เหมือนคนตาบอดตั้งแต่กำเนิด
โดย orawan.c  4 ต.ค. 2551
หัวข้อหมายเลข 10065

ทุกคนเกิดมาพร้อมกับอวิชชา เพราะถ้าดับอวิชชาได้ก็ไม่ต้องเกิดอีกอย่างแน่นอน เพราะไม่รู้ความจริงจึงมืดบอดสนิทเหมือนคนตาบอดตั้งแต่กำเนิด จนกว่าอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งความจริง จึงหายมืดบอด แล้วจะอิสระจากอวิชชาและโลภะ เพราะ ปัญญาคือแสงสว่าง



ความคิดเห็น 1    โดย suwit02  วันที่ 5 ต.ค. 2551

อบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งความจริง จึงหายมืดบอด แล้วจะอิสระจากอวิชชาและโลภะ เพราะ ปัญญาคือแสงสว่าง

สาธุ

อนึ่งผู้ที่เห็น คุณค่าในการฟังพระสัทธรรม ถึงจะยังตาบอดอยู่ก็คงไม่บอดสนิท มีหวังที่จะตาสว่างได้ในอนาคต จิรกาลภาวนา


ความคิดเห็น 2    โดย ajarnkruo  วันที่ 5 ต.ค. 2551

ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมในชาตินี้ ก็ย่อมที่จะพ้นจากความเป็นปุถุชนผู้ไม่ได้สดับได้บ้าง (เล็กน้อย) แต่พระธรรมก็ลึกซึ้งมาก ไม่อาจหยั่งถึงได้ด้วยการตรึก จึงควรจะสดับฟังเพื่อให้เกิดความเห็นถูกต่อไป จนกว่าจะเกิดปัญญา เห็นโทษของอวิชชาที่กางกั้นไว้ให้เป็นผู้ที่มืดบอดที่ไม่เห็นสัจจธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง บ่อน้ำ (พระนิพพาน) ยังอีกไกล ฝั่งโน้น (พระนิพพาน) ยังอีกไกล อาจหาญ ร่าเริง ในพระสัทธรรมต่อไป

...ขออนุโมทนาครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย choonj  วันที่ 5 ต.ค. 2551

กำเนิดตาบอดมาแล้วนานแสนนานไม่รู้กี่อสงไขกัปป์ น่าสงสัยนะเริ่มบอดเมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกที่ก็บอดแล้วเหมือนไม่ยุติธรรม แล้วก็ต้องมีภาระเดินทางไกล อาจหาญ ร่าเริงข้ามฝังมุ่งสู่นิพพานอีก


ความคิดเห็น 4    โดย happyindy  วันที่ 6 ต.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

เป็นผู้รู้ตัวว่าตาบอดแล้วดีกว่าไม่รู้ค่ะ กรรมยุติธรรมไม่มีอะไรเท่า สร้างเหตุมานานในสังสารวัฏฏ์ให้ต้องตามืดบอด ไม่รู้ความจริง ไม่รู้จักธัมมะ จะไปโทษใครละคะ ก็ต้องเป็นเรานี่แหละ จะเป็นคนอื่นได้ยังไงที่ต้องบอด การจะเป็นผู้มีตาดี คือ ต้องมีปัญญา ฟังพระสัทธรรม คือ ยารักษาที่ถูกโรค ใช้เวลาในการรักษานาน ต้องรอ ต้องอดทน และต้องฟัง ฟัง ฟัง ฟังด้วยความนอบน้อมและตั้งใจ ฟังด้วยความเคารพในพระสัทธรรมนั้น เพื่อสะสมความเข้าใจถูก อบรมเจริญปัญญาให้งอกงาม คงถึงความเป็นผู้มีตาดีไม่บอดในสักวัน ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น


ความคิดเห็น 5    โดย ปริศนา  วันที่ 6 ต.ค. 2551


เมื่อทราบว่า หนทางนั้นมีก็ค่อยๆ สะสมเหตุปัจจัยค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปค่ะ.

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย pannipa.v  วันที่ 6 ต.ค. 2551

มืดบอดมานาน เมื่อก่อนรักษาผิดวิธี บัดนี้ พบแล้วผู้ที่รักษาถูกและตรง แต่เนื่องจากบอดนานเกินไป การรักษาจึงต้องใช้เวลานานมากๆ วิธีรักษาไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องทำอะไรที่ผิดปกติ เพียงค่อยๆ ฟังพระธรรม และพิจารณาสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ไม่เร่งรีบ ไม่ต้องรอว่า "เมื่อไร?" แม้จะยังไม่เห็นชัดเจน แค่เห็นลางๆ ก็ยังดี


ความคิดเห็น 7    โดย choonj  วันที่ 7 ต.ค. 2551

ที่นี่สงบ ที่นี้น่ารื่นรมณ์ ที่นีมีกำลังใจ ที่นี่มีความหวัง ที่นี่มีมิตรสหายร่วม เดินทาง

ขออนุโมทนา ครับ


ความคิดเห็น 8    โดย เมตตา  วันที่ 7 ต.ค. 2551

แม้หนทางยังอีกแสนไกล การที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ได้นั้นไม่ใช่จะเป็นไปได้ง่ายๆ และรวดเร็ว จิรกาลภาวนาค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย khondeebkk  วันที่ 7 ต.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย Komsan  วันที่ 8 ต.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย paderm  วันที่ 8 ต.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

[เล่มที่ 39] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๙

อีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนจักษุแพทย์ เพราะทรงลอกพื้นชั้นโมหะออกได้แล้ว พระธรรมเปรียบเหมือนอุบายเครื่องลอกพื้น [ตา] พระสงฆ์ผู้มีพื้นชั้นตาอันลอกแล้ว ผู้มีดวงตาคือ ญาณอันสดใส เปรียบเหมือนชนที่ลอกพื้นตาแล้ว มีดวงตาสดใส. บอดเพราะความไม่รู้ อบรมปัญญาจนค่อยๆ ลอก ความไม่รู้ออกทีละเล็กละน้อย ค่อยๆ ตาสว่างขึ้น เพราะปัญญาทำให้สว่าง แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 12    โดย khondeebkk  วันที่ 27 ต.ค. 2551

ผมคิดว่าเมื่อได้ฟังพระสัทธรรม จึงรู้ว่าตัวเองตาบอดและ การได้ฟังพระสัทธรรมจึงรู้ว่ามีแสงสว่าง และก็ยังมีหนทางนำไปสู่แสงสว่างนั้น ชีวิตจึงค่อยๆ ดำเนินไปด้วยความอาจหาญร่าเริง (ต่อผลของกรรมและอกุศลวิบากต่างๆ ) เพราะรู้ว่าหนทางที่มั่นคงอยู่ข้างหน้า ผู้ที่ไม่ได้ยิน ได้ฟังและไม่ใส่ใจในพระสัทธรรม ก็ไม่รู้ว่าตัวเองตาบอด ก็ยังคงร่าเริงกับกิเลสต่างๆ นานาในความมืดสนิท

ขออนุโมทนากับกุศลจิตของทุกท่านครับ