ไม่อยากเอาไปเปรียบกับตักบาตร สังฆทาน หรือไปทำบุญกับวัด
แต่เท่าที่สังเกต ใครบูชาพ่อแม่ เลี้ยงดูท่าน รักษาท่าน ให้ความเคารพ กตัญญูมากๆ ชีวิตของเขาไม่มีวันตกต่ำ มีเงินมีทองใช้ไม่เหลือขาด การงาน กิจการ ก็รุ่งเรือง ยิ่งพาท่านไปทำบุญที่วัด ปฏิบัติธรรม ผลบุญยิ่งส่งผลให้ลูกคนนั้น อินทรีย์แก่กล้า เข้าใจ บรรลุธรรมได้ง่ายขึ้นด้วย
นี่แหละมั้งที่เขาพูด พ่อแม่อยู่ใกล้ตัว ไม่เคยดูแล ไปเที่ยวไปเข้าวัดเข้าวา ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มารดาบิดา เป็นบุพการี คือ ผู้ที่กระทำอุปการะแก่บุตรมาก่อน เป็นผู้ที่เอาใจใส่เลี้ยงดูบุตรให้เจริญเติบโตอย่างปลอดภัย โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ท่านเป็นผู้พร่ำสอนให้บุตรออกจากความชั่ว แล้วให้ตั้งอยู่ในความดี สอนให้รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ พร้อมทั้งให้ศึกษาศิลปวิทยา วิชาชีพต่างๆ เพื่อให้บุตรมีความรู้ติดตัวอันจะเป็นบ่อเกิดแห่งการงานประการต่างๆ ซึ่งจะทำให้ชีวิตของบุตรดำเนินไปด้วยความไม่เดือดร้อนในภายภาคหน้า เป็นต้น นี้คือ พระคุณของท่านซึ่งนำมากล่าวเป็นบางส่วน เพราะแท้ที่จริงแล้ว พระคุณของท่านทั้งสองมีมาก ไม่สามารถพรรณนาให้หมดสิ้นได้ และในคำสอนทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงแสดงถึงพระคุณที่มารดาบิดามีต่อบุตรไว้มากมาย และเป็นบุคคลที่บุตรจะตอบแทนพระคุณท่านอย่างสมบูรณ์นั้น เป็นไปได้ยาก เพราะท่านทั้งสองมีพระคุณต่อบุตรเป็นอย่างมาก เป็นผู้มีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้ แก่บุตรทั้งหลาย และการตอบแทนพระคุณท่านอย่างสูงสุด คือ ให้ท่านทั้งสองดำรงตั้งมั่นในศรัทธา ศีล จาคะ (การสละวัตถุสิ่งของ สละความตระหนี่) และ ปัญญา กล่าวคือ ให้ดำรงตั้งมั่นในกุศลธรรมทั้งหลาย นั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ สำหรับบุตรธิดาทุกคนแล้ว ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสของการทำความดี ไม่จำกัดเฉพาะวันใดวันหนึ่งเท่านั้น ควรน้อมระลึกถึงพระคุณของท่านและกระทำตอบแทน บุคคลมีความกตัญญูกตเวที (รู้อุปการที่ผู้อื่นกระทำให้แล้ว กระทำตอบแทน) เป็นผู้ที่บัณฑิตทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ทรงสรรเสริญแล้ว และมงคล คือ ความเจริญก็เกิดขึ้นแก่ผู้นั้นแล้ว ถ้าหากบุตรธิดาคนใดได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม และมีความเข้าใจธรรม แล้ว คอยเกื้อกูลให้บิดามารดาได้ฟัง ได้ศึกษาด้วยนั้น ยิ่งจะเป็นการตอบแทนพระคุณของท่านได้ดีอย่างยิ่งทีเดียว เพราะจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา ซึ่งจะเป็นที่พึ่งในชีวิตของท่านได้อย่างแท้จริง
การเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพื่อต้องการผลของความดี แต่เพราะเข้าใจว่าความดีเป็นสิ่งที่ควรกระทำ และเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เท่านั้น เมื่อได้สะสมเหตุที่ดี คือ กุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ผลที่ดี ก็ย่อมเกิดขึ้น แต่ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าจะให้ผลเมื่อใด เมื่อใดก็ตามที่ได้รับสิ่งที่ดีที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ นั่นต้องเป็นผลของกุศลอย่างแน่นอน เหตุที่ดี ย่อมให้ผลที่ดี ไม่สามารถให้ผลที่ไม่ดี ได้ เหตุย่อมสมควรแก่ผล
อีกประการหนึ่งที่ควรพิจารณา คือ เหตุที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ไม่ใช่ไปทำอะไรที่ผิดปกติ ไม่ใช่ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความเห็นผิด แต่ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยความเคารพละเอียดรอบคอบ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นคำจริง ที่ให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษาได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาแล้ว ปัญญาย่อมไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย ดังนั้น ประโยชน์ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ คือ ได้สะสมกุศลประการต่างๆ (อย่างเช่น ได้กระทำสิ่งที่ดีตอบแทนมารดาบิดา เป็นต้น) และได้สะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
ชัดเจนและตรงประเด็นที่สุดครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
การเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพื่อต้องการผลของความดี แต่เพราะเข้าใจว่าความดีเป็นสิ่งที่ควรกระทำ และเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเท่านั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ทำบุญกับบิดามารดา บุญธรรมอานิสงส์เช่นเดียวกันหรือไม่
ขอบพระคุณมากครับ สาธุ สาธุ สาธุ
ขออนุโมทนาครับ