ติดความดีแฟนเรา จนหลงรัก จะทำยังไงดี
โดย สองเรา  20 พ.ย. 2554
หัวข้อหมายเลข 20060

แฟนผมนิสัยดี เป็นคนพุทธ ทำบุญ และชอบช่วยเหลือคนอื่นจนผมติดจนเกิดหลง และยึดติดจนคิดถึง และหึง ด้วยอยากมีเราสองคนตลอดไป เหมือนบางคนติดอาจารย์ ศรัทธาในอาจารย์สอนธรรม แต่นั่นคือความรักที่บริสุทธิ์ไม่ใช่รักแบบหนุ่มสาวแต่ผมรัก แฟนแบบหนุ่มสาวจะแก้ยังไงดี เพราะไม่อยากจะให้เขาจากไปใหน จะไปสวรรค์ก็ไปเจอ กันด้วย



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 20 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

โลภะเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเจตสิก ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม โลภะ คือ สภาพธรรมที่ ติดข้อง ต้องการ ไม่สละ โลภะติดข้อง ได้ทุกอย่าง เว้นเพียงสภาพธรรมที่เป็นโลกุตตร ธรรม มีพระนิพพาน เป็นต้น ความจริงของชีวิต คือ จิต เจตสิกที่สะสมมานั้น สะสมอกุศล มามาก หาประมาณมิได้ นับไม่ได้ โดยเฉพาะ อกุศลธรรมที่เป็นโลภะ ที่เกิดขึ้นอย่าง รวดเร็วและบ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะสาเหตุที่สะสมมามากจนมีกำลัง เปรียบเหมือน ช่องว่างของรูป ที่มีมากมาย อากาศก็แทรกได้หมด กิเลส คือ โลภะก็สามารถเกิดแทรก ได้เหมือนกับช่องว่างของรูปที่อากาศแทรกได้ทั้งหมดครับ โลภะสามารถเกิดได้ในชีวิต ประจำวันอย่างรวดเร็วและบ่อยๆ ครับ ซึ่ง โลภะที่ติดข้อง ที่เกิดบ่อยๆ ในสิ่งใด สิ่งหนึ่งจน มีกำลัง ทางธรรมเรียกว่า อุปาทาน คือ ความยึดมั่น ยึดมั่น ด้วยอำนาจความติดข้องพอใจ เป็น กามุปาทาน เมื่อยึดมั่นด้วยอำนาจโลภะที่มีกำลัง ก็ไม่สามารถสละ ปล่อย จากสิ่งที่ติดข้องได้ เปรียบเหมือน ลิงที่ติดตั่ง มือทั้งสองก็ติด เท้าทั้งสองก็ติด ปากก็ติด ไม่สามารถสละในสิ่งที่ติดได้ ยึดมั่นด้วย กามุปาทาน ครับ

ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ถาม จึงเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรมที่ติด ข้องในสิ่งที่เกิดเวทนา ความสุขโสมนัส สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปฏิจจสมุปบาท ที่ว่า เวทนา เป็น ปัจจัยให้เกิด ตัณหา คือ เพราะอาศัย ความรู้สึกโสมนัส จึงทำติดข้อง ในความรู้สึกนั้น อยากได้ ไม่อยากเสียไป เพราะได้ความรู้สึกดี จากแฟนที่นิสัยดี ก็ทำ ให้ติดข้อง ในความรู้สึกนั้น จึงไม่อยากเสีย โสมนัสเวทนานั้นครับ ซึ่งในความเป้นจริง ก็ ไม่มีแฟน ไม่มีเรา มีแต่โสมนัสเวทนาที่เกิดขึ้นกับจิต และตัณหา หรือ โลภะที่เกิดขึ้นกับ จิต ก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น และโลภะที่ติดข้องในโสมนัสเวทนา ที่เกิดจากการได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ของตนเอง ที่สำคัญว่าเป็นแฟน เรา โลภะที่เกิดบ่อยๆ จากการเห็น ได้ยิน..ก็ทำให้มีกำลัง เป็นกามุปาทาน ไม่สามารถสละ

