ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๒
โดย khampan.a  7 ธ.ค. 2557
หัวข้อหมายเลข 25875

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๒

เรื่องของกิเลสมากมายมหาศาล เป็นเรื่องที่แต่ละคนก็จะต้องมีปัญญาของ ตัวเองที่จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ แล้วก็รู้ว่า กว่าจะอบรมเจริญปัญญาจริงๆ ที่จะรู้สภาพธรรม แล้วสามารถที่จะละคลายจนกระทั่งดับกิเลสได้นั้น นานมาก

วันนี้หรือหลายชั่วโมงผ่านไป กาลสมบัติหรือเปล่า ขณะที่ไม่ได้ฟัง พระธรรม? แต่ขณะที่กำลังฟังพระธรรม ให้ทราบว่า ขณะนี้เป็นขณะที่ถึง พร้อมแห่งกาลที่ได้ฟังพระธรรม เพราะโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ไม่ง่าย ถ้ามีธุระสำคัญนิดเดียว จะไม่ได้ฟังแล้ว ก็จะเป็นโอกาสของการฟังสิ่งอื่น

สภาพธรรม ไม่ใช่ตัวตนสัตว์ บุคคล สภาพธรรมแต่ละขณะเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยเท่านั้น เมื่อปราศจากเหตุปัจจัย จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ใครก็ตามที่มีความหวังดี และต้องการให้คนอื่นเจริญในทางที่ดี ในทาง ที่เป็นกุศล ก็เป็นกัลยาณมิตร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง ไม่เหลืออะไรไว้ให้ใครต้องไปหาทางคิดเองอีก

ท่านที่ให้ทาน ท่านหวังอะไร? ถ้ายังหวังที่จะเกิดในสวรรค์ หรือหวังผลของ ทานที่จะทำให้เป็นผู้ที่มีลาภ ยศ มีโภคสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ในขณะนั้นก็เป็นวัฏฏะ เป็นกุศลที่เป็นไปในวัฏฏะ แต่ว่าถ้าทำกุศล เจริญกุศลโดยที่ไม่ได้มุ่งหวังสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ก็ย่อมเป็นไปเพื่อการละคลายอกุศล

เวลาที่อาหารไม่อร่อย โกรธเกรี้ยว นี่แสดงให้เห็นถึงขณะนั้นไม่อดทน เพียงอาหารไม่อร่อย ยังไม่ได้เดือดร้อนยังไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย ยังไม่ได้มีทุกข์เรื่อง อื่นๆ เลย แต่แม้กระนั้นเพียงอาหารไม่อร่อย ก็ไม่อดทน โวยวาย บ่นว่า เอ็ดตะโร ลองเปรียบเทียบคิดดูว่า ถ้าเป็นผู้ที่อดทน อาหารไม่อร่อยก็เป็นเรื่อง แสนจะธรรมดา จะให้อาหารอร่อยได้อย่างไรทุกมื้อ บางมื้อก็อาจจะเป็น อาหารที่ไม่อร่อยก็ได้ ไม่ถูกปากคนนี้ แต่ก็อาจจะถูกปากคนนั้น แต่ถ้าตนเองรู้สึกว่า อาหารไม่อร่อยแล้วก็แก้ไขโดยดี มีกายวาจาที่ประกอบ ด้วยเมตตาปรุงใหม่ ช่วยกันเติมนิดนี่หน่อยให้รสชาติดีขึ้น ทุกคนก็สบายใจ คือ แทนที่จะบ่น โวยวาย เกรี้ยวกราด เวลาที่สติเกิดจะรู้ได้ว่า เพียงอดทนนิดเดียวจะทำให้ทุกอย่างดี และก็ทุกคนก็มีความสุข ไม่เดือดร้อน

เรื่องของกิเลสมีมาก และกิเลสเกิดขึ้นทำกิจการงานของกิเลส กิเลสจะทำ กิจการงานของกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าในสมัยไหนทั้งสิ้น กิเลสเกิดขึ้น ขณะใด ก็ทำกิจของกิเลสขณะนั้น

เป็นผู้ตรงว่า เมื่อทำความผิด ก็ผิด ไม่ใช่ว่าเมื่อทำความผิด แล้วก็ยัง กล่าวว่าไม่ได้ทำ หรือคิดว่าในขณะนั้นไม่ผิด ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ก็จะเป็นบุคคล ผู้มีหูชัน คือ หมายถึงการไม่รับรู้เหตุผลอะไรทั้งนั้น

ข้อความในกถาวัตถุ อรรถกถา อัจจันตนิยามกถา แสดงว่าผู้ที่ไม่รู้ว่าอกุศล เป็นอกุศล และเป็นผู้ที่ว่ายาก เป็นบุคคลผู้มีหูชัน เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ได้ ทราบความหมายของผู้ที่ว่ายากอีกความหมายหนึ่ง คือ ผู้มีหูชัน คือ ไม่รับ รู้เหตุผลอะไรทั้งนั้น

เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่งที่ได้ทรงแสดงเรื่องของอกุศลอย่างมาก อย่างละเอียด เพื่อที่จะให้แต่ละบุคคลได้พิจารณาเห็นโทษและละคลาย จนกว่าจะดับกิเลสเป็น สมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ได้จริงๆ

การฟังพระธรรมจะมากจะน้อย ก็เพื่อจะให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เข้าใจ นั่นคือผลของการฟัง และความเข้าใจนี้ก็เป็นขั้นเริ่มต้นของปัญญาที่จะค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะว่าที่จะเป็นปัญญาโดยที่ไม่เข้าใจ เป็นไปไม่ได้

ความเห็นชอบ เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ กุศลธรรมมิใช่น้อย ย่อมถึงความเจริญ บริบูรณ์ เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัย

ความไม่รู้ ทำให้ยึดถือ และอกุศลธรรมก็ตามมาอีกมากมายเพราะความไม่รู้

จะไม่ละเลยโอกาสของการทำดี แม้เพียงเล็กน้อย เพราะเห็นคุณของ ความดี

ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังคำไหน ก็ไม่พ้นไปจากธรรม เช่น เห็น ได้ยิน ศรัทธา

สติ ปัญญา เป็นต้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ

ถ้าไม่มีอดีตกุศลกรรมที่สะสมมาแล้ว ก็คงจะไม่ฟังธรรมทางสถานีวิทยุ หรือถ้าฟังแล้วก็อาจจะไม่สนใจ แต่สำหรับท่านที่มีการสะสมมาแล้ว พอฟังท่านก็สนใจทันที รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และสามารถที่จะฟังพิจารณา ศึกษาให้เข้าใจขึ้นได้

ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และทรงพร่ำสอนเป็นอันมาก ในพระไตรปิฎก ประโยชน์ก็คือ เพื่อที่จะให้เข้าใจจริงๆ ว่าชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูปซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น ทำกิจการงานต่างๆ เท่านั้น

อกุศลเจตสิกประการต่างๆ ไม่ได้เกิดที่อื่น แต่เกิดกับจิต ทำให้จิต เป็นอกุศล

คำสอนทั้งหมด จะประมวลลงที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน มีแต่ธรรม เท่านั้นจริงๆ

ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่สาวก ย่อมไม่รู้ต่อไปในทุกภพทุกชาติ

เกิดมาแล้วตายไป ไม่เปล่าประโยชน์ ถ้าได้เข้าใจพระธรรม

สิ่งที่ควรรู้อย่างยิ่ง คือ ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ

อีกไม่นานก็จะต้องละจากโลกนี้ไป ดีชั่วที่สะสมไว้เท่านั้นที่จะติดตามไป

ไม่มีใครได้ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

เพราะรู้คุณของพระธรรม จึงมีการฟัง มีการศึกษาให้เข้าใจ เพราะถ้าไม่รู้คุณ ไม่เห็นประโยชน์ ก็จะไม่ฟัง ไม่ศึกษาอย่างแน่นอน

ชีวิตประจำวัน เป็นเครื่องส่องให้เห็นว่า มีความเข้าใจพระธรรมมากน้อย แค่ไหน

ากที่เคยชั่ว แล้วเป็นดีได้ อะไรที่จะทำให้เป็นอย่างนี้ได้? ความเข้าใจพระธรรม

เมื่อความเข้าใจยังไม่เพียงพอ ก็จะต้องฟัง ต้องศึกษาพระธรรมต่อไป

โอกาสที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็สะสมสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ความเข้าใจพระธรรม.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๗๑

