ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
โดย วันชัย๒๕๐๔  27 ส.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 50801

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรรณพ หอมจันทร์ กรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณทักษพล เจียมวิจิตร กรรมการกฤษฎีกา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๒๑๘๗ และ คุณจริยา เจียมวิจิตร กรรมการกฤษฎีกา และที่ปรึกษามูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๒๑๘๖ เพื่อไปสนทนาธรรม ที่บ้านภายในสนามกอล์ฟรอยัลเจมส์ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๐๐ น.

คุณจริยา เจียมวิจิตร : กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง กราบท่านอาจารย์อรรณพค่ะ กราบขอบพระคุณในความเมตตา ของท่านอาจารย์และท่านอาจารย์อรรณพ ที่มาที่บ้านของเราในวันนี้

บ้านนี้เป็นบ้านของเราทุกคน ที่ตั้งใจที่จะมาเพื่อ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจ ทุกท่านที่มา ท่านใดมีคำถาม อย่าได้รีรอ กรุณามานั่งตรงข้างหน้า มีเก้าอี้อยู่ แต่ถ้ารู้สึกว่าไกล ก็ยกมือ แล้วก็จะได้ถาม ถามทุกคำถามที่ต้องการ ท่านอาจารย์มีคำตอบให้ทุกคำถาม กราบเท้าท่านอาจารย์ค่ะ

ข้อความบางตอนจากการสนทนา :

คุณทัศนีย์ : ที่อาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ว่า แม้ขั้นการฟัง เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ มีอะไร? หนูว่า มีตึง มีไหว แต่เราก็ยังรู้ไม่ได้ว่า มีตึง มีไหว

ท่านอาจารย์ : ค่ะ ใครไม่รู้!!

ผศ.อรรณพ : ก็มีข้อความในพระไตรปิฎก ใน มหาสติปัฏฐานสูตร ว่า แม้สุนัขบ้าน สุนัขป่า ก็รู้ว่าตัวเอง กำลังเดิน กำลังนั่ง กำลังนอน กำลังเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้น ใครไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังเคลื่อนไหว แต่การรู้อย่างนั้น กับ การรู้ตามความเป็นจริง ต่างกันอย่างไร?

คุณทัศนีย์ : แม้ว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ที่ท่านอาจารย์จะย้ำบ่อยๆ ว่า ที่หนูฟังก็แค่ขั้นฟัง ที่หนูจะได้ฟังบ่อย ท่านจะย้ำว่า เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ มีอะไร? แล้วหนูก็ไปพิจารณาว่า ทั้งที่มันมี แต่ทำไมปัญญาของเรายังรู้ไม่ได้ว่ามันมีตึง มีไหว ก็ยังคิดว่าเป็นเรา เป็นเราเดิน เป็นเรานั่ง อะไรอย่างนี้

ผศ.อรรณพ : ท่านอาจารย์ครับ ทำไม มีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว นี้ปรากฏอยู่ แต่ทำไมถึงไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น?

ท่านอาจารย์ : แล้วใครรู้?

ผศ.อรรณพ : ปัญญารู้

ท่านอาจารย์ : ชื่อ!!

ผศ.อรรณพ : สภวะของความเข้าใจถูก

ท่านอาจารย์ : แล้วมาจากไหน?

ผศ.อรรณพ : ก็มาจากความเข้าใจในการฟังคำของพระองค์ด้วยดี ท่านอาจารย์ครับ ก็เป็นตัวอย่างคำถามของคุณทัศนีย์ ปัญหาของคุณทัศนีย์ ก็เป็นปัญหาของหลายๆ ท่าน ที่ได้เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจ หรืออาจจะฟังมานานกว่านี้ ก็มักจะมีความคิดว่า ท่านอาจารย์ก็เน้นถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วเราก็รู้สึกคับข้องใจว่า ทำไมก็มีอยู่จริงๆ ตึงไหวอะไรก็มีอยู่จริงๆ แต่ทำไมไม่รู้!!

ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น คำตอบ คือ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่าอย่างไร? หนทางเดียว ที่จะเป็นคำตอบให้รู้!!

