เห็นผิดว่า เราทำได้
โดย เมตตา  13 ต.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 51168

[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 416 - 417

๖. สักกายทิฏฐิสูตร

ว่าด้วยเหตุแห่งสักกายทิฏฐิ

[๓๕๖] กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะอาศัยอะไร เพราะยึดมั่นอะไร จึงเกิดมีสักกายทิฏฐิ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นรากฐาน ฯลฯ

ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีสักกายทิฏฐิ เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีสักกายทิฏฐิ.

[๓๕๗] ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีสักกายทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?

ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.

ภ. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีสักกายทิฏฐิ เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?

ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.

ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

จบ สักกายทิฏฐิสูตรที่ ๖


[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 27

๓. สังโยชนสูตร

ว่าด้วยสังโยชน์ ๑๐ ประการ

[๑๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังโยชน์ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการ เป็นไฉน คือสังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ประการ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องบน ๕ ประการ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ประการ เป็นไฉน คือสักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลพัตตปรามาส ๑ กามฉันทะ ๑ พยาบาท ๑ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ ประการนี้. สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องบน ๕ ประการเป็นไฉน คือรูปราคะ ๑ อรูปราคะ ๑ มานะ ๑ อุทธัจจะ ๑ อวิชชา ๑ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องบน ๕ ประการนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังโยชน์ ๑๐ ประการนี้แล.

จบสังโยชนสูตรที่ ๓

อรรถกถาสังโยชนสูตรที่ ๓

สังโยชนสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า โอรมฺภาคิยานิ แปลว่า เป็นส่วนเบื้องต่ำ. บทว่า อุทฺธมฺภาคิยานิ แปลว่า เป็นส่วนเบื้องบน. ในสูตรนี้ ท่านกล่าววัฏฏะอย่างเดียว.

จบอรรถกถาสังโยชนสูตรที่ ๓


อ.ณภัทร: ก็มีคำที่แสดงถึง สมัย ครับ มากมายหลายความหมาย อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือว่า สมัย ชื่อว่า ทิฏฐิ เพราะไปพร้อมกัน ครับ

ท่านอาจารย์: มีทิฏฐิ เกิดไหม?

อ.ณภัทร: มีทิฏฐิเกิดในขณะที่มีเหตุปัจจัยให้ทิฏฐินั้นเกิดครับ

ท่านอาจารย์: นั่น.. ทบทวนคำนั้นอีกที จะได้รู้ว่าความหมายเดียวกันหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: สมัย ชื่อว่าเหตุ เพราะเป็นแดนไป คือเกิดขึ้นเป็นไปแห่งผล ในเมื่อมีการประชุมแห่งปัจจัยทั้งหมด เหมือน สมุทัย เป็นแดนเกิดขึ้นแลครับ

ท่านอาจารย์: เราพูดแล้วใช่ไหม สมุทัย?

อ.ณภัทร: ครับ ต่อมาก็ สมัย ชื่อว่าทิฏฐิ เพราะไปพร้อมกัน คือเกี่ยวพันกันไปโดยภาวะเป็นสังโยชน์ เป็นไปในอารมณ์ของตน ครับ

ท่านอาจารย์: สมัยของทิฏฐิ หมายความว่าทิฏฐิเกิดใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทบทวน

อ.ณภัทร: สมัย ชื่อว่าทิฏฐิ

ท่านอาจารย์: หมายความว่า ขณะนั้นมีทิฏฐิเกิด จึงเป็นสมัยที่มีทิฏฐิ

อ.ณภัทร: ครับ เพราะไปพร้อมกัน คือเกี่ยวพันกันไปโดยภาวะเป็นสังโยชน์ ...

ท่านอาจารย์: ทบทวนอีกครั้งจะได้รู้ว่า ความไม่รู้จะต้องละเอียด ค่อยๆ หมดไปเมื่อไตร่ตรอง ไม่ใช่พอฟังปุ๊บ เข้าใจปั๊บ จบแล้วไม่รู้เรื่อง

อ.ณภัทร: ครับ สมัย ชื่อว่าทิฏฐิ เพราะไปพร้อมกัน ครับ

ท่านอาจารย์: แสดงว่า ทิฏฐิ ต้องมี เป็นมมัยที่มีทิฏฐิใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: เกิดลำพังได้ไหม?

อ.ณภัทร: ไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ประโยคนี้ว่าอย่างไร?

อ.ณภัทร: สมัย ชื่อว่าทิฏฐิ เพราะไปพร้อมกันครับ

ท่านอาจารย์: กับธรรมะที่อาศัยกันเกิดขึ้นใช่ไหม?

