ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๙
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแล้วๆ เล่าๆ ถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จนกว่าผู้นั้นจะเกิดปัญญา ทรงมีพระมหากรุณาอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงสิ้นเชิง เพื่อเขาจะเข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจแล้วเขาก็เป็นผู้ที่ปลอดโปร่งจากการหลงผิด เพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่แท้จริงที่จะทำให้เกิดความทุกข์ ถ้ายังมีเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์แล้วไม่รู้ ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ต่อไป
~ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสที่จะทำความดีทุกอย่างทุกประการที่สามารถจะกระทำได้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ควรทำ เพราะเหตุว่า ถ้าขณะนั้น ไม่ใช่จิตที่ดี ก็เป็นอกุศลจิต แม้เพียงเป็นกุศลจิต นิดเดียว ต่อไปจะเห็นค่าของหนึ่งขณะที่เป็นกุศล หรือแม้แต่การฟังธรรมแล้วเข้าใจแต่ละคำ แม้คำเดียว ก็มีค่า ที่จะทำให้เข้าใจคำอื่นต่อไปๆ
~ ถ้าให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เป็นประโยชน์ไหม? ตัวเองจะเป็นอย่างไร ใครจะรัก จะชังไม่สำคัญเลยทั้งสิ้น พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่จะต้องดำรงไว้ เพื่ออนุเคราะห์คนอื่น ตามพุทธประสงค์ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีทำให้เราเข้าใจและคนอื่นที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ด้วย
~ สำหรับทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลงแม้ยังไม่จากโลกนี้ ได้ จึงควรที่จะพิจารณาว่า ถึงอนาคตชาติก็ต้องเป็นอย่างนี้อีก คือ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะเป็นสมบัติอันแท้จริง เป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไป เพราะฉะนั้น มี ก็เหมือนไม่มี เป็นสิ่งที่ว่างเปล่าจริงๆ เพราะเมื่อดับไปแล้ว สิ่งนั้นไม่ได้กลับมาอีก
~ พิจารณาอย่างแยบคาย ก็ย่อมเห็นคุณของกุศลธรรมและเห็นโทษของอกุศลธรรม ซึ่งจะทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยการละอกุศลและเจริญกุศลยิ่งขึ้น และย่อมจะเป็นไปทั้งในชาตินี้ และต่อๆ ไปในชาติหน้าด้วย ถ้าเริ่มเจริญกุศลตั้งแต่ในชาตินี้
~ ใครก็ตามที่อาจจะมีความกังวลใจในขณะนี้ ขอให้ทราบว่า เคยเป็นมาแล้ว เคยกังวลใจอย่างนี้ในชาติก่อนๆ ในสังสารวัฏฏ์มาแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เคยเป็นอย่างนี้ แต่ความกลุ้มใจหรือความกังวลใจในชาติก่อนๆ ก็ผ่านไปๆ เหมือนกับชาตินี้ ซึ่งความกังวลใจความกลุ้มใจนั้นต้องเปลี่ยนไป จะคงอยู่ต่อไปไม่ได้ และแม้ชาติหน้าก็ต้องเกิดความกังวลใจหรือว่าความกลุ้มใจอีก
~ บางท่านอาจจะมีความกังวลใจเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ชาติก่อนก็ไม่รู้เป็นโรคอะไรบ้าง และขณะที่กำลังเป็นโรคนั้นๆ ก็กังวลใจอย่างนี้ เมื่อถึงชาตินี้ก็อาจจะเป็นโรคใหม่ หรือเป็นโรคเก่าก็ได้ แต่ความกังวลใจก็เหมือนเดิม เหมือนที่เคยกังวลใจมาในสังสารวัฏฏ์ และต่อไปในชาติหน้าก็จะต้องมีความกังวลใจ กลุ้มใจอย่างนี้อีก
~ กุศลทุกประการควรกระทำในชาตินี้ ไม่ควรรอคอยถึงชาติหน้า
~ ถ้าพระธรรมไม่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด จะมีใครรู้ตัวบ้างว่าไม่ดีเลย ไม่ดีอย่างมากมายทีเดียว คนอื่นที่กล่าวว่าท่านไม่ดี ยังไม่ได้รู้ความจริงแท้ของใจของท่านซึ่งไม่ดีมากยิ่งกว่าที่คนอื่นเห็นหรือที่คนอื่นรู้ คนอื่นอาจจะเห็นเพียงบางครั้ง บางโอกาส บางเหตุการณ์ แต่ว่าใจของท่านเองท่านสามารถรู้ได้จริงๆ ว่า สะสมความไม่ดีไว้มากกว่าที่คนอื่นจะเห็น
~ ผู้ใดที่ยอมรับความจริงที่รู้ว่าตนเองไม่ดี ผู้นั้นก็เริ่มที่จะอบรมเจริญกุศล ที่จะขัดเกลาอกุศลทั้งหลายให้เบาบาง แต่ตราบใดถ้ายังคิดว่าดีแล้ว อกุศลก็จะเพิ่มมากขึ้น เพราะเหตุว่าไม่คิดที่จะละอกุศล เพราะเข้าใจว่าดีแล้ว
~ ไม่ควรที่จะไปริษยาบุคคลหนึ่งบุคคลใดเลย เพราะถึงแม้ว่าจิตจะเร่าร้อนเพราะริษยาสักเท่าไร บุคคลที่สมบูรณ์ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเพราะกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ก็มีเหตุที่จะให้ลาภ ยศ สรรเสริญสุขนั้น อุดมสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ไม่สมควรที่จะให้จิตเป็นอกุศล ริษยาในบุคคลอื่น แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย ก็ควรที่จะทราบว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล ควรจะละให้หมดสิ้นไป
~ ถ้าศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถา จะไม่พ้นจากเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริง ลักษณะที่แท้จริงของธรรมต่างๆ เหล่านี้ไว้โดยละเอียดที่จะให้พิสูจน์ความจริง จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมและดับกิเลสได้เป็นลำดับขั้น
~ สภาพธรรมที่ดี ใครจะเปลี่ยนให้เป็นสภาพธรรมที่เลวไม่ได้ สภาพธรรมที่ชั่ว ใครจะเปลี่ยนให้เป็นสภาพธรรมที่ดีไม่ได้ โลภะ ความต้องการ ความยึดมั่น ความติดข้อง ไม่เปลี่ยนลักษณะ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอกุศลก็ต้องเป็นอกุศล อโลภะ สภาพที่สละความติดข้องความต้องการ เป็นกุศล ใครจะเปลี่ยนลักษณะสภาพของอโลภเจตสิกให้เป็นอย่างอื่นก็เปลี่ยนไม่ได้ จะใช้ชื่อเรียกอะไร ก็ตามแต่ แต่ลักษณะของสภาพธรรมนั้นยังเป็นสภาพธรรมนั้นที่ไม่เปลี่ยน
~ ถ้ามีความขุ่นเคืองใจ หรือความไม่พอใจในบุคคลหนึ่งบุคคลใด ก็ขอให้คิดว่า ไม่มีบุคคลนั้นเลย มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป และยึดถือว่า เป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ แม้แต่ตัวของท่านเองก็ไม่มี มีแต่ความพอใจบ้าง ความไม่พอใจบ้างแต่ละขณะ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยหลังจากที่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก
~ ตามความเป็นจริง ถ้าเป็นปัญญาที่ถูกต้องจะรู้ว่า ผู้ที่เป็นมารดา หรือผู้ที่เป็นบุตร ก็เป็นเพียงชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้นเอง เพราะว่าเมื่อผู้ที่เป็นมารดาสิ้นชีวิตลง น่าใจหายไหมที่จะไม่มีบุคคลผู้นั้นอีกเลย ไม่ว่าในโลกไหนๆ ทั้งสิ้น คือ สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนั้นโดยแท้จริง โดยสิ้นเชิง และผู้ที่เป็นบุตรก็เหมือนกัน ถ้าสิ้นชีวิตลงในขณะใด จะไม่มีบุคคลนั้นซึ่งเคยเป็นบุตร ซึ่งเคยเป็นที่รักอีกเลย ไม่ว่าในโลกไหนทั้งนั้น เพราะว่ากรรมจะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดเป็นบุคคลใหม่ เพราะฉะนั้น จะกลับไปหามารดาบิดาก็ดี หรือบุตรธิดาซึ่งเป็นที่รักก็ดี ไม่ได้เลย ถ้าเริ่มรู้ความจริงตั้งแต่ตอนนี้จะทำให้คลายความรักความชัง แต่เพิ่มความกตัญญู ความรู้คุณซึ่งท่านมีอุปการะ เพิ่มขึ้น
