
อ.อรรณพ: กราบเท้าท่านอาจารย์ที่จะเมตตากรุณา ที่ท่านไม่ว่าจะถาม นำสนทนาเพื่อเกื้อกูลให้พวกเราค่อยๆ เป็นปริยัติเพิ่มขึ้น แม้คำถามที่ถามว่า ตอบตามที่ฟังมา จำมา หรือตอบตามความเป็นจริง หรือความเข้าใจ แล้วผมก็ถามท่านอาจารย์ เพราะว่าผมก็มุ่งตรงนี้ครับว่า ท่านอาจารย์หมายถึงตามความเป็นจริง หรือความเข้าใจ ท่านอาจารย์หมายถึงเข้าใจระดับไหน แต่ผมชัดเจนแล้วครับ เข้าใจตั้งแต่ปริยัติขั้นปริยัติเลย
เพราะฉะนั้น แม้เราจะพูดได้ว่า เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เรา เราพูดตาม ตอบโดยพูดตาม แต่ไม่ได้รู้ในความลึกซึ้งของเห็นเลยว่า เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เรา แต่แม้ผู้ที่เข้าใจว่า เห็น ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงๆ และเห็นเกิดขึ้นเป็นเห็น จึงไม่ใช่เราจริงๆ ด้วยความเข้าใจที่เป็นปริยัติจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ความเข้าใจที่เป็นขั้นที่สูงกว่านั้น แต่ก็เป็นความเข้าใจในขั้นฟังแล้วเข้าใจว่า เห็นนี่มีจริงๆ แล้วเห็นจะต้องเป็นสภาพเห็น แล้วก็ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น อันนี้ก็เป็นการตอบเหมือนกัน แต่เราไม่รู้เลยคนนี้เขาตอบตาม หรือจำมาโดยที่ผิวเผิน หรือเขาตอบโดยมีความเข้าใจขั้นปริยัติ หรือเขาตอบโดยเขามีความเข้าใจในขั้นปฏิปัตติว่า เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เรา แต่ว่าก็เข้าใจแล้วครับท่านอาจารย์ว่า เริ่มตั้งแต่ปริยัติก่อน ที่ท่านอาจารย์ตอบเพียงตอบตามว่า เห็นเป็นเห็นไม่ใช่เรา แต่ไม่ได้เข้าใจ ไม่ได้ใส่ใจจริงๆ ในความเป็นธาตุรู้ที่เห็นนั้น แม้จะไม่ถึงขั้นปฏิปัตติ แต่อันนี้ก็จะเป็นขั้นปริยัติที่แท้จริง เพิ่มขึ้นๆ ท่านอาจารย์จะมีอะไรเกื้อกูลเพิ่มครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ความเข้าใจต้องตรง ตรงต่อความเป็นจริง ถ้าไม่ตรงไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมะยิ่งขึ้น เพราะคิดว่า เพียงแค่เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่ไม่มีใครไม่รู้ แต่ภาวะของเห็นที่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา รู้หรือยัง หรือเพียงพูดตาม?
ถ้ารู้แล้ว คิดว่ารู้แล้ว แค่นี้นะ ไม่ต้องมีนามรูปปริจเฉทญาณะ เห็นไหม?
อ.อรรณพ: ชัดเจน ปัญญาต่างขั้นกัน เมื่อวานที่ท่านอาจารย์ต่อเวลาให้คุณหมอดริส ก็ถามถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ เพราะฉะนั้น การที่ขั้นปฏิปัตติ กับปฏิเวธะขั้นแรก คือนามรูปปริเฉทญาณะ ก็ต้องต่างกันจริงๆ เลย ที่ผมกราบเท้าถามท่านอาจารย์เมื่อวานนี้ว่า การที่สติเพียงระลึกถึงนามหนึ่งนามใด ทีละหนึ่งๆ กับการที่จะรู้ชัดในความเป็นนามธาตุจริงๆ ทางใจ ที่ต่างกันจริงๆ กับสภาพที่ไม่รู้อะไรที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณะ
วันนี้ท่านอาจารย์ก็กล่าวอีก ต้องต่างกัน ไม่นิดๆ หน่อยๆ ในแต่ละขั้น ขั้นปริยัติก็ไม่นิดๆ หน่อยๆ ขั้นปฏิปัตติก็ไม่ใช่นิดๆ หน่อยๆ เพราะมีสิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็เป็นวิปัสสนาขั้นต่างๆ แม้ขั้นแรก ท่านอาจารย์ครับความต่างกันของการระลึกตรงลักษณะของนามหนึ่งนามใดที่เป็นปฏิปัตติ กับปัญญาที่รู้ชัดในความเป็นนามธรรมที่ต่างกับรูปธรรมจริงๆ คือรู้นามธรรมอย่างแจ่มแจ้งที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณะ ที่รู้ในนามธรรม ความรู้ในนามธรรมที่เป็นปฏิปัตติ คือขั้นสติปัฏฐาน กับความรู้ชัดในนามธรรมที่เป็นปฏิเวธะขั้นที่ ๑ ต่างกันมากอย่างไรครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีนามรูปปริจเฉทญาณะไหม?
อ.อรรณพ: ไม่มีครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม!! แต่ว่าทรงบำเพ็ญพระบารมีมานานเท่าไหร่?
อ.อรรณพ: ๔ อสงไขยแสนกัปป์
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็รู้เลยในความลึกซึ้ง กว่าจะฟังเข้าใจในการเป็นเพียงขั้นฟังในลักษณะแท้ๆ ของเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ กับสิ่งที่ปรากฏทางตา ฟังเหมือนเข้าใจหมดไม่สงสัย แต่ไม่รู้จักธรรมะสักหนึ่ง
อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ตอบเกินกว่าที่ผมจะคิดถาม
ท่านอาจารย์: คุณอรรณพเป็นอาจารย์ มศพ. คุณอรรณพแต่งเพลงแต่งคำร้องอะไรต่างๆ เพราะๆ เป็นเรื่องของธรรมะเป็นเรื่องของ มศพ. แต่ไม่เคยเห็นคุณอรรณพเลย แต่รู้เรื่องหมด พอเห็นสามารถจะรู้ได้ไหมว่า เป็นใคร?
อ.อรรณพ: ได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะรู้จักอย่างดีที่สุดทุกประการ คุณอรรณพไม่ใช่อย่างนั้นไม่ใช่อย่างนี้ คุณอรรณพเป็นอย่างนี้ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงสามารถพอเห็นก็รู้ แต่ถ้าไม่รู้จักคุณอรรณพเลย คุณอรรณพอยู่ตรงนั้นแท้ๆ ไหนชี้มาซิ ไหนคุณอรรณพ?
จะรู้จักคุณอรรณพได้ไหม?
อ.อรรณพ: ไม่ได้ ก็ไม่รู้จักครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ ทรงบ่มพระโพธิญาณ ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ยังไม่เกิดนามรูปปริจเฉทญาณะ จนกว่าจะประทับที่โพธิบัลลัง ญาณะแต่ละขั้นก็เจริญถึงพร้อมขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งท่านอาจารย์ก็จะไปประกาศพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ. สถานที่ตรัสรู้ ก็เป็นความปลาบปลื้มเพราะว่า ได้เข้าใจที่ท่านอาจารย์กล่าวตรงนี้ เจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนไปยาวนานไม่เคยเกิดนามรูปปริจเฉทญาณะ ก็บ่มบารมี และบารมีก็เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้
ประเด็นแรกที่ได้กราบเท้าท่านอาจารย์ว่า บารมีอะไรบ้าง ท่านอาจารย์ก็แจกแจงให้ฟังพอเข้าใจว่า ขันติบารมี วิริยบารมี ปัญญาบารมี ที่จะใส่ใจด้วยดีในการฟังที่จะไม่เผิน แล้วก็ตอบตามนกแก้วนกขุนทองนะครับ แล้วเราก็คิดว่า เรารู้เรื่องโน้นเรื่องนั้นไปหมดเลย เรื่องอะไรหลากหลายมากอย่าง จิต เจตสิก รูป นิพพาน อะไรต่างๆ การเข้าถึงนิพพานแบบไหนๆ ๆ เราก็เอาเป็นเรื่อง แล้วเราก็ลืม ลืมแล้วเราก็ไปอ่านใหม่ ผมเองผมก็ลืม วันก่อนผมก็พูดเรื่องฌาณ เรื่องอะไรต่ออะไรไม่ถูกต้องไป แล้วเราก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่ก่อนก็สนใจเรื่องพวกนี้มากเลยครับ แต่ตอนนี้ความใส่ใจก็เปลี่ยนไปครับ จากการที่ท่านอาจารย์ได้เกื้อกูลตรงนี้ ถ้าไม่เป็นไปเพื่อความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้จริงๆ ก็ไม่เห็นความลึกซึ้งของสิ่งที่มีขณะนี้ แม้ว่ายังไม่ได้เป็นขั้นที่ไปประจักษ์แจ้งอะไรนี่ครับ ปริยัติก็ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นสมบูรณ์ เพราะจะไปสนใจเรื่องอื่น ตรงนี้ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ
ขอเชิญฟังได้ที่ ..
นามรูปปริทเฉทญาณ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ
ความเข้าใจต้องตรง ตรงต่อความเป็นจริง
ถ้าไม่ตรงไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมะยิ่งขึ้น เพราะคิดว่า เพียงแค่เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่ไม่มีใครไม่รู้ แต่ภาวะของเห็นที่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา รู้หรือยัง หรือเพียงพูดตาม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง