
[เล่มที่ 65] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม 5 ภาค 1 - หน้า 601
ชราสุตตนิทเทสที่ ๖
[๑๘๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ชีวิตนี้น้อยหนอ มนุษย์ย่อมตายภายในร้อยปี แม้หากว่ามนุษย์ใดย่อมเป็นอยู่เกินไป มนุษย์นั้นย่อมตายเพราะชราโดยแท้แล.
ว่าด้วยชีวิตเป็นของน้อย
[๑๘๒] คำว่า ชีวิตนี้น้อยหนอ มีความว่า คำว่า ชีวิต ได้แก่ อายุ ความตั้งอยู่ ความดำเนินไป ความให้อัตภาพดำเนินไป ความเป็นไป ความหมุนไป ความเลี้ยง ความเป็นอยู่ ชีวิตินทรีย์. อนึ่ง ชีวิตน้อย คือชีวิตนิดเดียว โดยเหตุ ๒ ประการ คือ ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อย ๑ ชีวิตน้อยเพราะมีกิจน้อย ๑ .
ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อย อย่างไร? ชีวิตเป็นอยู่แล้วในขณะจิตเป็นอดีต ย่อมไม่เป็นอยู่ จักไม่เป็นอยู่. ชีวิตจักเป็นอยู่ในขณะจิต เป็นอนาคตย่อมไม่เป็นอยู่ ไม่เป็นอยู่แล้ว. ชีวิตย่อมเป็นอยู่ในขณะจิตเป็นปัจจุบันไม่เป็นอยู่แล้ว จักไม่เป็นอยู่.
อ.กุลวิไล: ขอนำคลิปการสนทนาธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เรื่องอยู่คนเดียวกับความคิด มาร่วมสนทนาซึ่งก็เป็นประโยชน์มากท่านอาจารย์กล่าวให้เข้าใจว่า ขณะที่เห็น เห็นคนเดียว ขณะที่ได้ยินได้ยินคนเดียว ขณะที่คิดคิดคนเดียว อยู่คนเดียวแต่ในความคิดไม่ใช่คนเดียว คิดถึงคนโน้นบ้าง คิดถึงคนนี้บ้างคนนี้บ้างจนเป็นโลกค่ะ ก็เห็นว่าเ รื่องราวทั้งหมดตามความคิด แต่พอหยุดคิดหายไปไหน!! คนในความคิดไม่มีเลย จะมีต่อเมื่อคิด ซึ่งก็เป็นประโยชน์มากค่ะ ทำให้ได้ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า หลังเห็นทางตาแล้วคิดต่อทางใจ หลังได้ยินทางหูคิดต่อทางใจ หลังได้กลิ่น หลังลิ้มรส หลังรู้กระทบสัมผัสทางกาย ก็มีการคิดต่อทางใจ ซึ่งก็จะเห็นถึงเป็นผู้มากด้วยความติดข้อง และก็เพลิดเพลินจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมทั้งทางใจด้วยค่ะ
กราบเรียนให้ท่านอาจารย์เกื้อกูลให้ความเข้าใจเพิ่มเติมในส่วนที่เนื้อหาเกี่ยวกับ อยู่คนเดียวกับความคิด ค่ะ
ท่านอาจารย์: ก็เดี๋ยวนี้เอง ทุกอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้รู้ความจริงว่า เดี๋ยวนี้คืออะไร?
อ.กุลวิไล: ซึ่งก็เป็นความจริง แล้วก็มีประโยชน์มาก แต่ธรรมะก็ลึกซึ้งรู้ได้ยาก เพราะว่าก็ยังเพลิดเพลินแล้วก็เกี่ยวข้องกับรูปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งก็เป็นปกติที่ยังมีหลายๆ คนค่ะ
ดิฉันก็มีประเด็นที่จะกราบเรียนท่านอาจารย์เพิ่มเติมค่ะ เกี่ยวกับ ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อย ค่ะ ก็ขอนำเนื้อหามาจาก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส ท่านก็กล่าวถึงชีวิตน้อยเพราะเหตุ ๒ ประการ แต่ประการหนึ่งที่ดิฉันจะกราบเรียนท่านอาจารย์ที่ท่านกล่าวถึง ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อย ซึ่งก็มีข้อความที่ว่า ชีวิตเป็นอยู่แล้วในขณะจิตเป็นอดีต ย่อมไม่เป็นอยู่ จักไม่เป็นอยู่. ชีวิตจักเป็นอยู่ในขณะจิต เป็นอนาคตย่อมไม่เป็นอยู่ ไม่เป็นอยู่แล้ว. ชีวิตย่อมเป็นอยู่ในขณะจิตเป็นปัจจุบันไม่เป็นอยู่แล้ว จักไม่เป็นอยู่แล้ว
กราบเรียนท่านอาจารย์ ในขณะที่เป็นอดีตก็พอเข้าใจได้เพราะย่อมไม่เป็นอยู่ ก็จักไม่เป็นอยู่ ส่วนในอนาคตก็เช่นเดียวกันเพราะยังมาไม่ถึง ก็ย่อมไม่เป็นอยู่ และก็ไม่เป็นอยู่แล้ว แต่ในปัจจุบันค่ะท่านอาจารย์ ที่กล่าวว่า ชีวิตย่อมเป็นอยู่ในขณะจิตเป็นปัจจุบัน ไม่เป็นอยู่แล้ว จักไม่เป็นอยู่ กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ
ท่านอาจารย์: ลองซ้ำ ๒ ประโยคหลังซิ
อ.กุลวิไล: ชีวิตย่อมเป็นอยู่ในขณะจิตเป็นปัจจุบัน..