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 7 ธ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

@ การฟังธรรมทั้งหมดก็เพื่อความเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อเราพยายาม นั้นคือ ลืมว่าเป็น ธรรมที่ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็เป็นโมฆะทั้งหมด เพราะถูกลบล้างด้วยอวิชชาที่ถือมั่น โดยความเป็นเรา แต่ที่ถูกคือ เข้าใจยิ่งขึ้น จนกระทั่งคล้อยตามความจริง น้อมไปสู่ความ จริงว่า ทุกอย่างที่ปรากฏ แม้เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม

@ ผู้ที่เห็นคุณของพระธรรม ผู้มีโอกาสได้ฟังธรรมต้องเป็นผู้สะสมบุญมาในปางก่อน ศรัทธามากน้อยก็ตามที่ได้สะสมมา ซึ่งจะสะสมเพิ่มมากขึ้นในแต่ละภพแต่ละชาติได้ ก็ ด้วยการเข้าใจยิ่งๆ ขึ้น

@ ทุกคนลืมคิดถึงความตาย ต้องจากทรัพย์ทั้งหมดทุกประการ ไม่เหลืออะไรตามไป ด้วยเลย แม้แต่ร่างกายที่เคยยึดว่าเป็นเรา ฉะนั้นการได้เห็นความจริงของสภาพธรรมเป็น ประโยชน์เพื่อที่จะสามารถละคลายความติดข้อง ซึ่งนำมาซึ่งทุกข์เพราะอยากได้ในสิ่งที่ ปรากฏแล้วหมดไป

@ ต้นไม้แข็งใหญ่โต ภูเขาแข็งๆ โอนเอียงได้ยากฉันใด อวิชชาความไม่รู้ก็อย่างนั้นต้อง อาศัยปัญญา จึงสามารถค่อยๆ คล้อยตามความจริงถูกต้องยิ่งขึ้นที่จะเข้าใจถูกต้องใน ลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ขณะอื่น

@ ขณะที่กำลังรู้ว่าแข็ง แต่ไม่มีความเข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นกำลังรู้ลักษณะของธรรม เพียงแต่กล่าวตามได้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมและแข็งเป็นธรรม แต่กำลังกระทบแข็งที่ปรา- กฏจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องที่จะมีตัวตนไปสังเกตสำเหนียก แต่เป็นความเข้าใจที่ ถูกต้องยิ่งขึ้น เป็นปัญญาที่ต่างจากการหลงลืมสติ และไม่ว่าสติเกิดหรือไม่เกิด แข็งก็ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงลักษณะ แต่เป็นปัญญาความเข้าใจที่จะทราบความต่างว่าสติสัมปชัญญะรู้แข็ง หรือมีแต่แข็งปรากฏ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

@ สาระ คือ สิ่งที่เป็นแก่นสาร หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ ในบรรดาสิ่งที่เกิดดับทุกขณะมีทั้ง ที่เป็นประโยชน์ ประเสริฐ และสิ่งที่ตรงข้าม ได้แก่ ปัญญาและอวิชชา สิ่งที่ประเสริฐ คือ มรรคมีองค์ ๘ เพราะเป็นหนทางดับกิเลสได้ แม้ว่าเกิดดับ และสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็น ประโยชน์ก็มี เช่น ความติดข้อง พอใจ ไม่รู้

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย papon  วันที่ 7 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย ladawal  วันที่ 7 ธ.ค. 2557

ขอขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย paew_int  วันที่ 7 ธ.ค. 2557

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย จิตและเจตสิก  วันที่ 7 ธ.ค. 2557

_ขอขอบคุณ ฯ

_ขออนุโมทนา ฯ


ความคิดเห็น 6    โดย Boonyavee  วันที่ 7 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย thilda  วันที่ 7 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่นและอาจารย์ผเดิมค่ะ

เคยได้ฟังท่านอาจารย์สุจินต์กล่าว กระทบใจมากค่ะ เกี่ยวกับว่าชาติก่อนนี้ก็ไม่เคยมีเรา เป็นคนคนนี้ ชื่อนี้ แต่ชาตินี้ก็คิดว่ามีเราคนนี้ ติดข้องมากมาย พอชาติต่อไปก็ลืมเรื่อง ราวของชาตินี้ทั้งหมด ซึ่งที่จริงแล้ว ก็กลับไปเหมือนเดิมคือก่อนหน้านี้ที่ไม่มีเรานั่น แหละ (ไม่รู้จะติดข้องไปทำไม) แต่แม้จะลืมเรื่องราวทั้งหมดในแต่ละชาติ แต่ก็มีกิเลส สะสมติดข้องต่อไปในแต่ละชาติ ฟังแล้วสรุปออกมาให้ตัวเองได้แบบนี้ค่ะ

และดิฉันขออนุญาตแนะนำเพื่อนธรรมะที่เป็นผู้เริ่มศึกษาพระธรรมให้อ่านหนังสือ "พระ อภิธรรมในชีวิตประจำวัน" โดย คุณนีน่า วัน กอร์คอม จากนั้นต่อด้วยหนังสือ "ปรมัตถ ธรรมสังเขป จิตตสังเขป และภาคผนวก" โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ทั้งสอง เล่มนี้เป็นหนังสือของทางมูลนิธิฯ ขอรับได้ที่มูลนิธิฯ ค่ะ เนื่องจากตัวเองได้อ่านหรือเริ่ม อ่านสองเล่มนี้ ก่อนที่จะมา/ควบคู่ไปกับการฟังบรรยายจากท่านอาจารย์สุจินต์และคณะ วิทยากรที่มูลนิธิฯ รู้สึกว่าค่อนข้างมีความเข้าใจและตามทันในส่วนที่เป็นพื้นฐานต่างๆ ของพระอภิธรรม เช่น เรื่องจิตประเภทต่างๆ ลำดับของจิตต่างๆ ที่เกิดขึ้น วิถีจิต ฯลฯ เท่าที่ตัวเองเข้าใจในหนังสือค่ะ ทำให้สามารถติดตามการบรรยายได้ดีค่ะ

จึงขออนุญาตแนะนำเพื่อนธรรมะที่เป็นท่านใหม่ๆ ให้อ่านหนังสือสองเล่มที่ว่านี้ควบคู่ ไปกับการฟังบรรยายที่มูลนิธิฯ ค่ะ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย paderm  วันที่ 7 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย pulit  วันที่ 8 ธ.ค. 2557

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย อ.เผดิม ยี่สมบุญ และขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย siraya  วันที่ 8 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 8 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย j.jim  วันที่ 8 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย ใหญ่ราชบุรี  วันที่ 9 ธ.ค. 2557

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย orawan.c  วันที่ 9 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย wannee.s  วันที่ 9 ธ.ค. 2557

ฟังมากเข้าใจมาก ศรัทธาก็เพิ่มขึ้น วิริยะก็เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เราทำ ค่ะ


ความคิดเห็น 16    โดย jaturong  วันที่ 9 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 17    โดย เจียมจิต  วันที่ 19 พ.ค. 2562

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 18    โดย สิริพรรณ  วันที่ 19 ส.ค. 2562

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจากการย้ำแล้วย้ำอีกของท่านอาจารย์สุจินต์ ก็ไม่เข้าใจว่า ขณะนี้ ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีเรา
การฟังบ่อยๆ แล้วพิจารณาไตร่ตรองตาม เป็นประโยชน์ที่สุดในขั้นการฟัง สะสมไว้เป็นทรัพย์ที่นำไปสู่การได้ทรัพย์มหาศาลในวันหนึ่งค่ะ ด้วยความอดทนและเคารพพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกออกจากความไม่รู้และความเห็นผิด จึงทำให้หลงยึดติดข้องในสิ่งที่เป็นเพียงธรรมที่เกิดแล้วดับ ว่าเป็นเรา
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นอย่างสูง และอนุโมทนาขอบพระคุณวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และผู้เกื้อกูลความเข้าใจจากพระธรรม ทุกท่านด้วยค่ะ