อ.ณภัทร: คือ เกี่ยวพันกันไปโดยภาวะเป็นสังโยชน์ครับ

ท่านอาจารย์: สังโยชน์ คืออะไร? ถ้าไม่หยุดตรงนี้ก็เลยไปแล้ว สังโยชน์คืออะไร ถามคุณคำปั่นก็ได้

อ.ณภัทร: ครับ เรียน อ.คำปั่น ให้ความหมายของสังโยชน์ที่จะเป็นประโยชน์ครับ

อ.คำปั่น: สังโยชน์ สังโยชนะ ก็เป็นอกุศลธรรมที่ประกอบ หรือว่าผูกมัดเหล่าสัตว์ไว้ในสังสารวัฏฏ์ครับ

ท่านอาจารย์: มีอะไรบ้าง สังโยชน์? แค่นี้ก็ต้องรู้แล้ว ไม่ใช่เข้าใจแล้ว แล้วก็เลยไป แล้วสังโยชน์มีสังโยชน์อะไร อะไรเป็นสังโยชน์บ้าง ต้องเฉพาะเจาะจงลักษณะที่เป็นสังโยชน์

อ.ณภัทร: ครับ ก็คือว่า ทิฏฐิที่จะเกิดขึ้นเกิดขื้นโดยความเป็นสังโยชน์

ท่านอาจารย์: สังโยชน์คืออะไร?

อ.ณภัทร: สังโยชน์ คือเครื่องผูกครับ ก็มีกามครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เราไม่ใช่ว่าผ่านเลยข้อความไปเหมือนเข้าใจ แต่ต้อง ละเอียดขึ้นๆ ๆ จึงสามารถจะค่อยๆ รู้ความลึกซึ้งของแม้คำพูดว่า สังโยชน์ หรือแม้คำพูดว่า ทิฏฐิ หมายความว่าคืออะไร เพราะว่าทุกคนได้แต่พูด แต่รู้หรือเปล่าว่า สิ่งที่มีจริงขณะพูดนั้นคืออะไร? ต้องละเอียดว่า ไม่รู้หมด พูดก็ไม่รู้ว่า อะไรเป็นเหตุให้พูดอะไร เป็นสังโยชน์หรือเปล่าก็ไม่รู้

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ผ่านไม่ได้เลย เมื่อพูดถึงคำไหน ขอให้เข้าใจคำนั้นขึ้น เท่าที่สติปัญญาในขณะนั้นสามารถจะเข้าใจได้ตามลำดับ นี่คือการศึกษาสิ่งที่มีทุกขณะในชีวิตประจำวันซึ่งไม่เคยรู้เลย ต่อเมื่อได้ฟังคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ จึงต้องพิจารณาไตร่ตรองละเอียดลึกซึ้ง เพราะอะไร?

คำของผู้ที่ตรัสรู้ ตรัสรู้หมายความว่า ถ้าไม่มีผู้ที่ตรัสรู้ แต่ไม่มีคำที่ทำให้รู้ว่า ตรัสรู้คืออะไร จะไม่รู้เลยว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ลึกซึ้งแค่ไหน

ประมาทมากในการที่คิดว่า ศึกษาธรรมะโดยไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมะทั้งหมด และ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง จริงไหม แม้แต่คำว่า สมัย?

อ.ณภัทร: ครับ ท่านอาจารย์ครับ ถ้ายกตัวอย่างสังโยชน์ อันแรกก็คือ ทิฏฐิที่เป็น สักกายทิฏฐิ ครับ

ท่านอาจารย์: ทิฏฐิคืออะไร? สักกายทิฏฐิคืออะไร?

อ.ณภัทร: ทิฏฐิก็เป็นความเห็น ส่วนสักกายะ ก็คือรูปธรรมนามธรรมที่กายนี่ครับ ยึดถือว่าเป็นตัวเราครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีไหม?

อ.ณภัทร: เดี๋ยวนี้มีครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่ออะไร?

อ.ณภัทร: เพื่อรู้ความจริงว่า เป็นธรรมะที่ไม่ใช่เราครับ

ท่านอาจารย์: เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สักกายทิฏฐิ เดี๋ยวนี้มีไหม?

อ.ณภัทร: คือเหมือนกับว่า.. ถามว่ามีไหม..

ท่านอาจารย์: นี่คือ ศึกษาธรรมะจริงๆ ให้เข้าใจความจริง ไม่ใช่เพียงแต่พูดเพียงแต่จำคำ และชื่อเท่านั้น

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีไหม?

อ.ณภัทร: เป็นคำถามที่ต้องคิดพิจารณาครับ เดี๋ยวนี้มีไหม? เดี๋ยวนี้มีเห็น มีได้ยิน แต่จะบอกว่า เดี๋ยวนี้มีสักกายทิฏฐิไหม ก็ไม่ได้มีความเห็นว่าเป็นเราครับ

ท่านอาจารย์: แล้วใครเห็น?

อ.ณภัทร: จริงๆ ก็ยังมีเราเห็น แต่ว่าในขณะที่เห็นก็ไม่ได้มีความคิดที่เป็น เราเห็น ครับ

ท่านอาจารย์: แสดงว่า วันนี้ไม่มีคุณณภัทรเห็นเลย?

อ.ณภัทร: มันเหมือนจะไม่มีเราคิดว่า เป็นเราเห็นจริงๆ แต่ ...