ท่านอาจารย์: แค่นี้ค่ะ ถูกต้องใช่ไหม?
อ.กุลวิไล: ถูกต้องค่ะ
ท่านอาจารย์: ค่ะ ต่อไป
อ.กุลวิไล: ไม่เป็นอยู่แล้ว จักไม่เป็นอยู่
ท่านอาจารย์: ไม่เป็นอยู่แล้ว ถูกต้องไหม? ในปัจจุบันไม่ใช่เป็นอยู่แล้ว ไม่เป็นอยู่แล้วใช่ไหม? อ่านอีกทีค่ะ
อ.กุลวิไล: ไม่เป็นอยู่แล้ว..
ท่านอาจารย์: แค่นี้ค่ะ จริงไหม จริงไหม?
อ.กุลวิไล: ไม่เป็นอยู่แล้ว
ท่านอาจารย์: ไม่เป็นอดีต
อ.กุลวิไล: ไม่ใช่อดีต
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่ที่แล้วไป ใช่ไหม? ไม่เป็นอยู่แล้ว
อ.กุลวิไล: ไม่ใช่ที่แล้วไปค่ะ
ท่านอาจารย์: แน่นอน ต่อไป
อ.กุลวิไล: จักไม่เป็นอยู่
ท่านอาจารย์: อนาคต
อ.กุลวิไล: ก็หมายถึงว่า กล่าวถึงทั้งธรรมะที่ปัจจุบันนี่ จะไม่มีอยู่ และจักไม่เป็นอยู่ด้วย
ท่านอาจารย์: ถูกต้อง
อ.กุลวิไล: ดิฉันกำลังคิดว่า ถ้ากล่าวถึงปัจจุบันน่าจะกำลังมีอยู่ และกำลังปรากฏ อดีตก็ผ่านไป
ท่านอาจารย์: ถูกต้อง อนาคตก็ยังมาไม่ถึง
อ.กุลวิไล: อนาคตก็ยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้น ความเป็นสังขตธรรม ธรรมะที่ปรุงแต่งแล้ว
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้จึงเกิดมี ถ้ายังไม่ได้ปรุงแต่งก็ไม่เกิด ปรุงแต่งเกิดแล้วก็ดับ
อ.กุลวิไล: เพราะฉะนั้น ก็ไม่เป็นอยู่แล้ว จักไม่เป็นอยู่ด้วยเพราะว่าจะต้องดับ
ท่านอาจารย์: ก็เดี๋ยวนี้อย่างไรคะ เดี๋ยวนี้ต้องไม่ใช่สิ่งที่ล่วงแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
อ.กุลวิไล: ก็มีข้อความต่อ เพราะว่า กำลังสนทนาในส่วนของชีวิตน้อยก็เพราะตั้งอยู่น้อย และยังในนัยยะที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจในเนื้อหา อยู่คนเดียวกับความคิด เพราะว่าในขณะที่คิด ก็ไม่พ้นจิตนั่นเอง และจิตก็มีอายุน้อยตั้งอยู่น้อยด้วย ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสต่อว่า ชีวิต อัตตภาพ สุข และทุกข์ทั้งมวลเป็นธรรมะประกอบกันเสมอด้วยจิตดวงเดียว ขณะย่อมเป็นไปพลันค่ะท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ก็ชัดเจน
อ.กุลวิไล: อย่างท่านกล่าวว่า ทั้งชีวิตด้วย อัตตภาพด้วย
ท่านอาจารย์: ไม่ว่าอะไรทั้งหมด
อ.กุลวิไล: ค่ะ เมื่อวานก็มีสนทนาธรรม แล้วคุณบุญส่องมีคำถามว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ทำไมข้อความที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่า อยู่คนเดียวกับความคิดค่ะ
ท่านอาจารย์: เลือกได้ไหม ให้เป็นอย่างอื่น?
อ.กุลวิไล: เลือกไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: อนัตตาหรือเปล่า?
อ.กุลวิไล: อนัตตาค่ะ เพราะฉะนั้น ที่ท่านกล่าวถึงทั้งชีวิต อัตตภาพ สุข และทุกข์ ซึ่งอัตตภาพคือความเป็นคนนี้ซึ่งก็ไม่พ้นจิตในแต่ละขณะนั่นเอง
ขอเชิญอ่านเพิ่มเติมที่..
บุรุษผู้ใคร่ความดีพึงดูหมิ่น อายุที่น้อยนี้ [ชราสุตตนิทเทสที่ 6]
ชีวิตเป็นของน้อย [ชราสุตตนิทเทสที่ 6]
ขอเชิญคลิกฟังได้ที่..
อยู่คนเดียวกับความคิด
ถ้ายังไม่รู้ ก็ระลึกอีก ค่อยๆ รู้อีก
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.กุลวิไล ด้วยความเคารพค่ะ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