ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศอินเดีย ตุลาคม ๒๕๕๔ ตอนที่ ๒
โดย วันชัย๒๕๐๔  11 พ.ย. 2554
หัวข้อหมายเลข 20009

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ คณะของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้เดินทางไปยังสถานที่ที่ในสมัยพุทธกาล คือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เป็นสถานที่ๆ สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตนสูตร อันเป็นพระธรรมเทศนาครั้งแรก แก่พระปัญจวัคคีย์ ทำให้ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม ซึ่งการแสดงธรรมในครั้งนี้ ทำให้เกิดพระรัตนตรัยขึ้นโดยสมบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ ๔๒๐

ธรรมจักกัปปวัตตนวรรคที่ ๒

๑. ปฐมตถาคตสูตร

ทรงแสดงพระธรรมจักร

[๑๖๖๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์ มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุดสองอย่างนี้ อันบรรพชิต ไม่ควรเสพ ส่วนสุดสองอย่างนั้นเป็นไฉน คือการประกอบตนให้ พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ การประกอบ ความลำบากแก่ตน เป็นทุกข์ ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุด ๒ อย่างเหล่านั้น อัน ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว กระทำจักษุ กระทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ก็ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลางนั้น เป็นไฉน คืออริยมรรคอัน ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ. ซึ่งได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งมั่นชอบ ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลางนี้แล อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว กระทำจักษุ กระทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.

[๑๖๗๑] ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่าน โกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล ล้วนมีความดับเป็นธรรมดา ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศ ธรรมจักรแล้ว พวกภุมมเทวดาได้ประกาศว่า นั่นธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆ ในโลก ประกาศไม่ได้ ... "

สำหรับผู้ที่มีศรัทธาในพระศาสนา ในพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ศึกษาพระธรรม ในหนทางที่ถูกต้อง ตรงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ การได้มีโอกาสเดินทางมากราบสักการะสังเวชนียสถานและสถานที่สำคัญอื่นๆ ย่อมเป็นกาละและโอกาสแสนวิเศษที่จะได้เจริญกุศลอันยิ่ง กุศลทุกประการย่อมเกิดขึ้นจากความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง รวมถึงปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกได้เจริญขึ้น ในสถานที่ที่เป็นดินแดนแห่งพุทธภูมิ ดินแดนที่ในอดีตสมัย

เมื่อครั้งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ในสถานที่ๆ เต็มไปด้วยรอยพระบาทและรอยเท้าของพระอัครสาวก พระอรหันต์และพระอริยบุคคลมากมายนับประมาณมิได้นี้ จะเลิศและวิเศษสักปานไหน สำหรับปุถุชนผู้มีโอกาสได้ดำเนินตามรอยพระบาท พระศาสดา เพื่อมีโอกาสสั่งสมกุศลทุกประการ ที่มีค่าหาประมาณมิได้ แม้ทรัพย์แลรัตนใดในโลก ก็อาจหาค่าเทียบเท่า พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะแลสังฆรัตนะ ที่จักเป็นที่พึ่งที่อาศัยอันแท้จริงของทุกบุคคลผู้ยังว่ายวนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรแห่งความทุกข์นี้ นั่นคือเหตุผลที่ว่า การได้มาประเทศอินเดียสำหรับผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรม กี่ครั้งๆ ก็ไม่เคยพอ เมื่อมีเหตุและปัจจัยให้ได้มา ย่อมไม่มีใครละทิ้งโอกาสนั้นไปได้

โดยส่วนตัวสำหรับข้าพเจ้าแล้ว การได้มีโอกาสมากราบสักการะสังเวชนียสถานที่อินเดีย พร้อมกับท่านอาจารย์ นอกจากจะเป็นความใฝ่ฝันแล้ว ยังเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ในชาตินี้ พร้อมๆ กับความเข้าใจพระธรรมและกุศลประการอื่นๆ ที่จะได้มีโอกาสเจริญขึ้น และสะสมไว้เป็นเสบียงอันจะเป็นที่พึ่งที่อาศัยอย่างแท้จริงสำหรับการเดินทางอันยากแค้นและแสนกันดารยิ่งในสังสารวัฏฏ์ และการได้มีโอกาสเดินทางไปพร้อมๆ กับกัลญาณมิตรที่แท้จริง เป็นความสุขแท้ที่หาได้แม้ในปัจจุบัน

เมื่อท่านอาจารย์เดินทางมาถึง ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความปีติของทุกคน ที่นอกจากจะได้มากราบสักการะสถานที่สำคัญอันเป็นเหตุให้กุศลธรรมต่างๆ เจริญขึ้นแล้ว การได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาด้วย ย่อมเป็นสิ่งที่มุ่งหวังสำหรับกัลญาณมิตรทุกท่าน ที่เดินทางมาแสนไกล เพื่อจะได้สดับพระธรรม อันจักเป็น ณ กาลครั้งหนึ่งที่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ณ สถานที่ๆ ทรงแสดงปฐมเทศนา เป็นสถานที่ๆ ทรงแสดง "ธรรมะ" ที่ได้ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรก แก่พระปัญจวัคคีย์ จนเป็นเหตุให้มีพระรัตนตรัยโดยสมบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก โดยก่อนการสนทนาธรรมจะมาถึง ทุกท่านได้พร้อมกันกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

หลังจากกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยเสร็จแล้ว ก่อนการสนทนาธรรมจะมีขึ้น ท่านอาจารย์ได้นำทุกท่าน เดินเวียนประทักษิณโดยสามรอบ ณ ธัมเมกขสถูปแห่งนี้ครับ

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

สถานที่ควรเห็นควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธา ๔ แห่งนี้ ๔ แห่งเป็นไฉน? พระตถาคตประสูติ ณ ที่นี้ พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ที่นี้ พระตถาคตทรงประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ณ ที่นี้ พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ณ ที่นี้

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาตเล่ม ๒ - หน้าที่ 315

สังเวชนียสูตร

ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ในโลกนี้หรือในโลกอื่น หรือรัตนะใดอันประณีตในสวรรค์ ทรัพย์และรัตนะนั้นเสมอด้วยพระตถาคตไม่มีเลย พุทธรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้

ข้อความบางตอนจาก ... รัตนสูตร

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ 2

เสร็จจากการเวียนประทักษิณแล้ว ทุกท่านได้กลับสู่ที่นั่งในสนามหญ้าที่ปูลาดไว้ เบื้องหน้าของทุกคนคือ ธัมเมกขสถูป ซึ่งตามประวัติสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งพระปฐมเทศนา และแด่ท่านผู้มีดวงตาเห็นธรรมท่านแรกคือ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ บัดนี้ ข้าพเจ้าจึงใคร่ขออนุญาติ นำความบางตอนที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาไว้ในวันนั้น มาถ่ายทอดให้ทุกๆ ท่าน ที่ไม่มีโอกาสไป ได้อ่านและพิจารณาร่วมกัน ดังนี้ครับ

อ.กุลวิไล ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านวิทยากร และท่านผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน ช่วงนี้นะคะ ก็เป็นโอกาสที่ดีของการสนทนาธรรมะ และโดยเฉพาะก็คือ เข้าใจธรรมะที่กำลังมีจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ช่วงนี้ถ้ามีท่านใดมีคำถาม หรือจะร่วมสนทนาด้วย ก็ขอเชิญนะคะ แต่ก่อนอื่น ดิฉันขอกราบเรียนท่านอาจารย์ ถึง ความเข้าใจธรรมะ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ค่ะ

ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า "ธรรมะ" นะคะ ไม่เผินเลยค่ะ คือเดี๋ยวนี้ คือสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ทุกคนจะไม่คิดถึงอย่างอื่นเลยในขณะที่อยู่ตรงนี้ นะคะ มีสิ่งที่ปรากฏแต่ว่าเราไม่สามารถที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรมะ แม้ว่าจะมีการเห็น การได้ยินมานานแสนนานในชีวิต แต่ก็ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงก็เป็นธรรมะนั่นเอง เพราะฉะนั้น ธรรมะไม่ใช่ขณะที่ยังไม่มาถึงที่เราสามารถที่จะไปรู้ได้ หรือธรรมะที่ผ่านไปแล้วอย่างเร็วที่สุดก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ค่ะ ปรากฏจริงๆ แสดงความเป็นธรรมะ ว่าเป็น "สิ่งหนึ่ง" ซึ่งมีจริงที่ปรากฏให้เห็น เพราะ "สิ่งนี้" มีจริง

เพราะฉะนั้น ก็เริ่มเข้าใจถูกนะคะ ว่า สิ่งที่มีจริงเนี่ยค่ะ เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ... เพียงอย่างหนึ่ง ...