คุณทัศนีย์ : ฟังต่อไปค่ะ ของหนู

ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น ไม่ฟังคำอื่น!! ฟังแล้วไม่ใช่คำของเรามานั่งคิดต่อ แต่แม้แต่คำที่พระองค์ตรัส ยากที่จะรู้ได้ เพราะว่าลึกซึ้ง และต้องมั่นคง สิ่งที่มีจริง ให้ไม่มีได้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่ได้ค่ะ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น "แข็ง" มีจริง ใครทำให้ "แข็ง" เกิด ได้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์ : ถ้าไม่มีเหตุที่จะให้ "แข็ง" เกิด แข็งเกิดได้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์ : เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?

คุณทัศนีย์ : เป็นค่ะ

ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น เราจะไม่ฟังคำของคนอื่น แต่ "ฟังทุกคำ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง!! เพราะว่า ทุกคนพูดได้ สิ่งที่มีจริง มีจริง จบ!! ทุกคนพูดได้!! แล้วอะไรล่ะ? รู้ไหมว่า "สิ่งที่มีจริง" คือ อะไร? เพราะว่า "เรา" ทั้งนั้น!! ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชาติ!! ไม่ใช่ "เรา" ก็เป็น "เขา" เป็น "สิ่งนั้น สิ่งนี้" เป็น "อัตตา" เป็น "สิ่งหนึ่งสิ่งใด"

แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา" เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความหมายของ ธรรม-สิ่งที่มีจริง เปลี่ยนให้ไม่มี ไม่เกิด ได้ไหม? ไม่ให้เป็นอย่างนั้น ได้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น "เห็น" ให้เป็น "คิด" ได้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น "เห็น" เกิด จึงมีเห็น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี!! เกิดแล้วก็ดับ เป็น "เราเห็น" หรือเปล่า?

คุณทัศนีย์ : เป็นเราเห็นหรือเปล่า? ตอนนี้เป็นค่ะ

ท่านอาจารย์ : เพราะไม่เข้าใจคำว่า "ธรรม" สิ่งที่มีจริงคือ "เห็น" ไม่ใช่ "เรา" เห็นเป็นเห็น!! เริ่มรู้แล้ว เปลี่ยน "เห็น" ไม่ได้!! เพราะ เห็นเกิดแล้วดับ!! แต่ให้ "เห็น" ยั่งยืนต่อไปเพียงอย่างเดียว ไม่ได้!!

เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจคำ "ทีละคำ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความเกิด เป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไป เป็นธรรมดา!! เริ่มเข้าใจว่า เราคิดว่า เกิดมา แล้วก็อยู่ไป แล้วก็ตาย แต่ว่า เกิด ดับไหม?

คุณทัศนีย์ : ดับค่ะ

ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปคอยจนกระทั่ง ตลอดชีวิตแล้วไปตาย แม้แต่ "เห็น" หนึ่งขณะ นี่ก็ดับ!! เริ่มเป็นผู้ที่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี "ทีละเล็ก ทีละน้อย" ด้วย "ความเข้าใจที่มั่นคง"

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วทรงแสดง "ความจริง" แต่เรายังไม่ได้ตรัสรู้ แน่นอน!! แต่ว่า เราฟังจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว กล่าวความจริง ให้เราเข้าใจ ว่า "ความจริงคืออย่างนี้!!" และ "หนทางที่จะประจักษ์แจ้งความจริง" ที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แล้ว จึงทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้รู้ด้วย!!

เพราะฉะนั้น ฟังธรรมด้วยความเคารพ ไม่ใช่ "ชื่อ" แต่เป็น "ความจริง" พระคุณสูงสุด เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น!! ในสากลจักรวาล ทุกคำที่กล่าว พิสูจน์ได้ จริงหรือเปล่า แล้วรู้จริงได้ไหม? เพราะว่า "เห็น" เกิดจริงๆ "เห็น" ดับ จริงๆ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงประจักษ์ความจริงนี้ จะตรัสอย่างนี้ได้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์ : และ ทรงแสดง "หนทาง" ด้วย!! "สิ่งที่มีจริง" เกิด-ดับ ต้องรู้ความจริงได้!! แต่ ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้!!

เพราะฉะนั้น เริ่มฟังว่า ที่เข้าใจว่า "เป็นเรา" เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ มากมาย ความจริงแล้ว "เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง" ซึ่ง..ยาก ... ที่จะรู้ได้!!

เช่น "เห็น" ไม่ใช่ "คิด" ไม่ใช่ "จำ" ไม่ใช่ "ตา" ไม่ใช่ "สิ่งที่ปรากฏ" เราไม่เคยคิดเลย!! พอเห็นทีไร ก็ "เราเห็น" ตั้งแต่เกิดจนตาย จึงไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของ "เห็น" ซึ่ง ขณะเกิด มีเห็นไหม?

คุณทัศนีย์ : มีค่ะ

ท่านอาจารย์ : ขณะแรก ที่เกิด มีเห็นไหม?

คุณทัศนีย์ : ขณะแรกที่เกิด มีเห็นไหม? เห็น

ท่านอาจารย์ : ขณะแรก หนึ่งขณะที่เกิดขึ้น เห็นไหม?

ผศ.อรรณพ : เกิดมาในชาตินี้ หมายถึงว่า ขณะแรกของชาตินี้ ขณะแรก

ท่านอาจารย์ : ถ้าไม่เกิด จะมีเราตรงนี้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่มีค่ะ

ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น ถ้าเมื่อวานนี้ไม่มี จะมีวันนี้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่มีค่ะ

ท่านอาจารย์ : ถ้าไม่มีการเกิดขึ้น เป็นครั้งแรก จะมีสิ่งที่เราเรียกว่า เป็นเรา เป็นโน่น เป็นนี่ ไหม?

คุณทัศนีย์ : มีค่ะ

ท่านอาจารย์ : ไม่เกิดนะ

คุณทัศนีย์ : ไม่มีค่ะท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ : นี่ค่ะ แม้อย่างนี้ ยังต้องฟัง แม้อย่างนี้ ยังไม่ใช่เพียงตอบอย่างรวดเร็ว แม้อย่างนี้ ไม่ใช่เพียงคิดง่าย แล้วตอบไปเลย แต่ต้องไตร่ตรอง ความละเอียด ซึ่งเป็นความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้!!

เพราะฉะนั้น เราศึกษา ความจริง ของสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่มีใครรู้ความจริงนี้มาก่อนเลย จนกระทั่งมีผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริง "พุทธะ" ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อรู้ความจริงแล้ว ไม่เหลือความไม่รู้และกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น จึงมีคำว่า "ปรินิพพาน" หมายความว่า เมื่อตาย ไม่เกิดอีกเลย เพราะว่าความตายนี้ มี ๓ อย่าง "เห็น" เกิด "เห็น" ดับไหม?

คุณทัศนีย์ : ดับค่ะ

ท่านอาจารย์ : สิ่งที่เกิด ขณะเกิด ไม่ได้ตายใช่ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่ได้ตายค่ะ

ท่านอาจารย์ : เพราะเกิดมี มีแล้วก็ดับ อยู่ต่อไปไม่ได้ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เหมือนตายไหม?

คุณทัศนีย์ : เหมือนค่ะ

ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น จึงมี "ขณิกะ" ขณะหนึ่ง ขณะหนึ่ง ตายอยู่ตลอด ทันทีที่เกิดก็ตาย ทันทีที่เกิดก็ตาย (ขณิกมรณะ) เพราะว่า มีปัจจัยที่ทำให้เกิด แม้แต่คำเพียงเท่านี้ ก็ยังต้องไตร่ตรอง จนกว่าจะเห็นความลึกซึ้ง ที่จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ที่สะสมมานานแสนนาน เราไปเรียนวิชาการต่าง สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ปริญญา ทำอะไรได้สารพัดอย่าง แต่ไม่รู้ "ขณะนี้!!" ตามความเป็นจริง

เป็นความไม่รู้ความจริง ไม่ว่าจะศึกษาสิ่งใด ก็ตาม เพราะว่า ความจริงคือเดี๋ยวนี้ ที่กำลังปรากฏ!! แล้วหมดไป!!

เพราะฉะนั้น การฟัง ก็ต้องรู้ว่าเป็นประโยชน์ไหม อยู่ไปก็ต้องตาย แล้วก่อนตาย เป็นคนดีหรือเปล่า? และถ้าเป็นคนดี กับ คนไม่ดีนี่ แม้ยังไม่ตาย ต่างกันไหม? ความดีไม่ได้ทำให้เดือดร้อนเลย ไม่ทำให้เกิดทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น ปลดปล่อยความอยาก ความโกรธ ใดๆ ทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงทั้งหมด ถึงที่สุด ได้ตรัสรู้แล้ว จึงทรงพระนามว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพื่ออะไร? เพื่อฟังคำ ที่พระองค์ตรัสให้คนอื่นได้รู้ความจริงที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว และมีบุคคลที่ได้รู้ความจริงนั้น เพราะได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง ได้อบรม จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริง ที่พระองค์ได้ประจักษ์แจ้งด้วย

เพราะฉะนั้น บุคคลที่สามารถที่จะรู้ความจริงจนดับกิเลสได้ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรก ไม่มีใครเทียบได้เลย ไม่ว่าเทวดา พรหม ใดๆ ทั้งสิ้น และพระองค์ทรงแสดงความจริง ธรรม-สิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง เพราะเดี๋ยวนี้ "เห็น" เกิด-ดับ รู้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่รู้ค่ะ

ท่านอาจารย์ : แต่..เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจ จนรู้ได้!! น่าอัศจรรย์ไหม? ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ไหม? มาจากใคร ผู้ที่ตรัสรู้!! จึงมี พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง!!

เพราะฉะนั้น ทุกคน ที่มาสู่การสนทนาธรรม เพื่อรู้ความจริง!! เป็นที่พึ่ง!! ประเสริฐกว่าอยู่ไปแล้วก็ตาย แล้วก็ไม่รู้!! แล้วก็ติดข้อง แล้วก็วุ่นวาย สารพัดอย่าง ด้วยเหตุนี้ ต้องเริ่มรู้จักว่า คำจริงนั้น มาจากใคร จากผู้ที่ทรงตรัสรู้!!

เพราะฉะนั้น ศึกษาคำที่ได้ทรงแสดงไว้ ไม่ใช่คำของคนอื่น!! เพราะอะไร เพราะคนอื่นไม่ได้ตรัสรู้ความจริง!! อย่างที่พระองค์ตรัส เพราะฉะนั้น จะไปฟังใคร ที่ไหน อย่างไร เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ที่เรากำลังฟังเดี๋ยวนี้ เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?

คุณทัศนีย์ : เป็นค่ะ

ท่านอาจารย์ : รู้ได้อย่างไร?

คุณทัศนีย์ : ที่ท่านอาจารย์กล่าวมา ถ้าไม่ใช่คำจริง แล้วท่านอาจารย์จะเอามากล่าวให้หนูฟังได้อย่างไร

ท่านอาจารย์ : เพราะว่า คนฟังรู้ว่า สิ่งที่พูด ถูกต้อง!! เป็นความจริง!! จึงรู้ว่า ต้องมีผู้รู้!! แน่นอน!! เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้!! ถ้าเราไม่ฟัง ไม่มีทางจะรู้เลย!! ถ้าไปฟังคำของคนอื่น ไม่มีทางจะรู้!! แต่ คำใดที่ฟังแล้วรู้ มาจากผู้ที่ได้ตรัสรู้คำนั้น ความจริงนั้น

เพราะฉะนั้น จึงไตร่ตรอง ทุกคำ!! ธรรม-สิ่งที่มีจริง ไม่ได้ให้ไปคิดถึงสิ่งที่ไม่มี เพราะ ไม่มีแล้วไปคิดทำไม? จะมีประโยชน์อะไร แต่สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แหละ!! ความจริงคืออย่างไร? ยากมาก!! แต่เป็นความจริง!!

เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงในความเป็นจริงว่า "เห็น" เป็นอะไร?

คุณทัศนีย์ : เห็นเป็นเห็น ค่ะ

ท่านอาจารย์ : ถูกต้อง!! เห็นไหม แน่นอนที่สุด เห็นเป็นเห็น แล้วมี "สิ่งที่ถูกเห็น" ไหม?

คุณทัศนีย์ : มีค่ะ

ท่านอาจารย์ : "สิ่งที่ถูกเห็น" เป็น "เห็น" หรือเปล่า?

คุณทัศนีย์ : เป็นค่ะ สิ่งที่ถูกเห็นเป็นเห็น สิ่งที่ถูกเห็น เห็นเป็นเห็น แล้วสิ่งที่ถูกเห็น จะไม่เป็นเห็นได้อย่างไรคะท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ : เดี๋ยวก่อนนะคะ ใช้คำว่า "สิ่งที่ถูกเห็น" แสดงอยู่แล้วว่าไม่ใช่เห็น ใช่ไหม?

คุณทัศนีย์ : ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์ : เห็นไหม ต้องละเอียดแค่ไหน แม้เพียงคำเดียว!! ฟังมาแล้ว พอถึงคำตอบ ผิด!! แสดงว่าการไตร่ตรองของเรายังไม่ลึกซึ้ง ยังไม่มั่นคง ในแต่ละคำ!! ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคง ลึกซึ้งจริงๆ ไม่สามารถจะประจักษ์ความจริงได้!!

ต้องเป็นผู้ที่ตรง นี่ขั้นฟัง!! และต่อไปก็จะรู้ว่า ความจริงที่ผู้ได้ตรัสรู้แล้ว ได้ประจักษ์แจ้ง เป็น "อริยสัจธรรม" แต่กว่าจะเป็นถึง อริยะ-ประเสริฐที่สุด ที่สามารถรู้ความจริงนั้นได้ ก็ต้องอาศัยความเข้าใจขั้นฟังก่อน เป็นเบื้องต้น!!

การเรียนทุกอย่าง ไม่ใช่ไปรู้ตอนปลาย ตอนจบ แต่ถ้าไม่มีความรู้พื้นฐาน ทีละคำ จะถึงไหม?

เพราะฉะนั้น การฟังคำของพระพุทธเจ้า แต่ละคำ อย่าข้าม อย่าเผิน อย่าคิดว่าเข้าใจแล้ว เพราะว่าพระองค์ตรัสถึงสิ่งที่กำลังมี ทุกขณะ!! เช่น "เห็น" มีจริง กำลังเห็น ขณะที่ไม่เห็น เห็นมีจริงไหม?

คุณทัศนีย์ : ขณะที่ไม่เห็น เห็นมีจริงไหม ไม่มีนะคะ

ท่านอาจารย์ : ค่ะ เพราะขณะนั้น ไม่เห็น แต่สิ่งที่กำลังมี เช่น "ได้ยิน" มีจริง เพราะ กำลังได้ยิน ก็เริ่มรู้ว่า ทุกขณะในชีวิต เป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดมีไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่มีค่ะ

ท่านอาจารย์ : ใครทำให้เกิดได้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์ : แน่นอนไหม?

คุณทัศนีย์ : แน่นอนค่ะ

ท่านอาจารย์ : เดี๋ยวนี้ กำลังมีอะไร?

คุณทัศนีย์ : เดี๋ยวนี้ กำลังมี "เสียง"

ท่านอาจารย์ : ใครทำให้เสียงเกิด ได้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์ : แล้วเสียงเกิดได้อย่างไร?

คุณทัศนีย์ : เสียงเกิดเพราะธาตุรู้

ท่านอาจารย์ : เห็นไหม? แค่นี้ ความไม่รู้นี่ มากมาย มหาศาล เสียงเกิดขึ้นเพราะธาตุรู้ได้หรือ? เสียงเกิด ไม่ได้บอกว่าได้ยินเสียง แต่เสียงเกิดเพราะธาตุรู้ ได้หรือ? เห็นไหม? เพราะเราไม่ได้ฟัง เราก็คิดตามความไม่รู้ เสียงเกิดก่อนธาตุรู้คือได้ยิน แน่นอน แต่ไม่ได้ปรากฏ แต่ถ้าไม่เกิด จะกระทบ โสตปสาท-หู ได้ไหม?

คุณทัศนีย์ : ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น ต้องเกิดแล้วจึงกระทบ ใช่ไหม? จึงได้มีการได้ยินเกิดขึ้น นี่คือความลึกซึ้งของธรรม ผ่านไม่ได้เลย ทีละนิด ทีละหน่อย ไม่ใช่เพื่อหวังจะประจักษ์แจ้งความจริง ไปนั่งปฏิบัติ วิปัสสนา ทำโน่น ทำนี่ แล้วก็จะรู้แจ้งความจริง เป็นไปไม่ได้!! แน่นอน!! ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะหนทางที่พระองค์ทรงบำเพ็ญ นานแสนนาน เป็นบารมี กว่าจะค่อยๆ สะสม ละคลายกิเลส ซึ่งเกิดทั้งวัน ให้เหลือน้อยลง แล้วก็น้อยลงแค่ไหน คิดดู ประมาทได้ไหม?