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวก่อนๆ นะ ก่อนฟังธรรมะ เราเห็นหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: ก่อนฟังธรรมะก็มีเราเห็นครับ

ท่านอาจารย์: เราได้ยินหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: เราได้ยินครับ

ท่านอาจารย์: เราโกรธหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: เราโกรธครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก่อนธรรมะ มีเราหรือมีธรรมะ?

อ.ณภัทร: ก่อนฟังธรรมะก็มีเราครับ

ท่านอาจารย์: ทั้งๆ ที่เป็นธรรมะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ เห็นผิดว่า ธรรมะเป็นเรา นั่นแหละ สักกายทิฏฐิ

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: เยอะไหม?

อ.ณภัทร: เยอะครับ แต่ว่ามันบางเบามากที่ว่าเวลาเห็นจะบอกว่า เป็นเราเห็น ความเป็นเราเห็นนี่มันบางเบาแทบจะไม่ปรากฏให้รู้ว่า เรา เลยครับ

ท่านอาจารย์: และ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร?

อ.ณภัทร: พระองค์ตรัสว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เราครับ

ท่านอาจารย์: เบาเบาแค่ไหน?

อ.ณภัทร: บางเบาจริงๆ ถ้าไม่ฟังก็ไม่สามารถจะคิดเป็นเหตุให้คิดพิจารณาได้เลย

ท่านอาจารย์: แค่นี้ไม่รู้สึกเลยว่ามี ใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: แล้วจะหมดไปได้อย่าง?

อ.ณภัทร: ต้องหมดได้ด้วยความเข้าใจอย่างเดียวเท่านั้นครับ

ท่านอาจารย์: ละเอียดแค่ไหน?

อ.ณภัทร: ละเอียดที่สุดครับ

ท่านอาจารย์: ที่จะรู้ว่า เห็น เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรา เป็นไปได้ไหม?

อ.ณภัทร: เป็นไปได้เมื่อมีเหตุ คือการได้ยินได้ฟัง แล้วก็อบรมเจริญปัญญาไปตามลำดับครับ

ท่านอาจารย์: ขณะนี้กำลังเป็นเหตุหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: กำลังเป็นเหตุครับ

ท่านอาจารย์: เหตุอื่นนอกจากขณะนี้มีไหม?

อ.ณภัทร: ไม่มีเลยครับ

ท่านอาจารย์: มั่นคงไหม?

อ.ณภัทร: เริ่มมั่นคงครับ

ท่านอาจารย์: สัจจบารมี ไม่เปลี่ยนใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ไม่เปลี่ยนครับ

ท่านอาจารย์: จะรู้อย่างนี้เมื่อไหร่?

อ.ณภัทร: อีกนานครับไม่คิดเลย เพราะว่ายิ่งฟังก็ยิ่งรู้ถึงความไม่รู้ของตนเองมีมากมายเกินประมาณครับ

ท่านอาจารย์: จะอดทนค่อยๆ ฟังค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้นไหม?

อ.ณภัทร: อดทนครับ

ท่านอาจารย์: นั่นคือขันติบารมี ถ้าไม่มีเลยจะรู้ความจริงได้ไหม?

อ.ณภัทร: ไม่มีเหตุที่จะทำให้เป็นไปอย่างนั้นได้เลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่รู้อะไรเลยไปพยายามทำอย่างอื่นเพื่อที่จะรู้ เป็นไปได้ไหม?

อ.ณภัทร: ย่อมเป็นไปไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: เห็นผิดไหม?

อ.ณภัทร: เห็นผิดครับ

ท่านอาจารย์: เห็นผิดว่าอะไร?

อ.ณภัทร: เห็นผิดว่า มีหนทางอื่นที่จะทำให้ดับกิเลส และก็มีตัวตนที่จะต้องพากเพียรเพื่อดับกิเลสครับ

ท่านอาจารย์: เห็นผิดว่า มีเราทำได้ เป็นสักกายทิฏฐิใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: หายสงสัยแล้วยัง?

อ.ณภัทร: หายสงสัยครับ เพราะว่าก็เป็นความละเอียดอย่างยิ่ง เพราะว่าพระธรรมของพระองค์ไม่ใช่ว่า อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้าไม่รู้แต่ละคำ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจในอรรถะได้เลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็เริ่มสะสมนิสัยใหม่ ไม่ประมาทแม้ในการฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสก่อนปรินิพพานว่า จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม แม้ในการฟังต้องละเอียด

ขอเชิญอ่านได้ที่ ..

๑๑. สักกายทิฏฐิสูตร ว่าด้วยการละสักกายทิฏฐิ

ขอเชิญฟังได้ที่ ..

สังโยชน์ สภาพธรรมที่ร้อย

อุปมาสัญโญชน์ การผูกไว้ในภพทั้ง ๓

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ณภัทร อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 13 ต.ค. 2568

จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

เริ่มสะสมนิสัยใหม่ ไม่ประมาทแม้ในการฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสก่อนปรินิพพานว่า จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม แม้ในการฟังต้องละเอียด

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