ซึ่งตลอดชีวิต ก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะธรรมะเพียงอย่างเดียว แต่ขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏมีจริง เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เห็นก็มีจริง เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ณ บัดนี้เนี่ยค่ะ ก็เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า ธรรมะ มีอยู่ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมะทั้งหมด นะคะ

แต่เพราะไม่รู้ จึงต้องฟังจนกว่าจะมีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ว่าแต่ละหนึ่งขณะในชีวิตประจำวัน เป็นธรรมะ ซึ่งเกิดแล้วปรากฏ ตามเหตุ ตามปัจจัย ซึ่งไม่มีใครที่สามารถจะบังคับบัญชาได้ แต่ทำไมจึงไม่รู้ล่ะคะ? แม้จะได้ยินอย่างนี้

ก็เพราะเหตุว่า เราสะสมความไม่รู้มานานมาก แล้วธรรมะแสนสั้น เพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไปสืบต่อรวดเร็ว อุปมาประหนึ่งเหมือนลูกข่างซึ่งไม่มีใครเห็นการเคลื่อนไหวของลูกข่างเลย เหมือนกับว่าไม่ไปไหน อยู่กับที่ แต่ความจริงขณะนี้นะคะ "เสียง" ก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา "แข็ง" ก็ไม่ใช่ "เสียง"

เพราะฉะนั้น "แต่ละหนึ่ง" เนี่ยค่ะ เป็นธรรมะที่มีจริงซึ่งไม่มีใครสนใจที่จะเข้าใจนะคะ บางคนก็ฟังธรรมะ อ่านธรรมะ แต่ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ขณะนั้น กำลังเป็นธรรมะ หลากหลาย แต่ละอย่าง

เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังธรรมะแล้ว ก็รู้ว่า หน้าที่เดียว กิจของการที่จะเป็น "สาวก" คือผู้ฟัง ซึ่งมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ก็คือว่า สิ่งนี้กำลังปรากฏ นะคะ "ฟัง" เพื่อให้รู้ว่า "เป็นธรรมะ" การที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่สามารถที่จะเข้าใจได้โดยตลอดทั้งหมด ทันที แต่แม้เพียงคำเดียวที่ได้ฟังว่าธรรมะ ก็ข้ามไม่ได้ นะคะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ การฟังจนกระทั่งไม่ลืม จนกระทั่งเข้าใจ ก็สามารถที่จะ "รู้ลักษณะ" ที่เป็นธรรมะ ซึ่งรู้ยาก นะคะ

อย่าง "แข็ง" เนี่ย มีใครไม่รู้บ้างว่าแข็ง ทุกคนรู้ว่าแข็ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตเนี่ยค่ะ ตั้งแต่ขณะเกิด ถ้าไม่ใช่ธรรมะที่เกิด มี เพราะเหตุปัจจัย แล้วจะเป็นอะไร? แต่เพราะความไม่รู้ สะสมมานานมาก เพราะฉะนั้นก็เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะเหตุว่าขณะนี้ ผู้ที่ได้อบรมปัญญามาแล้ว เมื่อได้ยินได้ฟังคำว่า "สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้" ท่านสามารถที่จะรู้ความจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

เพราะฉะนั้น ปัญญาของผู้ที่สามารถที่จะละความไม่รู้ และความติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏ ก็ต้องต่างกับผู้ที่เริ่มต้นที่เพียงได้ยินคำว่า "ธรรมะ" ก็ลืมบ่อยๆ ขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมะ เพียงหลับตา ไม่ปรากฏ

(ภาพบนคือเจาคันธีสถูป สถานที่ๆ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพบพระปัญจวัคคีย์ครั้งแรกหลังจากทรงตรัสรู้)

เพราะฉะนั้น ความจริงของสิ่งที่มีจริงขณะนี้ก็คือว่า สิ่งนี้ สามารถกระทบจักขุปสาท ต้องมีตาที่สามารถกระทบกับรูป เป็น "ปัจจัย" ให้ "จิต" เกิดขึ้น "เห็น" ขณะนี้ค่ะ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้ง "ลักษณะ" ของสิ่งที่ปรากฏ นะคะ เพราะฉะนั้น "จิต" ในขณะนี้ ก็เกิดขึ้น "เห็น"

