อม ขณะนั้นเป็นชรตา และขณะที่ดับขณะนั้นเป็นอนิจจตา
นี่คือรูปที่ไม่มีลักษณะเฉพาะของตนของตน เช่น ไม่มีรูปอุปจยรูปเกิดขึ้นลอยๆ ไม่มีสันตติเกิดขึ้นในลอยๆ ไม่มีชรตาลอยๆ ไม่มีอนิจจตาลอยๆ แต่เป็นลักษณะอาการของรูปที่เกิด เพราะว่ารูปมีอายุ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น ขณะที่หนึ่ง ขณะแรกที่เกิดเป็นอุปจย และขณะดับเป็นอนิจจตา ระหว่างที่สืบต่อยังไม่เสื่อมเป็นสันตติ และระหว่างที่เสื่อมก่อนดับนั้นคือชรตา นี่คือ อสภาวะรูป
ที่มา และ รับฟังเพิ่มเติม ...
สนทนาธรรม ตอนที่ 008