ได้เลยครับ


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 20 พ.ย. 2554

หนทางแก้ คือ เข้าใจ ในสิ่งที่เกิดแล้ว เพราะจะต้องรู้ว่า เรื่องของการละกิเลส เป็นเรื่อง ของปัญญาเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของการที่จะทำ โดยไม่มีปัญญา และการศึกษาพระธรรม ก็จะทำให้เป็นผู้ละเอียดว่า กิเลสที่มีมาก เช่น โลภะที่เกิดจนมีกำลัง จะต้องค่อยๆ ละ กิเลสเป็นลำดับ ซึ่ง พระพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางการละกิเลสที่ถูกต้อง ด้วยการให้ เข้าใจความจริงของสิ่งที่เกิดแล้วก่อนครับว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การละกิเลสต้องละเป็นลำดับ กิเลสที่ต้องละก่อนคือ ความเห็นผิดที่ ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นแฟนเรา เป็นเราสองคน ละความยึดถือว่ามี เรา มีสัตว์ บุคคลนั่นเองครับ ซึ่งหากไม่ละกิเลส คือ ความสำคัญผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล ก่อนแล้ว ก็ไม่สามารถละ ความติดข้อง ในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ สามารถละ ความยึดมั่น ที่เป็นกามุปาทาน หนทางที่ถูกคือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไปเรื่อยๆ และให้เข้าใจว่า ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะละ ความยินดี ติดข้องที่มีกำลังที่เป็น กามุปาทานได้เลย แต่ต้องค่อยๆ อบรมปัญญา จาการฟังพระธรรมไปทีละน้อย ปัญญาที่ เจริญขึ้น จะค่อยๆ เห็นถูกในความจริงของสภาพธรรมทีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจิตที่คิดนึกถึง แฟนและความติดข้องในสิ่งต่างๆ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่แฟนเรา เป็นแต่เพียงธรรม

นางวิสาขา เป็นพระโสดาบัน แต่เมื่อหลานท่านเสียชีวิต ท่านก็ร้องไห้ เสียใจเป็นอันมาก ให้เห็นถึงกำลังของกิเลสทีเป็น กามุปาทาน ที่ยึดมั่น ติดข้องในสิ่งต่างๆ ครับ หนทางเดียว คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ ดีกว่า ไปในหนทางที่ผิด แต่ไม่สามารถละกิเลส เหล่านี้ได้ในอนาคตครับ

ทุกคนยังมีกิเลส และยังต้องอยู่ร่วมกันในสังสารวัฏฏ์ ยังมีความยินดี ติดข้องต้องการ มี ครอบครัว เป็นสามี ภรรยาและเป็นญาติกัน ต้องเกี่ยวข้องกัน ที่สำคัญ เมื่อต้องอยู่ร่วมกัน แล้ว และก็มีอกุศลคือ ติดข้องเกิดขึ้น แต่ในทางธรรม ที่เป็นปัจจัย เพราะอาศัย โลภะ หรือ อกุศล เป็นปัจจัยให้เกิด กุศลได้ครับ ดังนั้น เมื่อเป็นแฟนกันตามสมมติชาวโลก ก็ ควรเป็นผู้ทำกุศลด้วยกัน ชักชวนกันไปในทางที่ดี มีการเจริญกุศลประการต่างๆ ทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล และชักชวน สนทนากันในเรื่องของธรรม อันเป็นการศึกษาพระธรรม ร่วมกัน ก็เป็นการเกื้อกูลกันทั้งสองฝ่ายครับ

โลภะมีกันทั้งนั้นครับ แต่อาศัยโลภะ เป็นปัจจัยให้ทำกุศล ก็เป็นชีวิตคู่ที่ประเสริฐครับ แทนที่จะละ ก็ไม่ต้องละกิเลสเพราะละไม่ได้ ด้วยความเป็นเราที่จะละ แต่ค่อยๆ ศึกษา พระธรรม และใช้ชีวิตร่วมกันในการทำกุศลกันบ่อยๆ ครับ ปัญญาที่เจริญขึ้นและกุศลที่ เจริญขึ้นจะค่อยๆ ละ สละขัดเกลากิเลสไปเองทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว เหมือนด้ามมีดที่สึก ไปทีละน้อย จากการจับแต่ละครั้ง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสึกไปทีละน้อยครับ ขออนุโมทนา ที่ร่วมสนทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 20 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นความจริง เป็นสิ่งที่มีจริง เตือนให้ได้เข้าใจความจริงในชีวิตประจำวันทุกประการ เพราะชีวิตประจำวันเป็นธรรม แม้แต่โลภะ ก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นความติดข้อง ยินดีพอใจ ซึ่งเป็นกุศลธรรมประการหนึ่ง ไม่ว่าจะติดข้องในอะไร หรือเกิดกับใคร ก็เป็นโลภะ ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่นไปได้ การชื่นชมยินดีในกุศลของผู้อื่น เป็นความดี แต่ถ้าเป็นความติดข้อง แล้ว ไม่ดีเลยเพราะความติดข้องเป็นอกุศลธรรม อกุศลธรรม จะเป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้เลย, จะเห็นได้จริงๆ ว่า สิ่งที่จะเป็นที่ตั้งของความติดข้องนั้นมีมากจริงๆ สำหรับบุคคลผู้ที่ฟังพระธรรม มีความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะเห็นความลึกซึ้ง เห็นความเหนียวแน่นของความยินดีพอใจ ซึ่งมีในทุกๆ วันทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทางใจ โดยที่ไม่ได้มีเฉพาะเพียงในวันนี้ในชาตินี้เท่านั้น ชาติก่อนๆ ที่ผ่านๆ มา ก็เป็นอย่างนี้ เพราะยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมดได้อย่างหมดสิ้น กิเลสก็ย่อมจะเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามการสะสมของแต่ละบุคคล โลภะในวันนี้จะมาจากไหน ถ้าไม่เคยได้สะสมโลภะมาเลย นี้แหละคือความเหนียวแน่นของอกุศลที่ได้สะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เฉพาะติดข้องในแฟนเท่านั้น มีมากกว่านี้เยอะมาก จึงแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า โลภะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เพิ่มขึ้นจากภพหนึ่ง ชาติหนึ่งเรื่อยๆ ดังนั้น ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้หมดสิ้นอย่างเด็ดขาดจริงๆ ตามลำดับขั้น โลภะไม่มีทางที่จะหมดไปได้เลย กิเลสทั้งหลายทั้งปวง จะถูกดับได้ด้วยปัญญา เท่านั้น แล้วปัญญาจะมาจากไหน ถ้าหากว่าไม่มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ

แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง ในภพนี้ชาตินี้ ในที่สุดแล้วทุกคนก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น ผู้ที่เป็นภรรยาก็จะต้องทอดทิ้งสามี ผู้ที่เป็นสามีก็จะต้องทอดทิ้งภรรยา ด้วยความตายที่เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วอะไรจึงจะเป็นที่พึ่ง เป็นสิ่งที่ประเสริฐสำหรับชีวิตที่เล็กน้อยและสั้นอย่างนี้ นอกจากกุศลและปัญญาที่ได้อบรมเจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน จึงควรอย่างยิ่งที่จะไ้ด้ฟังพระธรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ข้ดเกลากิเลสของตนเอง ต่อไป ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 4    โดย bsomsuda  วันที่ 20 พ.ย. 2554

"...กิเลสที่ต้องละก่อน คือ ความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นแฟนเรา เป็นเราสองคน ละความยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคลนั่นเองครับ...

ค่อยๆ ศึกษาพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้นและกุศลที่เจริญขึ้น จะค่อยๆ ละ สละขัดเกลากิเลสไปเองทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว..."

"ในที่สุดแล้ว ทุกคนก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อะไรจึงจะเป็นที่พึ่ง เป็นสิ่งที่ประเสริฐสำหรับชีวิตที่เล็กน้อยและสั้นอย่างนี้ นอกจากกุศลและปัญญาที่ได้อบรมเจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณผเดิม อ.คำปั่น และทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 20 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย orawan.c  วันที่ 21 พ.ย. 2554
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 7    โดย wannee.s  วันที่ 21 พ.ย. 2554

พระพุทธเจ้าทรงให้พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความแก่ไปได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ เรามีความ ตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ เราจะต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ ไปเป็นธรรมดา ไม่สามารถล่วงพ้นไปได้ ฯลฯ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ไม่ประมาท เวลาประสบกับสิ่งเหล่านี้ จะได้ไม่เสียใจมาก และ ไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลายค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย สองเรา  วันที่ 21 พ.ย. 2554

แต่เทวดาไม่มีความแก่ และการอยู่ด้วยกันมีเวลานานกว่าโลกมากมายเลยถ้าทำบุญดีด้วย กัน อยู่ให้พอสุขอิ่มแล้ว เราค่อยเลื่อนไปสู่การปฎิบัติธรรมบนสวรรค์ แล้วบรรลุบนนั้น แบบนี้ ได้ไหมครับ ตอนนี้รู้สึกอยากอยู่กับแฟนไปสักพักก่อน ครับ แล้วถ้าเราทำบุญ เรียนความรู้ และเจริญสติเนืองๆ ไม่ให้พลาดทำไม่ดี แล้วไปอยู่บนสวรรค์กับแฟน เมื่ออิ่มเอิบใจพอแล้ว ก็ค่อยชวนกันปฎิบัติธรรมไปด้วยกัน แบบนี้ไม่ได้เหรอครับ


ความคิดเห็น 9    โดย paderm  วันที่ 21 พ.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 8 ครับ