ทั้งหมดดับไปรวดเร็วมาก ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง เริ่มเห็นความห่างไกลมาก นะคะ ของผู้ที่ไม่รู้กับผู้ที่รู้แจ้งทุกอย่างโดยประการทั้งปวง โดยสิ้นเชิง ที่จะทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ก็เป็นเรื่องของ "สิ่งที่มีจริงๆ " ที่ปรากฏให้รู้ได้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

เท่านี้เองค่ะ "ชีวิต"

เกิดมาแล้ว ต้องเห็น แล้วก็คิดถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เช่น ขณะนี้นะคะ ทุกคนทราบว่า เห็นอะไร ทั้งๆ ที่ "เพียงเห็น" แต่ใจก็สามารถที่จะได้ยินได้ฟังนะคะ ณ กาลครั้งหนึ่ง สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมะ ณ ที่นี้ ให้พระปัญจวัคคีย์ได้ฟัง เห็นไม๊คะ? เพียงแต่เห็นเนี่ยค่ะ ใจของเราก็คิดถึงเรื่องราวในอดีต แล้วก็รู้ว่า ณ ที่นี้ คือที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลก ให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลส เช่นที่พระองค์ได้รู้แจ้ง เป็นการถึงความสมบูรณ์นะคะ ของการที่สะสมพระบารมี ที่จะอนุเคราะห์ ให้คนอื่นได้รู้ตาม ถ้าไม่มีใครรู้ตามเลย ใครจะรู้ถึงพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ต้องเป็นผู้ที่สะสมปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จึงสามารถที่จะเข้าใจพระธรรม "ทุกคำ" เป็นสัจจะวาจา เป็นวาจาสัจจะ คือ เป็นคำจริง ที่ส่องถึงสภาพธรรมะที่มีจริง เช่นขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ให้เห็นได้ เป็นวาจาสัจจะ เป็นความจริงนะคะ แล้วก็ไม่ใช่ "เสียง" เพราะว่า "เสียง" ไม่สามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้ แต่ "เสียง" ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยิน ให้รู้ว่าเสียงมี ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่งนะคะ ปรากฏต่อเมื่อมี "จิตได้ยิน"

นี่ก็คือ ทุกขณะ ในชีวิตค่ะ เกิด ดับ สืบต่อรวดเร็วมาก ต้องอาศัยการฟัง จนค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็ละคลายความติดข้องที่เคยยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ดับ แต่ว่า ถ้าไม่ดับแล้ว จะมีธรรมะปรากฏหลายๆ อย่างพร้อมกันได้อย่างไร? แต่เพราะเหตุว่า ธรรมะอย่างหนึ่งเกิดปรากฏแล้วดับไป แล้วธรรมะอื่นก็เกิดสืบต่อ ปรากฏแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วมาก สุดที่จะประมาณได้ จึงไม่ปรากฏว่า ธรรมะหนึ่งธรรมะใด เกิด ดับ เลย

เพราะฉะนั้น การสืบต่ออย่างรวดเร็วทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ โลก ก็ทำให้มีความยึดมั่น เพราะความไม่รู้ ในสิ่งที่แท้จริง ดับแล้ว แต่ก็มีสิ่งที่มีปัจจัย ทำให้เกิดปรากฏเหมือนเดิม ทำให้เข้าใจผิดคิดว่า ไม่ได้ดับไปเลย ทั้งๆ ที่สภาพธรรมะแต่ละขณะเนี่ยค่ะ แม้แต่เสียง เสียงที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่เสียงก่อน เสียงก่อนหายไปไหน? เกิดแล้วดับไป ไม่เหลือเลย แต่ก็ยังติดข้องนะคะ ยังจำได้ แล้วก็ยังคิดเป็นเรื่องราวของเสียงนั้น

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมก็คือ ได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริง และเห็นประโยชน์ของการที่เกิดมาแล้วเนี่ยค่ะ อยู่ด้วยความไม่รู้ เป็นเหตุให้เกิดความติดข้องทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็เวลาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็เกิดโทสะ กิเลสทั้งหลาย ก็นำมาเพราะ "ความไม่รู้"

แต่ถ้ารู้จริงๆ นะคะว่าทั้งหมดเนี่ยค่ะ เป็นสภาพธรรมะ เห็นก็เป็นธรรมะ โกรธก็เป็นธรรมะ สำคัญตนก็เป็นธรรมะ พยาบาทก็เป็นธรรมะ เมตตาก็เป็นธรรมะ แล้วจะเป็นของใครคะ?

เป็นแต่เพียงธรรมะหลากหลาย ซึ่งเกิดมาแล้วก็หมดไป แต่ว่าสะสมสืบต่ออยู่ในจิต ทำให้แต่ละคนเนี่ย แม้จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่สิ่งที่สะสมไว้ในโลกนี้ก็ติดตามไป ทำให้เป็นแต่ละบุคคล แต่ละอัธยาศัย แม้แต่รูปร่างกายนะคะ เป็นคนมีตา หู จมูก ลิ้น กายก็ไม่เหมือนกัน ตามความละเอียดของกรรมที่ได้กระทำแล้ว

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ก็เป็นเรื่องของความอดทน การเห็นประโยชน์ มีความเพียร แล้วก็ ตรงต่อความเป็นจริงคือ สัจจะ ว่า "ฟัง" เพื่อ "เข้าใจ"

เพราะฉะนั้น ถ้าฟังแล้วนะคะ ไม่เข้าใจ ฟังอีกค่ะ ทบทวน ไตร่ตรอง จนกระทั่งรู้ว่า คำที่ได้ยิน เป็น "วาจาสัจจะ" ซึ่งจะนำไปสู่ "ญาณสัจจะ" ความรู้ที่ถูกต้องจริงๆ ไม่ผิดไปจากพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ จนกระทั่งสามารถที่จะเป็น "มรรคสัจจะ" หนทางที่จะนำไปสู่ การอบรมปัญญายิ่งขึ้น จนกว่าสามารถที่จะละความไม่รู้ และความติดข้อง ซึ่งจะทำให้ เมื่อละแล้วนะคะ สภาพธรรมะจึงสามารถที่จะปรากฏ ตามความเป็นจริงว่า"แต่ละหนึ่ง"เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

แล้วจะเยื่อใย ในแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วดับไปและไม่กลับมาอีก ไม๊คะ? ถ้าประจักษ์จริงๆ ในทุกสิ่งค่ะ มีปัจจัยเกิด แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว แต่ละขณะย้อนกลับไปไม่ได้เลย มีแต่ปัจจัยจะเกิดขึ้นเป็นไป จนกว่าจะถึงวันที่จากโลกนี้ไป นะคะ

แต่ว่าลองทบทวนดูตั้งแต่เกิดจนกว่าจะจากโลกนี้ไปเนี่ย ความดีและความชั่วมีมากน้อยแค่ไหน? เพราะว่าเกิดมา ถ้าไม่เข้าใจธรรมะทั้งวัน ไม่รู้ทั้งวัน ติดข้องทั้งวัน ก็เป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งอกุศลอื่นด้วย แต่ว่าถ้าสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็ค่อยๆ เห็นว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่สะสมแล้ว จะเป็นเหตุ ให้เกิดกุศล ความดีงาม และสิ่งใด ถ้าสะสมต่อไปก็จะเป็นเหตุที่จะให้เกิดกรรมที่ไม่ดี และผลของกรรมก็ไม่ดีด้วย ก็เป็นเรื่องละเอียดนะคะ ฟังต่อไป ฟังต่อไป เพื่อละความไม่รู้ แล้วก็ เพื่อละการยึดถือ สภาพธรรมะ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

เพราะได้ยินคำว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่รู้จักว่า "ธรรมะ" คือ สภาพธรรมะที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ จะเป็นธรรมะทั้งหลายไม๊คะ? "คิด" ก็เป็นธรรมะ กำลังคิดอยู่ค่ะ "เห็น" ก็เป็นธรรมะ กำลังเห็นอยู่ "ได้ยิน" ก็เป็นธรรมะ กำลังได้ยินอยู่ นี่แค่ตัวอย่างนะคะ แต่ตามความจริง วันนี้เนี่ย จิตของใคร ตั้งแต่เช้ามาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง? ทั้งหมด ก็เป็นธรรมะ แต่ละลักษณะ

เพราะฉะนั้น เพียงได้ยินได้ฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ เป็นอนัตตา ข้ามไม่ได้เลย ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย ใครทำให้ "จิต" เกิดได้? ใครทำให้ "โลภะ" เกิดได้? ใครทำให้ "ความไม่รู้" เกิดได้? ใครทำให้ "ปัญญา" เกิดได้?

ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ นะคะ จะรู้ว่า ทุกอย่างที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงว่า "เกิด" เพราะเหตุปัจจัย ที่จะทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าไม่มีปัจจัย ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ก็จะเป็นอย่างนั้นไม่ได้เลยค่ะ

เพราะฉะนั้น ก็เป็นการที่ "เริ่มเข้าใจ" ตั้งแต่ "คำแรก" คำที่ทรงแสดงว่า ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง ไม่ใช่สิ่งที่ควรยินดี พอใจ เพลิดเพลิน อนัตตา ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครที่จะบันดาลให้เกิดขึ้น เป็นไปอย่างที่ต้องการได้

[๑๖๗๑] ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่าน โกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล ล้วนมีความดับเป็นธรรมดา ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศ ธรรมจักรแล้ว พวกภุมมเทวดาได้ประกาศว่า นั่นธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆ ในโลก ประกาศไม่ได้ ... "

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 11 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย และ ทุกๆ ท่าน ด้วยครับ


ความคิดเห็น 2    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 11 พ.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย ผิน  วันที่ 11 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย ธุลีพุทธบาท  วันที่ 11 พ.ย. 2554

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺสฺส ฯ (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น)

ขอกราบนมัสการอย่างสูงสุด แด่พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ

กราบแทบเท้า ท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนา ในกุศลจิตของพี่วันชัยและ ทุกๆ ท่าน ด้วยครับ


.ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย.


ความคิดเห็น 5    โดย เซจาน้อย  วันที่ 11 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย และ ทุกๆ ท่าน ด้วยครับ


ความคิดเห็น 6    โดย orawan.c  วันที่ 11 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย และ ทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย Charlie  วันที่ 11 พ.ย. 2554

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย Jesse  วันที่ 11 พ.ย. 2554

ขอขอบพระคุณที่นำภาพและบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มีประโยชน์มาให้ได้รับรู้รับฟัง ได้เข้าใจคำว่า"ธรรมะ" และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย๒๕๐๔ และทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย aditap  วันที่ 11 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย และ ทุกๆ ท่าน ด้วยครับ


ความคิดเห็น 10    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 11 พ.ย. 2554

"การได้มีโอกาสมากราบสักการะสังเวชนียสถานที่อินเดีย พร้อมกับท่านอาจารย์ นอกจากจะเป็นความใฝ่ฝันแล้ว ยังเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตในชาตินี้ พร้อมๆ กับความเข้า ใจพระธรรมและกุศลประการอื่นๆ ที่จะได้มีโอกาสเจริญขึ้น และสะสมไว้เป็นเสบียง อันจะ เป็นที่พึ่งที่อาศัยอย่างแท้จริง" ขอกราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่ง และขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ณ กาลครั้งนี้ และทุกๆ ท่าน ด้วยครับ


ความคิดเห็น 11    โดย pat_jesty  วันที่ 13 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย wittawat  วันที่ 14 พ.ย. 2554

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย delan  วันที่ 14 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 14    โดย pamali  วันที่ 14 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย jaturong  วันที่ 15 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 16    โดย เมตตา  วันที่ 15 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณวันชัย และครอบครัว และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 17    โดย pirmsombat  วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณและอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย และ ทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 18    โดย Graabphra  วันที่ 18 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 19    โดย Jans  วันที่ 20 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยคะ


ความคิดเห็น 20    โดย patchanee  วันที่ 9 ธ.ค. 2554

กราบเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพ ดิฉันได้ดูรายการบ้านธรรมะเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ ทีแรกไม่ชอบเลย พูดอะไรไม่ทราบใช้ภาษาบาลีที่ตัองคอยแปล ดูไปฟังไปก็มึนไป เห็นคนที่ถามอาจารย์เขาก็ถามรู้เรื่องแต่ทำไมเวลาอาจารย์ตอบบางทีก็รู้ บางทีก็ไม่เข้าใจโชคดีที่มีท่านอื่นช่วยขยายความ เลยเลิกดูไปพักหนึ่ง แต่เกิดอยากรู้คราวนีัดูทางเว็บไซด์ด้วยเห็นคนเขียนข้อความทำไมใช้ภาษาเพราะจังมึนอีกต้องค่อยๆ พิจารณาความ

ดิฉันจึงอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า การคิด พูด ทำในสิ่งที่ดี รักษาศิล ๕ และเดินตามมรรค ๘ อาจมีบกพร่องบ้างแต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด เพราะทุกสิ่งในโลกไม่ว่าจะมีกี่โลกก็ตามล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น ดิฉันทำแค่นี้พอไหมคะ ไม่ตัองไปมึนกับภาษาบาลียากๆ แค่ฟังพื้นฐานพระอภิธรรมเป็นครั้งคราวพอไหมคะ และถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปอยากขอความกรุณาอาจารย์เวลาบรรยายธรรมที่เป็นภาษาบาลีช่วยแปลเป็นไทยเลยได้ไหมคะ จะได้เข้าใจเลยไม่ต้องดูซ้ำอีกเผื่อว่าจะมีคนที่มีสติปัญญานัอยอย่างดิฉันและตัวดิฉันจะได้เขัาใจธรรมะได้เร็วขึ้น แต่ถ้าจะทำให้ท่านอาจารย์เหนื่อยมากก็ไม่ต้องก็ได้ค่ะ ถ้ามีคำใดที่ไม่สมควรกราบขออภัยมา ณ โอกาสนี้ดัวยนะคะ ขอขอบพระคุณค่ะ


ความคิดเห็น 21    โดย khampan.a  วันที่ 10 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรียนความคิดเห็นที่ ๒๐ ครับ เนื่องจากพระธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้งมาก ต้องอาศัยเหตุคือ การฟัง การศึกษา ด้วยความอดทนจริงๆ จึงจะเข้าใจ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ที่สำคัญคือ จะขาดการฟังไม่ได้เลยทีเดียว ตามปกติแล้วเวลาที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ สนทนาธรรมแต่ละครั้ง ท่านจะใช้ภาษาไทย มุ่งเน้นให้ผู้ฟังเข้าใจธรรมในภาษาของคนไทย คือ ภาษาไทย ถ้าจะมีการใช้คำภาษาบาลี ก็จะมีการแปล และอธิบายทุกครั้ง หรือถ้ามีท่านผู้ร่วมสนทนายกคำใดขึ้นมา ท่านอาจารย์ก็จะให้ผู้ฟังได้คิดพิจารณาว่า คำนั้น คือ อะไร ไม่ใช่ให้ผ่านไปง่ายๆ ก็เพื่อประโยชน์ของผู้ฟังเป็นสำคัญ จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง ขอเป็นกำลังใจให้คุณ patchanee ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมต่อไป โดยสามารถศึกษาได้ทั้งทางวิทยุในรายการ"แนวทางเจริญวิปัสสนา" ทั้งทางโทรทัศน์รายการบ้านธัมมะ และสามารถศึกษาค้นคว้าได้จากเว็ปไซต์ นี้ คือ เว็ปไซต์บ้านธัมมะ [www.dhammahome.com] อันเป็นเว็ปไซต์ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งมีท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นประธานมูลนิธิฯ ครับ ธรรม เป็นเรื่องยาก ถ้าไม่เริ่มฟัง ไม่เริ่มศึกษา ก็จะไม่มีทางเข้าใจ แต่ถ้าได้เริ่มฟัง ได้เริ่มศึกษา ด้วยความตั้งใจจริงๆ ไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจ คือต้องเข้าใจอย่างแน่นอน และที่ำสำคัญคือ เข้าใจธรรม ตามกำลังปัญญาของตนเอง แค่ไหนก็แค่นั้น เมื่อฟังต่อไป ศึกษาต่อไป ความเข้าใจก็จะยิ่งเพิ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น สภาพธรรมฝ่ายดี คือกุศลธรรม ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นคล้อยตามความเข้าใจ ขณะที่ได้ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก นั้น ก็ชื่อว่ากำลังดำเนินไปตามทางที่ถูกต้องแล้ว ขอให้ฟังต่อไป ศึกษาต่อไป ด้วยความอดทน นะครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


ความคิดเห็น 22    โดย raynu.p  วันที่ 12 ธ.ค. 2554

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 23    โดย yuda  วันที่ 10 ธ.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตค่ะ