เพราะฉะนั้น ความจริงเป็นสิ่งที่ต้องตรงตามความเป็นจริง ฟังเผิน ก็ตอบอย่างนี้ ใช่ไหม? แต่ถ้าให้คิดอีก ไตร่ตรองอีก ก็จะรู้ได้ว่า ได้ยิน ไม่ใช่เสียง และได้ยินไม่ได้ไปทำให้เสียงเกิด เสียงเกิดก่อน แล้วกระทบหู ได้ยินจึงจะเกิดขึ้น ใครรู้? ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ก็คิดอย่างที่ใครก็คิด ต่างคนก็ต่างคิดไป แต่จริงหรือ?


เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจความจริงที่มีทุกขณะในชีวิต ทุกชาติ ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็มีความเข้าใจที่มั่นคง ในความจริงว่า สิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ไม่มีใครไปทำให้เกิดได้เลย จึงไม่มีใครทั้งสิ้น!! แม้ "เห็น" ก็เกิดเพราะ "ปัจจัย" ถ้าไม่มีตา ไม่เห็น ถึงมีตา ไม่มีสิ่งที่กระทบตาได้มากระทบ เห็นก็เกิดไม่ได้

เริ่มเห็นความไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ละเอียดมาก ยิ่งรู้ ยิ่งเห็นความละเอียด ความเป็นจริงของแต่ละธรรมที่ละเอียด จึงเป็น "หนทางเดียว" ที่ค่อยๆ ละ ความไม่รู้ ที่คิดว่า เราเห็น เราได้ยิน เป็นเราทุกอย่าง!! ที่เป็นธาตุรู้

เพราะฉะนั้น คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่ไหน จากในสังสารวัฏที่มืดสนิท ไม่รู้เลย ถึงสว่างก็เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ซึ่งไม่ใช่เลย แต่ในความมืด ปัญญารู้ได้!! ตามความเป็นจริง ถึงจะมืดสักเท่าไหร่ แสงสว่าสว่างคือปัญญา เข้าใจความจริง ที่อยู่ในความมืด!! จริงไหม? ไม่ใช่เชื่อ!! ลึกซึ้งไหม? ต้องฟังอีกมากไหม? กว่าจะเข้าใจแต่ละหนึ่งในชีวิตมั่นคง

คุณทัศนีย์ : มากๆ เลยค่ะ แม้แต่คำที่ท่านอาจารย์พูดว่า ทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง ก็ยังยาก มากๆ เลยค่ะ

ท่านอาจารย์ : ถูกต้อง!! จึงเห็นพระคุณสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง!! เพราะฉะนั้น ทุกคนที่มาฟังธรรม มาสนทนาธรรม เพื่อมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพื่อมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง!! พึ่งอะไร?

คุณทัศนีย์ : เพื่อเข้าใจ

ท่านอาจารย์ : พึ่งเพื่อเข้าใจ!! เพื่อรู้ความจริง!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน


ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรมที่บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ครั้งที่ผ่านมาทั้งหมด ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๑
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๘
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๗
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖


ขอเชิญติดตามบันทึกการสนทนาในครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 27 ส.ค. 2568

บ้านนี้เป็นบ้านของเราทุกคน ที่ตั้งใจที่จะมาเพื่อ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจ ทุกท่านที่มา ท่านใดมีคำถาม อย่าได้รีรอ กรุณามานั่งตรงข้างหน้า มีเก้าอี้อยู่ แต่ถ้ารู้สึกว่าไกล ก็ยกมือ แล้วก็จะได้ถาม ถามทุกคำถามที่ต้องการ ท่านอาจารย์มีคำตอบให้ทุกคำถาม กราบเท้าท่านอาจารย์ค่ะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลจิตของคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ครับ


ความคิดเห็น 2    โดย Jarunee.A  วันที่ 28 ส.ค. 2568

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย swanjariya  วันที่ 30 ส.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง