เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่
โดย tookta  30 พ.ย. 2557
หัวข้อหมายเลข 25848

วันนี้เราได้พาแม่ไปโรงพยาบาลตอนตี ๔ จนถีงตอนนี้เวลาจะเก้าโมงแล้ว เรายังไม่ได้กลับบ้านเลย ช่วงที่นั่งรอ ก็นึกถึงตอนที่เราไม่สบาย แม่ของเราก็คงจะต้องมาอดนอนแล้ว ก็เฝ้าดูอาการของเราด้วยความห่วงใย ทำให้เรารู้สึกรักแม่มากขิ้น นี่คือบุญคุณของแม่ อีกประการหนึ่ง



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 30 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มารดา และ บิดา เป็นผู้มีบุญคุณและมีอุปการะมาก เพราะเป็นผู้ให้กำเนิด แสดงโลกนี้กับบุตร คือ ชี้ให้เห็นให้รู้สิ่งต่างๆ เป็นอาจารย์ เป็นครูคนแรก เพราะสั่งสอนบุตรให้รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควรก่อนใคร เป็นผู้สมควรแก่การให้สิ่งต่างๆ เป็นเนื้อนาบุญของบุตรเพราะท่านมีบุญคุณมากตามที่กล่าวมา หากไม่มีท่านทั้งสอง บุตรจะเกิดมาได้อย่างไร หากไม่มีมารดา บิดา ก็ไม่มีโอกาสได้อบรมปัญญา เจริญกุศลได้เลยครับ

เมื่อท่านมีพระคุณมากอย่างนี้ การตอบแทนท่านทั้งสองจึงไม่ใช่ง่าย แม้จะให้ทรัพย์สมบัติทั้งจักรวาล มอบความเป็นใหญ่ แม้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ก็ไม่ชื่อว่าตอบแทนท่านเลย เพราะเพียงให้สมบัติที่ให้ความสุขในโลกนี้เท่านั้นครับ แต่การตอบแทนที่เป็นตอบแทนท่านจริงๆ คือ การให้ความเข้าใจพระธรรม ให้เกิดกุศลธรรม มีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เป็นต้น เป็นการตอบแทนจริงๆ เพราะให้ประโยชน์ในโลกนี้และประโยชน์ในโลกหน้า และเมื่อท่านมีความเข้าใจพระธรรม ท่านก็สามารถอบรมเจริญกุศล และอบรมปัญญาต่อไปจนถึงการดับกิเลสได้ในอนาคตครับ เปรียบเหมือนการที่ให้เราให้ปลากับชาวบ้านกับการสอนให้ชาวบ้านหาปลาด้วยการให้เบ็ดและสอนวิธีหาปลา ย่อมหาปลาได้เอง ไม่ใช่เพียงแต่รับแต่ไม่สามารถหาปลาได้อีกครับ เบ็ดก็เหมือนกุศลธรรมและปัญญาที่จะสามารถหาปลา คือ ทรัพย์สมบัติ และได้ปลา คือ กุศลธรรม และบรรลุ มรรค ผล ได้ในที่สุดครับ แต่พระธรรมไม่เป็นสาธารณะกับทุกคนและบิดามารดาของทุกคน แต่ผู้เป็นบุตรก็ทำหน้าที่เท่าที่ทำได้ ทั้งการช่วยเหลือกิจการงาน ให้เงินและทอง และเมื่อมีโอกาสก็แนะนำพระธรรมบ้างตามกาลเวลา โดยไมได้หวังว่าท่านจะสนใจหรือไม่อย่างไร เพราะได้ชื่่อว่าทำหน้าที่ของบุตรที่ดีที่สุดแล้ว

ดูก่อนบุตรคหบดี มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้า บุตรควรทะนุบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ

๑. ท่านได้เลี้ยงเรามาแล้ว เราจักเลี้ยงดูท่านเหล่านั้น

๒. เราจักทำกิจของท่าน

๓. เราจักดำรงวงศ์ตระกูลไว้

๔. เราจักปฏิบัติตนเป็นผู้รับมรดก

๕. เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปแล้ว เราจักเพิ่มทักษิณาทานให้

บุตรธิดาผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดานั้น บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญแล้ว ความกตัญญูนั้นเป็นคุณธรรมข้อหนึ่งที่ควรจะอบรมเจริญให้มีขึ้นถึงแม้ว่า บุตรธิดาจะยังไม่สามารถกระทำตอบแทนมารดาบิดาได้อย่างสูงที่สุดก็ตาม แต่การที่ได้รู้ว่า ท่านทั้งสองนั้นเป็นผู้ที่มีพระคุณเลี้ยงดูเรามา แล้วทำการเลี้ยงท่านเป็นการตอบแทน กระทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม อีกทั้งดำรงตนอยู่ในความถูกต้องดีงาม ย่อมเป็นสิ่งที่บุตรธิดาจะพึงกระทำ

ดังนั้น บุตรจึงควรระลึกถึงคุณของท่านที่มีมาก และทำการตอบแทนท่านในทุกๆ ทางตามกำลังความสามารถของบุตรที่มี ดังเช่นที่ท่านเลี้ยงเรามา วันแม่จึงไม่ใช่มีวันเดียว แต่วันใดก็ตามก็เป็นวันที่เราควรทำดีกับบิดามารดาของเรา เพราะท่านเป็นผู้มีพระคุณกับเรามากครับ

ข้อความในพระไตรปิฎกที่แสดงว่า การบูชาคุณ ตอบแทนพระคุณ บิดามารดา แท้จริงคืออย่างไร

ก็ถ้าบุตรวางมารดาไว้บนจะงอยบ่าขวา บิดาไว้บนจะงอยบ่าซ้าย ด้วยหมายจักทำตอบแทนแก่ท่าน พึงประคับประคองในอวัยวะทั้งปวง ทำการบำรุงท่าน ผู้ดำรงอยู่บนจะงอยบ่าทั้ง ๒ นั้นนั่นแล ด้วยกิจมีการอบกลิ่นเป็นต้น, แม้มารดาบิดานั้น พึงนั่งถ่ายปัสสาวะและอุจจาระบนจะงอยบ่าทั้ง ๒ ของบุตรนั้นแล, บุตรนั้น ถึงทำอยู่อย่างนั้นตลอด ๑๐๐ ปี ก็ไม่อาจทำตอบแทนแก่ท่านได้เลย. แม้ถ้าบุตรพึงสถาปนาบิดาไว้ในความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ มารดาไว้ในความเป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิไซร้, แม้อย่างนั้น ก็ไม่อาจทำตอบแทนได้เหมือนกัน.

ส่วนบุตรคนใด ยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในความถึงพร้อมด้วยศรัทธายังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่น ในความถึงพร้อมด้วยศีล ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ให้สมาทานตั้งมั่น ในความถึงพร้อมด้วยการให้ ยังมารดาบิดาผู้ทรามปัญญาให้สมาทานตั้งมั่นในความถึงพร้อมด้วยปัญญา

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้น ย่อมชื่อว่า อันบุตรนั้นทำแล้วและทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 30 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระคุณของมารดาบิดาที่ท่านได้กระทำต่อบุตรนั้นมีมากมายมหาศาล ยากที่จะพรรณนาให้หมดสิ้นได้ ท่านเป็นผู้ที่เอาใจใส่เลี้ยงดูบุตรให้เจริญเติบโตอย่างปลอดภัย โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ท่านเป็นผู้พร่ำสอนให้บุตรออกจากความชั่ว แล้วให้ตั้งอยู่ในความดี สอนให้รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ พร้อมทั้งให้ศึกษาศิลปวิทยา เพื่อให้บุตรมีความรู้ติดตัวอันจะเป็นบ่อเกิดแห่งการงานประการต่างๆ ซึ่งจะทำให้ชีวิตของบุตรดำเนินไปด้วยความไม่เดือดร้อนในภายภาคหน้า เป็นต้น เมื่อมารดาบิดาเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อบุตรมากมายมหาศาลอย่างนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่บุตรจะต้องมีความกตัญญูกตเวที ฃ

คือ รู้ถึงพระคุณที่มารดาบิดากระทำแก่ตนแล้วกระทำตอบแทนท่าน ทำการเลี้ยงดู ปรนนิบัติเอาใจใส่ดูแลท่าน ตลอดจนถึงกระทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม ย่อมเป็นสิ่งที่บุตรจะพึงกระทำทั้งนั้น จนกว่าจะเป็นผู้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา มีความเข้าใจถูกที่เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ เมื่อนั้นจึงจะเป็นผู้สามารถตอบแทนพระคุณของมารดาบิดาอย่างสูงสุด ด้วยการให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาศีล จาคะ และ ปัญญาได้ ก่อนอื่นที่สุดต้องเริ่มที่ตนเองก่อน จึงจะสามารถเกื้อกูลผู้อื่นให้เข้าใจตามความเป็นจริงได้ในโอกาสต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย sairung  วันที่ 30 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย tanrat  วันที่ 1 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

สาธุ


ความคิดเห็น 5    โดย ปวีร์  วันที่ 1 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย j.jim  วันที่ 1 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย napachant  วันที่ 1 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 1 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย วรรณวีร์  วันที่ 1 ธ.ค. 2557

กราบอนุโมทนา


ความคิดเห็น 10    โดย ประสาน  วันที่ 2 ธ.ค. 2557

การให้ทรัพย์ให้อาหารเป็นบุญของผู้ให้ ส่วนการให้ธัมมะเป็นบุญของผู้ให้และผู้รับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย kullawat  วันที่ 3 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 12    โดย chatchai.k  วันที่ 25 พ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