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ครับ ถ้าเลือกได้ตามที่ท่านผู้ถามกล่าวมา ทุกคนก็คงจะพบแต่ความสุข พบแต่สิ่งที่ดีๆ ตลอด เพราะใจคิดอย่างไร ก็เป็นไปตามนั้น เสมอ ซึ่งความจริงไม่เป็นเช่นนั้นเลยครับ และที่สำคัญ ในชีวิตที่เกิดมาในสังสารวัฏฏ์ คง ไม่ใช่ทำแต่ความดีเท่านั้น อกุศลกรรมก็ทำไว้มาก มากกว่า กุศลกรรมมากด้วยครับ และ ก็ยังเป็นปุถุชน ยังไม่ใช่พระโสดาบันที่จะพ้นจากอบายภูมิแล้ว เมื่อทำอกุศลกรรมมามาก เมื่อ อกุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้ไปอบาย มีนรก เป็นต้น ใครจะห้ามไม่ให้ไปก็ไมไ่ด้ แม้ ตัวอย่างของผู้ที่สะสมปัญญามามากในอดีต บางชาติท่านก็ต้อไปนรก และเราก็ต้อไปเช่น กัน เพราะทำอกุศลกรรมมามากครับ กรรมให้ผลก็ต้องไปนรก ถึงคราวนั้น หากแฟนไปนรก เราก็คงไม่อยากไปนรก และแต่ละคนก็ต่างมีกรรม เป็นของๆ ตน ไม่เหมือนกันเลย เพราะ ฉะนั้น จึงไม่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ให้เกิดร่วมกันอีก หรือ จะให้ชาติหน้าไป สวรรค์ก็ ไม่ไ่ด้อีกเช่นกัน เพราะเป็นอนัตตาครับ และหากคิดจะค่อยๆ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม หากชาติหน้าไปอบายก็ไม่ได้ศึกษา และหลังจากนั้น อยากจะฟังก็ไมไ่ด้ฟังเพราะพระ ศาสนาอันตรธาน หรือไปเกิดในภพภูมิที่ฟังธรรมไม่รู้เรื่องก็ได้ครับ

ที่พึ่งที่แท้จริง คือ กุศลธรรมของตนและความเข้าใจพระธรรม ส่วนคนอื่น ไม่ใช่ที่พึ่งที่ แท้จริงและต่างคนก็ต่างต้องไปตามกรรมของแต่ละคนครับ อย่าประมาทในชีวิตที่เหลือ น้อย และได้พบพระศาสนาครับ

ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ก็ย่อมเศร้าโศก หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้ เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต

เล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๕๔


ความคิดเห็น 10    โดย Zeta  วันที่ 21 พ.ย. 2554

เป็นธรรมะค่ะ

ไม่ใช่เรา


ความคิดเห็น 11    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 21 พ.ย. 2554

ธรรมะเป็นอนัตตาไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของใครเป็นไปตามเหตุปัจจัย เหตุอกุศลให้ผลเป็นอกุศลธรรม เหตุเป็นกุศลให้ผลเป็นกุศลธรรม ติดข้อง หึงเป็นอกุศลเป็นเหตุไม่ดี.ผลต้องไม่ดีตามเหตุ ติดข้องมากทุกข์มาก หึงเป็นโทสะเป็นความทุกข์ปัญญาเท่านั้นที่ดับกิเลสดับได้มากน้อยตามลำดับของปัญญา ที่เริ่มต้นด้วยการฟัง ศึกษาธรรมะให้เข้าใจ

ความโศกก็ดี ความร่ำไรก็ดี ความทุกข์ก็ดี มากมายหลายอย่างนี้มีอยู่ในโลก เพราะอาศัยสัตว์ หรือสังขารอันเป็นที่รัก เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอัน เป็นที่รัก ความโศก ความร่ำไร และความทุกข์ เหล่านี้ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้นแล ผู้ใดไม่มีสัตว์ หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ ผู้นั้นเป็นผู้มี ความสุข ปราศจากความโศก เพราะเหตุนั้น ผู้ ปรารถนาความไม่โศก อันปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่ พึงทำสัตว์หรือสังขารให้เป็นที่รัก ในโลกไหนๆ

เชิญคลิกอ่าน.....

ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีทุกข์ [วิสาขาสูตรที่ ๘]


พ. ตรัสสั่งสอนว่า ท่านคฤหบดีและท่านคฤหปตานี ถ้าภริยาสามีหวัง ที่จะได้พบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้าไซร้ ทั้งคู่พึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกันเถิด ก็จะได้พบกัน ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า.

ภริยาสามีหวังที่จะได้พบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า [ปฐมสมชีวิตสูตร]

ขออนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 12    โดย เซจาน้อย  วันที่ 21 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย nong  วันที่ 22 พ.ย. 2554

ขออนุโมทนาในคำตอบของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย edu  วันที่ 17 มิ.ย. 2555

ขอบคุณครับ และขออนุโมทนาครับ...


ความคิดเห็น 15    โดย chatchai.k  วันที่ 6 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