~ ขณะที่เป็นทานจึงจะเป็นกุศล ขณะที่วิรัติ (งดเว้น) ทุจริตจึงจะเป็นกุศล เพราะว่าวาจาที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนมี ถ้าขณะนั้นไม่สามารถงดเว้นได้ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิต แต่ขณะใดที่รู้ว่าถ้าพูดแล้วคนอื่นจะเสียใจ ก็เว้น ไม่พูด ขณะนั้นเป็นกุศล นั่นเป็นกุศล ในเรื่องของศีล และวันหนึ่งๆ พูดกันมากที่สุดด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ แต่ผู้ที่จะให้เป็นวาจาสุภาษิต เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เป็นสิ่งที่จริง และเป็นสิ่งที่ทำให้สบายด้วย สบายใจไม่เดือดร้อน ก็ต้องอาศัยกุศลจิตในขณะนั้น
~ พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญการสนทนาธรรม เพราะเป็นการแสดงว่า สิ่งที่เข้าใจนั้นถูกหรือผิด มากหรือน้อย ตรงหรือเปล่า แม้แต่ท่านที่เป็นพระอัครสาวก หรือพระมหาสาวก ท่านก็ยังสนทนาธรรม ไม่อย่างนั้น เราจะคิดเอาเองว่า ความเข้าใจของเราถูก ซึ่งอาจจะผิดก็ได้
~ เมื่อสิ้นสุดชีวิตของโลกนี้แล้ว ก็ยังไม่จบ เพราะเหตุว่ากรรมที่ทำไว้ไม่ได้สูญหายไปไหน ในเมื่อบุคคลนั้นยังไม่ใช่พระอรหันต์ตราบใด ก็ยังต้องมีเหตุปัจจัยที่จะต้องเกิด ขณะนี้ทุกคนพิสูจน์ได้ว่า มีโลกนี้ เพราะว่ากำลังอยู่ในโลกนี้ แต่เมื่อจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น ก็จะพิสูจน์ได้อีกเหมือนกันว่า โลกอื่นก็มี เมื่อถึงนรกเมื่อไหร่ ก็หมดสงสัยเรื่องนรก และถ้าถึงสวรรค์เมื่อไหร่ ก็หมดสงสัยเรื่องสวรรค์ ในเมื่อชาตินี้หมดสงสัยเพียงเรื่องโลกมนุษย์เท่านั้น
~ โลภะ โทสะ โมหะในครั้งอดีตเป็นอย่างไร ในขณะที่เป็นปัจจุบันขณะนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น หรือแม้แต่อนาคตที่จะเกิดต่อไป ลักษณะของโลภะ โทสะ โมหะ ก็ไม่เปลี่ยนแปลง
~ ไปสำนักปฏิบัติ ทำอะไร เข้าใจอะไรหรือเปล่า? ไม่เข้าใจอะไรเลย ได้แต่ทำตาม เพราะฉะนั้น ก็เป็นศาสนาที่ให้ทำตาม แต่ไม่ได้ให้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น จึงไม่ใช่พระพุทธศาสนา เพราะไม่เข้าใจ
~ กิเลสที่มีกำลังแรงเกิดได้เพราะว่าเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ ฉันใด ปัญญาที่คมกล้า ถ้าไม่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งมีกำลังแล้วจะเป็นปัญญาที่คมกล้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดถึงปัญญา ต้องเข้าใจถึงอรรถว่า หมายความถึงสภาพปรมัตถธรรมที่สามารถประจักษ์แจ้งแทงตลอดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ
~ สภาพธรรมทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อให้มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นเรา เป็นทุกข์ไหม? ไม่ได้สิ่งที่พอใจ ขวนขวายหาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่พอใจ แต่เมื่อไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้ารู้ว่า ได้หรือไม่ได้ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่ทุกข์หรือสุขก็บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว แสนสั้น ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จะเดือดร้อนไหม?
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๘


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาครับ
กราบยินดีในความดีทุกๆ ประการค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ฟังธรรม โดยความเมตตาจากท่านอาจารย์สุจินต์ ไม่จำกัดสถานที่ ไม่จำกัดเวลา ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจรืง