ณ กาลครั้งหนึ่ง อ.สุจินต์ สนทนาธรรมกับชาวเวียดนาม ณ บ้านพักตากอากาศของคุณนภา จันทรางศุ ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ๗-๑๑ มิ.ย.๖๕
โดย วันชัย๒๕๐๔  18 มิ.ย. 2565
หัวข้อหมายเลข 43250

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๗-๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้เดินทางไปพักผ่อน ณ บ้านเพลินทะเล อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อสนทนาธรรม เป็นการส่วนตัว กับ คณะของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม ที่เดินทางมาจากประเทศเวียดนาม จำนวนทั้งสิ้น รวม ๑๘ ท่าน ณ อิสสระ วิลเลจ (Issara Village) บ้านพักตากอากาศของคุณนภา จันทรางศุ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี

ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา คณะของสหายธรรมชาวเวียดนาม ได้ทยอยกันเดินทางจากสนามบินเมืองฮานอย ดานัง และไซ่ง่อน มาถึงยังท่าอากาศยานนานานาชาติสุวรรณภูมิ โดยคุณแอ๊ว นภา จันทรางศุ ได้จัดรถตู้วีไอพีขนาด ๙ ที่นั่ง ไปรอรับที่สนามบิน พร้อมด้วยรถของคุณประกิต สามีของคุณแอ๊ว ซึ่งมีน้องตุ๊กตา หลานสาวคนสวยของคุณแอ๊วผู้มากฝีมือในการทำอาหารและการเรือนเฉกเช่นเดียวกับคุณแอ๊ว ไปคอยต้อนรับ พร้อมทั้งพี่เมตตา ชัยศรีโสภณกิจ และพี่จู กุสุมา โกมลกิติ สองพี่สาวผู้น่ารักและขยันในการเจริญกุศล ได้นำรถอีกหนึ่งคัน เพื่อมารับชาวคณะเวียดนาม เดินทางไปยังชะอำ ในเย็นวันนี้เลย

สำหรับข้าพเจ้าเอง ก็มีหน้าที่ไปคอยต้อนรับเพื่อนๆ ชาวเวียดนามด้วยเช่นกัน โดยได้รับคุณตั้มเล็ก (Ms. Nguyen Thanh Tam) และคุณท้าย (Mr. Tran Van Thai) พร้อมด้วยคุณใหม่ (Ms. Tran Thanh Mai) ที่เดินทางมาถึงหลังสุดในเวลาราวสองทุ่ม เพื่อไปพักค้างคืนที่บ้านข้าพเจ้า ก่อนที่จะร่วมเดินทางไปรับท่านอาจารย์และคุณป้าจี๊ด ไปยังชะอำ ในตอนเช้าของวันถัดมา

เช้าของวันอังคารที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ข้าพเจ้า พร้อมด้วยคุณใหม่ คุณท้าย และคุณตั้มเล็ก ออกเดินทางจากบ้านที่สายไหม เพื่อไปรับท่านอาจารย์และคุณป้าจี๊ด ที่บ้านของคุณป้าจี๊ดในซอยปรีดีพนมยงค์ ๒๖ สุขุมวิท ๗๑ เวลา ๙ โมงเช้า โดยมีนัดกับคุณแอ๊ว นภา จันทรางศุ (เจ้าภาพการสนทนาธรรมนอกสถานที่กับชาวต่างชาติครั้งแรก ภายหลังการได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ของโรคระบาดโควิด-๑๙ ที่มีมายาวนานกว่าสองปี เริ่มคลี่คลายลง) เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ณ บ้านอิสระ วิลเลจ ร่วมกับเพื่อนๆ ชาวเวียดนามที่เดินทางมาถึงก่อนหน้าแล้วเมื่อค่ำวานนี้ ระหว่างเดินทาง ท่านอาจารย์มีเมตตาพูดคุยถึงเรื่องราว ต่างๆ พร้อมกับได้สนทนาธรรมกับสหายธรรมเวียดนามทั้งสามท่าน เป็น ณ กาลครั้งหนึ่งของการเดินทางที่แสนจะอบอุ่น และอบอวลไปด้วยธรรม ทั้งเป็นขณะที่ ใครๆ ยากจะมีได้โดยง่ายในสังสารวัฏ หากมิได้เป็นผู้เคยได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน

เมื่อเดินทางถึงบ้านอิสระ วิลเลจ คุณตั้มบัค (Ms. Bach Thi Minh Tam) หรือที่พี่แดง-พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง (มาม่าแดง ของลูกๆ หลานๆ เวียดนาม) ให้สมญานามเธอว่า คุณสุจินต์ เวียดนาม ได้มายืนรอต้อนรับ พร้อมสหายธรรมท่านอื่นๆ เช่น คุณตู่ ขจีรัตน์ แก้วทานัง แห่งร้านข้าวเหนียวมะม่วงแม่นงนุชหัวหิน ผู้ขยันในการเจริญกุศลประการต่างๆ อีกท่านหนึ่ง ทั้งหมดได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์เข้ายังภายในบ้าน เพื่อรับประทานอาหารกลางวันที่ได้จัดเตรียมไว้ โดยมีคุณนภา จันทรางศุ และคุณประกิต สุดยอดของสามีที่แสนดีของคุณนภา ยืนรอต้อนรับ ณ ประตูทางเข้าทางด้านสวนสวย ที่ร่มเย็น สดชื่นด้วยพรรณไม้

การสนทนาธรรมกับชาวเวียดนามของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ คุณตู่ ขจีรัตน์ แก้วทานัง รับขันอาสาคุณแอ๊ว นภาจันทรางศุ เจ้าภาพผู้จัดการสนทนา เพื่อขอเจริญกุศลเป็นเจ้าภาพในการทำอาหารมื้อกลางวัน ทุกมื้อ เพื่อมาจัดเลี้ยงผู้เข้าร่วมสนทนาธรรมชาวเวียดนามทุกคน ตลอดการสนทนาธรรมทั้ง ๔ วัน กราบอนุโมทนาขอบพระคุณคุณตู่อย่างยิ่งครับ อาหารทุกชนิดที่คุณตู่นำมา ขอยืนยันว่า อร่อยทุกอย่างจริงๆ ทราบได้ถึงความตั้งใจ และความพิถีพิถันอย่างยิ่ง ในการคัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยม มาปรุงเป็นอาหารแต่ละจาน ตลอดจนรสชาติละเมียดละไมอย่างไทย ไม่เข้มข้นดุดันไปด้วยความเปรี้ยวจี๊ด หวานจ๋อย เค็มจัด จนตับไตต้องทำงานหนัก อย่างอาหารทั่วไปในสมัยนี้ชอบทำกัน ซึ่งได้ผันแปรเปลี่ยนไปจากความเป็นเอกลักษณ์ของรสชาติอาหารไทยดั้งเดิม ที่นับวันยากที่จะหาทานได้โดยง่ายเสียแล้วในสมัย จึงต้องกล่าวเพื่อบันทึกไว้ ด้วยความชื่นชมยินดี ที่คุณตู่เป็นผู้ลงมือปรุงอาหารด้วยรสมือของตัวเอง จากที่ได้สั่งสมประสบการณ์มาตลอดชีวิต กับโอกาสอันเลิศที่คุณตู่ได้ใช้ศิลปะวิทยาที่สะสมมานั้น ในการประกอบอาหาร เพื่อการเจริญมหากุศลในครั้งนี้ ซึ่งไม่เป็นการเกินเลย ที่จะกล่าวได้ถึงปานนั้นเลยทีเดียว

กล่าวถึงตอนนี้ ก็ใคร่ที่จะปรารภกับทุกๆ ท่าน ว่า "ณ กาลครั้งหนึ่ง" ตอนนี้ เนื่องจากเป็นการบันทึกจากการสนทนาธรรมในการสนทนาภาคภาษาอังกฤษ-เวียดนาม ซึ่งข้าพเจ้าไม่มีความสามารถในการถอดความบางตอนจากการสนทนา มาเพื่อประกอบกระทู้เหมือนเช่นเคยทำมาซึ่งเป็นการสนทนาภาคภาษาไทย จึงจะขอเพียงเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็นจากการสนทนา มาประกอบภาพ เพื่อบันทึกไว้เพียงเท่านั้น สำหรับความการสนทนาธรรม ข้าพเจ้าได้แนบลิงก์ยูทูปของการสนทนาในแต่ละวันไว้ให้แล้ว ในตอนท้ายของกระทู้ ซึ่งท่านที่สนใจ สามารถเปิดรับชมได้ ตลอดเวลา นะครับ รับรองว่า แม้ข้าพเจ้าจะไม่เข้าใจความการสนทนาโดยตลอด แต่ก็พอเข้าใจได้ว่า เป็นการสนทนาที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์มากๆ เพราะมีหัวข้อการสนทนาที่หลากหลาย จากสหายธรรมชาวเวียดนามแต่ละท่าน ซึ่งท่านอาจารย์เมตตามากๆ ที่ได้สนทนาโดยละเอียด ช้าๆ เข้าใจง่าย ทั้งหาฟังที่ไหนไม่ได้เด็ดขาด นอกจากบันทึกการสนทนาในครั้งนี้ ที่ได้แนบลิงก์ไว้ให้ท่านติดตามฟังได้โดยง่ายดายแล้ว เท่านั้น

และสำหรับท่านผู้ใหม่สำหรับกระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ของข้าพเจ้า ก็ขออย่าได้แปลกใจ ที่อ่านๆ ดูๆ ต่อๆ ไป อาจจะคิดว่า นี่เป็นกระทู้ชวนชิมอาหารไปเสีย ขอได้โปรดเข้าใจว่า ข้าพเจ้ามีเจตนาเพียงเพื่อกล่าวอนุโมทนาในกุศลศรัทธา ในความดีงามของท่านเหล่านั้น การจะถึงพร้อมซึ่งความสมบูรณ์ในหนทาง ย่อมมาจากบารมีทุกประการที่จะเจริญขึ้น มั่นคงขึ้นเป็นการอบรมเจริญบารมีทุกประการ ท่ามกลางอกุศลนานาประการในชีวิตประจำวัน ดังที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้เคยเมตตาปรารภไว้ ทั้งไม่ลืมว่าแม้ "อกุศล ก็เป็นธรรม" ไม่ใช่เรา

สำหรับอาหารกลางวันที่คุณตู่ทำมา เท่าที่จำได้ วันแรกที่ไปถึง ก็มีเนื้อน้ำมันหอย ซึ่งปรุงจากเนื้อวัวชั้นดี หอม นุ่ม ละมุนลิ้นมาก (ขออภัยที่ต้องกล่าวว่า เลิกทานเนื้อมาหลายสิบปี แต่ตอนนี้ กลับมาใจแตกอีกครา เพราะเหตุที่คบคนทานเนื้อนั่นเอง สมดังคำโบราณว่า คบคนแบบใด ก็เป็นคนแบบนั้น และแม้ในพระสูตรก็มีกล่าวไว้ โดยนัยเดียวกันนี้ อยู่หลายที่) จานต่อไปก็เป็นฮ่อยจ๊อปูก้อนโตๆ ฝีมือของย่าน้อย ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักของคุณตู่ ใส่เนื้อปูแน่นๆ กรอบนอกนุ่มใน มีหลนปูแท้ๆ ที่คุณตู่จัดเต็ม ด้วยการใส่เนื้อปูชนิดไม่ยั้งมือ เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นหลนปู ที่มีเนื้อปูแน่นชาม ไม่ต้องเสียเวลาควานหาเนื้อปูก็ครานี้ เนื้อปูสด หวานหอมกลิ่นปู ดีแท้จริงๆ ครับ แกล้มด้วยผักสดนานาชนิดที่บรรจงจัดอย่างสวยงาม รวมถึงแกงเลียงกุ้งสดรสนิ่มนวลชวนฝัน แค่นี้ ก็ทำให้ชีวิตในขณะนั้น แสนจะสดชื่น ท่ามกลางมิตรภาพทางธรรม ที่แน่นแฟ้นขึ้นมาก ทันตาเห็น จริงๆ (ฮาาา)

ตบท้ายด้วย ข้าวเหนียวมะม่วงแม่นงนุชชื่อดัง ที่คุณตู่ เจ้าของร้านยอมรับว่า ร้างราการปอกมะม่วงให้เป็นริ้วสวยๆ ไปเสียนาน เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลา โดยได้เทรนลูกน้องหนุ่มน้อยชาวพม่า ซึ่งสามารถปอกได้สวยกว่าตัวเองไปแล้วในปัจจุบัน แต่กระนั้น ก็ไม่เสียชื่อยอดฝีมือเก่านะครับ ฝีมือปอกมะม่วงยี่สิบกว่าจาน รวดเร็ว ทันใจ (คนตั้งตารอรับประทาน) เรียบร้อย สวยงาม เป็นอันว่า สหายธรรมชาวเวียดนาม เพิ่งถึงหัวหินจริงๆ ก็เพราะได้รับประทานข้าวเหนียวมะม่วงร้านแม่นงนุชหัวหิน ข้าวเหนียวมะม่วงชื่อดังระดับตำนานของไทย จากฝีมือเจ้าของร้านมาเองจนหนำใจแล้วนั่นเองนะครับ ไม่มีบุญพอ ไม่ได้ทานจากฝีมือเจ้าของร้านนะ จะบอกให้ และที่ว่าคุณตู่เธอไม่ค่อยว่างน่ะ ไม่ใช่อะไรครับ ข้าพเจ้าไปหัวหินคราใด ก็เห็นเธอง่วนอยู่กับการนำแบงค์เทา แบงค์ม่วง เข้าเครื่องล้างธนบัตร เพื่อฆ่าเชื้อโควิด ซึ่งมีอยู่หลายเครื่อง แล้วนำออกแขวนผึ่งพัดลมให้แห้งก่อนนับเก็บ จนแน่ใจว่าปลอดเชื้อโควิด (ซึ่งเธอก็ติดจนได้นะ ฮาาาาาาา)

หลังการรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ คุณแอ๊วและคุณประกิต ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์และคุณป้าจี๊ด ยังที่พัก ณ คอนโดบ้านเพลินทะเล ซึ่งอยู่ติดทะเล ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว จาก บ้านอิสระ วิลเลจ เพื่อพักผ่อน ก่อนการสนทนาธรรมวันแรกในช่วงบ่าย ซึ่งครั้งนี้เป็นการสนทนาธรรมนอกสถานที่ครั้งแรกของท่านอาจารย์กับกลุ่มสนทนาชาวต่างชาติ ที่มีการสนทนาในประเทศไทย ภายหลังจากวิกฤตของโรคโควิด-๑๙ ดังได้กล่าวแล้ว ซึ่งพอถึงที่พัก ท่านอาจารย์มองเห็นวิวสวยงามที่ปรากฏด้านหน้าของห้องพัก ท่านก็กล่าวว่า "ไม่ได้เห็นภูเขามานานแล้ว"

พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๔๐๑

ว่าด้วยบริษัทที่แยกเป็นพวก และ ที่สามัคคีกัน

[๒๘๘] ๔๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ บริษัทที่แยกออกเป็นพวก ๑ บริษัทที่สามัคคีกัน ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทที่แยกออกเป็นพวก เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบริษัทใดในธรรมวินัยนี้ มีภิกษุหมายมั่นทะเลาะวิวาทกัน ต่างเอาหอก คือปากทิ่มแทงกันและกันอยู่ บริษัทเช่นนี้ เรียกว่าบริษัทที่แยกกันเป็นพวก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทที่สามัคคีกัน เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บริษัทใดในธรรมวินัยนี้ มีภิกษุพร้อมเพรียงกัน ชื่นชมกันไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ ต่างมองดูกันและกันด้วยนัยน์ตาเป็นที่รักอยู่บริษัทเช่นนี้ เรียกว่าบริษัทที่สามัคคีกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๒ จำพวกนี้แล บรรดาบริษัท ๒ จำพวกนี้ บริษัทที่สามัคคีกันเป็นเลิศ.

ความเป็นมาของการเดินทางไปพักผ่อนและสนทนาธรรมกับคณะของชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม ที่บ้านพักตากอากาศของคุณแอ๊ว นภา จันทรางศุ ที่ชะอำ ในครั้งนี้ มีเหตุสืบเนื่องมากจากที่ เมื่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ในช่วงระยะเวลา ๒ ปีกว่า ที่ผ่านมา ทำให้การพบปะและสนทนาธรรม ระหว่างท่านอาจารย์และทุกๆ ท่าน ถูกระงับลงไปชั่วคราว มีเพียงการสนทนาธรรมออนไลน์เท่านั้น ที่เกิดขึ้นและมีการพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมต่อมา ซึ่งก็กลายเป็นประโยชน์มาก (วิกฤตเป็นโอกาส) สำหรับผู้สนใจศึกษาธรรม ไม่เพียงเฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ยังสามารถได้รับโอกาสในการฟังและร่วมสนทนาในแต่ละครั้งของการถ่ายทอดสดทุกครั้ง ได้อีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น การสนทนาธรรมออนไลน์ทุกครั้ง ยังถูกบันทึกไว้เป็นการถาวรอยู่ในยูทูป ซึ่งจะเป็นความสะดวก และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่เพียงเฉพาะผู้สนใจในปัจจุบัน ที่จะมีโอกาสติดตามรับฟังได้ในภายหลัง ซึ่งจะสามารถฟังซ้ำๆ กี่ครั้งก็ได้ ตามที่ต้องการ แม้ผู้คนที่ได้เคยสะสมความเข้าใจธรรมมาแต่ปางก่อน แต่ยังหาหนทางไม่พบ ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะอยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใดในโลก เมื่อถึงวาระ ถึงกาล พร้อมด้วยเหตุและปัจจัยที่จะค้นหา เพื่อที่จะได้ฟังและเข้าใจความจริงแท้ของชีวิต เขาเหล่านั้นจะสามารถสืบค้นและพบได้โดยง่าย นี้จึงเป็นสาระประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ควรค่าแก่การยินดีและอนุโมทนาสำหรับทุกๆ ท่าน ที่ได้มีส่วนร่วมในการเผยแพร่คำสอนของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ดังกล่าว

(คุณแอ๊ว เธอทำเนื้อตุ๋น ยำปลาดุกฟู และผัดผัก สำหรับมื้อค่ำของทุกคน ท่านที่เคยรับประทานอาหารจากฝีมือของคุณแอ๊ว หรือได้ยินคำร่ำลือมาถึงความสามารถในการทำอาหารของเธอ แค่เห็นเพียงภาพ ก็น่าจะทราบถึงความอร่อยเลิศที่มี โดยไม่ต้องบรรยายนะครับ)

ขอกล่าวถึงเหตุที่มาของการสนทนาธรรมในครั้งนี้ต่อ ว่า ด้วยผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙ ดังกล่าว ทำให้ไม่เพียงเฉพาะแต่สหายธรรมชาวไทยเท่านั้น ที่ ขาดการพบปะและสนทนาธรรม โดยตรงกับ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างที่เคยเป็นมา สหายธรรมต่างชาติ เช่น ที่ประเทศเวียดนาม ที่โดยปรกติ ท่านอาจารย์จะเมตตา รับเชิญเพื่อเดินทางไปสนทนาธรรม ณ ประเทศเวียดนาม ปีละ อย่างน้อย หนึ่งถึงสองครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็ได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วย

วันที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ คุณแอ๊วเธอจัดข้าวต้มปลากระพง ที่ทั้งสดและอร่อยมากๆ สำหรับเช้าวันแรกก่อนการสนทนาธรรม เธอเตรียมปลากระพงชิ้นใหญ่ (มากกกก) ซึ่งเธอไปซื้อหามาจากตลาดตรอกหม้อ หลังกระทรวงมหาดไทย ที่เธอและคุณแม่ของเธอจ่ายตลาดอยู่ที่นี่เป็นประจำ เธอจงใจหั่นปลากระพงชิ้นโตๆ ทำข้าวต้มมื้อพิเศษนี้ ขอบอกจากใจว่า ข้าวต้มปลากระพงร้านหน้าหมู่บ้าน ที่คุณภริยาของข้าพเจ้าเพิ่งซื้อมาให้รับประทานเมื่อวันก่อนที่จะเดินทางมาชะอำ ราคาชามละแปดสิบบาท มีเนื้อปลากกระพงที่แล่บางๆ จากปลาตัวเล็ก (ปลากระพงเลี้ยง) ที่ปรกติใช้นึ่งซีอิ๊ว เพียงไม่กี่ชิ้น แต่นี่ เป็นปลากระพงชิ้นโตๆ หนาๆ จากปลาทะเลตัวใหญ่ๆ เธอใส่มาจนแน่นชาม อร่อยเวอร์ จริงๆ พูดถึงตอนนี้ ก็นึกถึงปลาต้มข้าว (ย้ำว่า ปลา-ต้ม-ข้าว) ของพี่หมอทวีป ถูกจิตร ของผมขึ้นมาทันใด รักพี่หมอมาก ก็จากหอยทอดพันล้าน ที่ใครๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะร่ำรวยมั่งมีเงินทองมากมายสักเพียงไหน ก็หาทานหอยทอดพันล้าน ที่เต็มไปด้วยหอยแมลงภู่ตัวโตๆ ที่พี่หมอเจาะจงคัดมาจากเจ้าประจำด้วยตัวเอง และปลาต้มข้าวอย่างที่พี่หมอทำ ไม่ได้แน่นอน ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงพี่หมอนะครับนี่ (ฮาาาา)

ผลของความเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง ก่อให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญมั่นคงขึ้น ทั้งเป็นไปในการให้ที่แท้จริงและยิ่งใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่า การให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ธรรมทาน ซึ่งชนะการให้ทั้งปวง และต้องเป็นธรรมที่ถูกต้อง ตรงตามที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้เท่านั้น หาไม่แล้ว จะกลายเป็นยาพิษ ที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสังสารวัฏของผู้รับและผู้ให้ อย่างร้ายกาจที่สุด ชนิดที่ว่า แม้ตนเองก็ไม่รู้ เพราะมีความเห็นผิดที่สะสมมาจนมีกำลังมาก ย่อมทำร้าย และทำลายจิตของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก นั่นเอง ความไม่รู้และความเห็นผิด นี้น่ากลัวเกินกว่าที่ใครจะคิด ทั้งไม่รู้ด้วยว่าตนเองเป็นผู้ไม่รู้ ทำให้เป็นผู้ก่ออกุศลกรรมหนัก ที่จะยังผลแก่ตนอย่างน่าอนาถนัก

สำหรับมื้อกลางวัน ในวันนี้ คุณตู่จัดทำผัดไทกุ้งสด ข้าวเหนียวส้มตำ ไก่ทอด ดูภาพเธอลงมือตำส้มตำเอาเองนะครับ น่ารักน่าชังแค่ไหน ไม่ต้องอธิบาย

การสนทนาธรรมในภาคบ่ายของวันนี้ เนื่องจากเป็นบ่ายของวันพุธ ซึ่งโดยปรกติแล้ว จะเป็นรายการสนทนาธรรมออนไลน์ ในภาคภาษาอังกฤษ-เวียดนาม กับท่านอาจารย์ ซึ่งท่านเมตตาให้เวลาดังกล่าว แก่สหายธรรมชาวชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม เพื่อการสนทนาธรรมกับท่าน ในทุกๆ บ่ายของวันพุธ โดยต่อเนื่องมาดังกล่าวแล้ว

ในบ่ายของวันนี้ พวกเราจึงได้เห็นคุณซาร่า คุณโจนาธาน และสหายธรรมต่างชาติท่านอื่นๆ ที่เข้าร่วมสนทนาออนไลน์ด้วย ทำให้ท่านต่างๆ ที่อยู่ต่างประเทศ ได้เห็นบรรยากาศที่สดใส ของการสนทนาธรรมสดๆ จากชะอำ จนคุณเอ็ม วรศักดิ์ ราชตา เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ที่เดินทางมาเพื่อช่วยสนับสนุนงานทางด้านเครื่องเสียงสำหรับการสนทนา และการถ่ายทอดสดออนไลน์ ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น โดยคุณเอ็มบอกกับข้าพเจ้าว่า คุณซาร่า ถึงกับโทรมาถามว่า วันพรุ่งนี้จะมีการสนทนาออนไลน์กับเธออีกไหม เพราะเธอชอบที่ภาพและเสียงจากการถ่ายทอดสด มีความคมชัดและสวยงามมาก

เรื่องความพรั่งพร้อม สมบูรณ์ งดงาม ของการจัดการสนทนาธรรมนี้ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นบ่อยๆ ที่ในบางครั้ง แม้ท่านเจ้าภาพจะตั้งใจมาก ตระเตรียมทุกอย่างเป็นอย่างดี แต่เมื่อถึงเวลา ก็เกิดอุปสรรคนานาประการ เสียงไม่ได้ยินบ้าง ฝนตกหนักบ้าง อะไรต่อมิอะไร โลกนี้จึงเป็นที่ดูผลของบุญและบาป สมดังที่ทรงแสดงไว้ เมื่อเข้าใจถูกต้อง ย่อมเป็นผู้มั่นคงขึ้นที่จะน้อมไปสู่การทำดีทุกประการ

ขอย้อนกลับไปถึงเหตุที่มาของการสนทนาธรรมครั้งนี้ต่อนะครับ ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับคำปรารภเสมอๆ จากน้องๆ เพื่อนๆ ที่เป็นแกนนำของชาวสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม ในทุกครั้งที่ได้มีการสนทนากัน ว่า ทุกคนมีความคิดถึงท่านอาจารย์เป็นอย่างมาก และอยากที่จะเดินทางมากราบเยี่ยมท่านอาจารย์ และมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับท่าน

จนครั้งหลังสุด เมื่อประมาณกลางเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับวีดีโอคอล จาก คุณตั้มเล็ก (Ms. Nguyen Thanh Tam) โดยมีคุณตั้ม บัค (Ms. Bach Thi Minh Tam) หรือที่พี่แดง (พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง) ให้สมญานามเธอว่า คุณสุจินต์ เวียดนาม พร้อมด้วยคณะแกนนำบ้านธัมมะเวียดนาม คือ คุณใหม่ (Ms. Tran Thanh Mai) คุณหั่ง (Ms. Nguyen Thi Minh Hang) คุณไฮ (Ms.Tran Thi Hai) และ คุณท้าย (Mr. Tran Van Thai) ซึ่งอยู่พร้อมหน้ากัน ที่ An Villa วิลล่าเล็กๆ ณ เมืองฮอยอัน ประเทศเวียดนาม ที่ เขาทั้งหมดเป็นหุ้นส่วนร่วมกันสร้างขึ้น ซึ่งท่านอาจารย์ ได้เมตตาเดินทางไปเป็นประธานใน พิธีเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๐ ภายหลังเสร็จจากที่สิ้นภารกิจการสนทนาธรรม ณ เมืองไซ่ง่อน ระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม ถึงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๐ ทั้งหมด ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้า ไปกราบเรียนขอความเมตตาจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อขอเดินทางมากราบเยี่ยม และขอโอกาสในการสนทนาธรรมกับท่านด้วย

หลังจากที่ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านอาจารย์ ซึ่งท่านเมตตาว่า เดือนมิถุนายน ท่านมีเวลาว่าง ให้เลือกวัน ได้เลย คุณแอ๊ว นภา จันทรางศุ ซึ่งอยู่ในกลุ่มติดต่อสนทนาระหว่างเรา ก็อาสารับเป็นเจ้าภาพเพื่อจัดการสนทนาธรรมครั้งนี้ในทันทีที่เธอทราบเรื่อง ซึ่งเธอเห็นว่า การพบท่านอาจารย์และสนทนาธรรมในครั้งนี้ ควรที่จะเป็นช่วงเวลาที่สบายๆ ในสถานที่ สบายๆ และเป็นส่วนตัว เพื่อการพักผ่อนและสนทนาธรรมที่จะเป็นที่ประทับใจสำหรับทุกๆ คน

เมื่อได้รับทราบกำหนดการการเดินทางมาที่แน่นอนแล้ว ซึ่งแต่แรก ทางเวียดนามแจ้งว่า จะมีผู้ร่วมเดินทางเพียงไม่เกิน ๗ ท่าน แต่ต่อมา ก็แจ้งเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เป็น ๑๒ ท่าน ๑๖ ท่าน และท้ายที่สุดก่อนวันเดินทางมา ก็ขอเพิ่มเป็น ๑๘ ท่าน ในที่สุด ซึ่งทุกครั้งที่แจ้งเพิ่มมา ก็ได้รับคำตอบจากทั้งคุณแอ๊วและคุณประกิตว่า ด้วยความยินดีและไม่ต้องเป็นห่วงกังวลใดๆ ในเรื่องการเตรียมความพร้อมในการต้อนรับ ซึ่งการทั้งหลายได้ถูกดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วยความรวดเร็วและใส่ใจยิ่งของคุณแอ๊วตั้งแต่เริ่มแรก จนตลอดมา ทั้งการวางแผนการเดินทาง รถรับส่ง ที่พัก อาหารการกิน ที่นอน หมอน ตลอดจนการจัดเตรียมความพร้อมของสถานที่เพื่อการสนทนาธรรม ซึ่งทราบว่า คุณแอ๊วเธอดำเนินการให้ผู้บริการอินเทอร์เน็ต มาติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อรองรับการใช้งานของเพื่อนๆ สหายธรรมเวียดนาม และการถ่ายทอดสดออนไลน์ ที่อาจมีขึ้น เนื่องจากชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม จะทำการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศเวียดนาม และทั่วโลก ทุกครั้งที่มีการสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์และแม้การสนทนาธรรมของชมรมบ้านธัมมะเวียดนามเองด้วย ซึ่งครั้งนี้ การถ่ายทอดสด มีความชัดเจน ทั้งภาพและเสียง เนื่องจากมีแสงธรรมชาติ ที่ส่องสว่างเข้ามาในบ้านตลอดวัน แน่นอนว่าความสมบูรณ์พร้อมดังกล่าว จะขาดความสามารถยอดเยี่ยมของคุณเอ็ม วรศักดิ์ ราชตา ที่กรุณามาดำเนินการให้ ไม่ได้เลย นอกจากนั้น คุณประกิต สามีของคุณแอ๊วยังตระเตรียมความพร้อมเรื่องปลั๊กไฟ แสงไฟ ตามจุดต่างๆ รอบบ้านและในบ้าน ซึ่งทราบว่าคุณประกิตได้ทำการติดตั้ง เดินสายไฟและปลั๊กไฟ เพิ่มเติมตามจุดต่างๆ นั้น ด้วยตัวเอง ทั้งมีการว่าจ้างให้ช่างเหล็กมาทำเสาเพื่อขึงผ้าใบกันแดดหน้าบ้าน สำหรับงานการครัวนอกบ้านและกันแดดหน้าบ้าน เพื่อความร่มเย็นของทุกคนในการนี้อีกด้วย

เช้าของวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นวันที่ ๓ ของการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ทางสหายธรรมชาวเวียดนาม ได้ขอให้ท่านอาจารย์แต่งชุดอ๋าวได่ (Ao๋ Dai) ซึ่งเป็นชุดแต่งกายประจำชาติของชาวเวียดนาม ที่ทางสหายธรรมจากบ้านธัมมะเวียดนาม ได้ติดต่อผ่านทางคุณนภา มาแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อขอให้วัดขนาดของเสื้อผ้าที่ท่านอาจารย์สวมใส่ เพื่อจะนำไปตัดเย็บชุดอ๋าวได่ ส่งมามอบให้ท่านอาจารย์ ซึ่งข้าพเจ้าทราบว่า ทางเวียดนามได้ทำการตัดเย็บขึ้นจากผ้าไหมเนื้อละเอียดชั้นดีของเวียดนาม และส่งมาให้ท่านอาจารย์ จำนวนสองชุดด้วยกัน โดยชุดแรก ท่านอาจารย์ได้สวมใส่มาสนทนาธรรมแล้ว เมื่อวานนี้

และในวันนี้ พวกเราก็ได้เห็น สาวๆ ชาวชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม สวมใส่ชุดอ๋าวได่ที่มีสีสันสดใส และสุดสวย โดยพร้อมเพรียงกันแต่เช้า เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของไม่เพียงข้าพเจ้า คุณเอ็ม วรศักดิ์ พี่เมตตา พี่จู และน้องตุ๊กตา เท่านั้น แต่ทั้งเจ้าหน้าที่หญิงชายของคอนโดบ้านเพลินทะเล และแม้กระทั่งคุณลุงยามหน้าคอนโดที่มีร่างตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยกว่าข้าพเจ้าเล็กน้อย (ฮี่ๆ) ซึ่งคอยวิ่งด้วยท่าทางที่กุลีกุจอ น่ารักมากๆ เพื่อเลื่อนรั้วกั้นหน้าคอนโดให้ข้าพเจ้า ซึ่งขับรถเพื่อรับส่งท่านอาจารย์วันละ ๖ รอบ (คือ เช้าหนึ่งรอบสำหรับอาหารเช้าของท่านอาจารย์และคุณป้าจี๊ด หนึ่งรอบสำหรับไปรับท่านมายังที่สนทนา กลางวันสองรอบ คือ หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ เพื่อนำท่านกลับห้องพักผ่อน และอีกรอบหนึ่ง เพื่อรับท่านมาสนทนาในภาคบ่าย กับ เย็นอีกสองรอบ คือ หลังจบการสนทนา หนึ่งรอบ และนำอาหารเย็นไปให้คุณป้าจี๊ด อีกหนึ่งรอบ) โดยคุณลุงยามถึงกับตะลึง ตึงๆ ที่ไม่เคยได้เห็นความงดงามเช่นนี้มาก่อน

อนึ่ง มีข้อผิดพลาดที่ควรจะบันทึกไว้ ณ ที่นี้ ด้วยประการหนึ่ง และอยากจะแชร์ความผิดพลาดนี้ ให้ทุกท่านได้รับทราบ กล่าวคือ เมื่อข้าพเจ้ากราบเรียนท่านอาจารย์ว่า คุณเอ็ม วรศักดิ์ จะเดินทางมาเพื่อช่วยในการจัดการเรื่องของเครื่องเสียงสำหรับการสนทนาธรรม ท่านอาจารย์ก็ได้ปรารภกับข้าพเจ้าว่า การสนทนาธรรมที่จัดเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ หากจะมีเจ้าหน้าที่ ของ มศพ. ท่านใด มาช่วยงาน ทางเจ้าภาพผู้ดำเนินงาน ต้องแจ้งทางมูลนิธิฯ ผ่านทางท่านพลตรี ดร.วีระ พลวัฒน์ กรรมการและเลขานุการ มศพ. หรือ อาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ เพื่อขอความอนุเคราะห์ ในการจัดเจ้าหน้าที่ พร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็น ที่จะมาช่วยงาน ก่อนทุกครั้ง ซึ่งข้าพเจ้าและคุณแอ๊วก็กราบเท้าท่าน สำนึกในความผิดพลาดนี้ และรับใส่เกล้าว่า จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึง การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยข้อต่างๆ ขึ้น ภายหลังจากที่ได้เกิดมีปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการประพฤติที่ไม่สมควร ของภิกษุ

อนึ่ง คอนโดบ้านเพลินทะเล อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ของคุณแอ๊ว ที่เธอจัดให้เพื่อนๆ ชาวเวียดนามและท่านอาจารย์พักนี้ เป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ติดทะเล และอยู่ไม่ห่างจากบ้านพักตากอากาศ อิสระ วิลเลจ ของคุณแอ๊ว ซึ่งในปัจจุบัน เป็นบ้านที่เธอและครอบครัวใช้เวลาส่วนมากมาอาศัยอยู่ที่นี่ ตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีเพียงบางคราวเท่านั้นที่ต้องเดินทางเข้าไปทำธุระและอยู่บ้านที่กรุงเทพ

โดยบ้านอิสระ วิลเลจ ที่จะใช้เป็นทั้งที่สนทนาธรรม และที่รับประทานอาหารทุกมื้อ ตลอดระยะเวลา ๔ วันเต็ม สำหรับทุกท่านที่มาร่วมสนทนาธรรมในครั้งนี้ มีระยะทางเพียงเดินไม่กี่ก้าว จากคอนโด บ้านเพลินทะเล คอนโดติดทะเล ของคุณแอ๊ว ซึ่งได้จัดเป็นที่พักสำหรับท่านอาจารย์และคุณป้าจี๊ด ห้องหนึ่ง และอีกห้องหนึ่งบนชั้นเดียวกัน จัดไว้ สำหรับสหายธรรมเวียดนามผู้ชาย ๗ ท่าน และ อีกยูนิตหนึ่ง ซึ่งมี ๒ ห้องนอน และห้องนั่งเล่น สำหรับสหายธรรมเวียดนามผู้หญิง จำนวน ๑๑ ท่าน

ขอปรารภท่านผู้อ่านอีกครั้งว่า กระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้ แตกต่างจากครั้งก่อนๆ โดยข้าพเจ้าตั้งใจที่จะบรรยายเรื่องสัพเพเหระ ของการที่กว่าจะมีการเกิดขึ้นของการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ขณะสนทนาธรรม และ เหตุการณ์บางขณะ ในเวลานั้น บันทึกไว้เป็นของแถมด้วย แทนที่จะเป็นข้อความธรรมะ ประกอบกับภาพที่ได้บันทึกไว้ ตามที่เคยเป็นมา เหตุหนึ่ง ก็ต้องขอความเห็นใจว่า การสนทนาธรรมครั้งนี้ มีเวลาต่อเนื่องถึง ๔ วัน ภาพแห่งความประทับใจที่ข้าพเจ้าบันทึกไว้ มีมากจริงๆ จึงต้องเล่าเรื่องเสียละเอียดละออ เพื่อประวิงเวลาในการสอดแทรกภาพให้ท่านได้ดู และเพื่อบันทึกไว้ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ก็เท่านั้น และโดยตั้งใจว่าจะทำให้จบภายในกระทู้เดียว ซึ่งหมายความว่า กระทู้นี้ จะมีความยาวมาก จนท่านอาจจะสงสัยว่า เมื่อไหร่จะจบ (เสียที) นะครับ

อีกประการหนึ่ง ภาพทั้งหลายที่นำมาบันทึกไว้ เพื่อเตือนใจและไม่ลืมว่า ชีวิตของผู้ศึกษาและเข้าใจธรรมะ ย่อมมีชีวิตที่เป็นปรกติ ตามการสะสมที่ได้สะสมมา (เช่นที่ข้าพเจ้าชอบบันทึกภาพมากมายในการสนทนาแต่ละครั้ง และไม่ยอมลบทิ้งโดยง่าย แม้มีภาพซ้ำๆ ที่บันทึกไว้ขณะใกล้ๆ กัน) ผู้ศึกษาและเข้าใจธัมมะ ย่อมเป็นผู้ไม่มีชีวิตที่ผิดไปจากปกติที่เคยเป็นมา ที่ต้องไปพยายามทำสิ่งใดขึ้นมาให้ผิดแผกไปจากชีวิตเดิมๆ หรือพยายามทำตัวให้เป็นคนดี ด้วยความเป็นเรา เป็นตัวเราที่ดี ที่อยากดี ให้ผู้อื่นเห็นว่าตนดีขึ้นแล้ว (นะ) เพราะเป็นผู้ศึกษาธรรม

แต่เมื่อได้เข้าใจธรรมะถูกต้อง ย่อมเป็นผู้ที่รู้ว่า ความไม่ดีทั้งหมดนั้น จะถูกขัดเกลาให้ดีขึ้นได้ ก็ด้วยกำลังของปัญญา ความเข้าใจที่ถูกต้องเท่านั้น ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของปัญญาที่เกิดขึ้นทำกิจขัดเกลากิเลสอกุศลประการต่างๆ ด้วยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่หน้าที่ของ "เรา" ที่จะไปพยายามทำ ด้วยความเป็นตัวตน ดังได้กล่าวแล้ว ธรรมะยากและลึกซึ้งยิ่ง แม้เมื่อกล่าวอยู่อย่างนี้ ก็ยากที่จะเข้าใจในความลึกซึ้ง แสนยากนั้นได้โดยง่าย จะเข้าใจได้ ก็เพียงตามระดับกำลังของปัญญา ที่แต่ละท่านได้สะสมมา ไม่เข้าใจผิดและคิดเอง ว่าธรรมะที่ทรงแสดง จะเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ แต่เป็นผู้ฟังและเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง เท่านั้น

หนทางของการศึกษาธรรมะที่ถูกต้อง จึงไม่ใช่เป็นการศึกษาเพื่อการแข่งดี อวดดี แข่งเก่ง หรืออวดเก่ง หรือพยายามทำตัวเป็นคนดี ดังที่กล่าวมาแต่ประการใดไม่ และไม่ใช่การทำอะไรไปตามอำเภอใจด้วยเช่นกัน เพราะหากเป็นเช่นว่า ก็พากันหลงทาง ออกทะเล ไปแสนไกล ไม่มีทางเข้าสู่ทางสายกลาง ทางสายเอก ของการมีสติระลึกรู้สภาพธรรม ที่กำลังเกิดขึ้นและดับไปในทุกๆ ขณะนี้ ตามปรกติ ตามความเป็นจริง ตามที่ทรงตรัสรู้และมีพระมหากรุณาทรงแสดงไว้ ให้ผู้ที่มีความเห็นถูก เข้าใจถูก ได้เดินตามรอยพระบาทนั้นได้เลย อย่างแน่นอนที่สุด

ความไม่รู้ ความเป็นเรา ความมานะสำคัญตน ต่างๆ เหล่านี้ ย่อมนำพาให้บุคคลมีความเข้าใจผิด เห็นผิด ซึ่งจะก่อให้เกิดผลอย่างร้ายกาจนัก ต่อหนทางของการอบรมเจริญปัญญา ที่มีความยาก ละเอียด และลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ใช่ง่ายๆ อย่างที่ใครๆ คิด

หลังจบการสนทนาในช่วงเช้า สหายธรรมจากบ้านธัมมะเวียดนาม ได้ร่วมกัน มอบของที่ระลึกแด่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นภาพเมื่อครั้งที่ท่านอาจารย์เดินทางไปนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่ประเทศศรีลังกา ซึ่งทางบ้านธัมมะเวียดนาม ได้ว่าจ้างศิลปินชื่อดัง ให้ วาดภาพดังกล่าวด้วยสีอะคริลิค ลงบนผืนผ้าไหมทอละเอียด อันเป็นศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเวียดนาม ที่มีความสวยสดงดงามมาก ทั้งมีหนังสือรับรองจากศิลปินผู้วาดภาพดังกล่าว แนบมาให้อีกด้วย เป็นภาพที่งดงามและมีคุณค่าทางใจ ทั้งแสดงถึงมิตรภาพ เวียดนามและไทย และความเคารพนับถืออย่างสูงยิ่งของสหายธรรมชาวเวียดนาม ที่มีต่อท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ซึ่งภาพนี้ ก่อนเดินทางกลับ ท่านอาจารย์ได้มอบให้คุณนภา จันทรางศุ ไว้เป็นที่ระลึก

นอกจากนี้ สหายธรรมชาวเวียดนาม ก็ได้มอบสร้อยคอที่ประดิษฐ์โดยชาวเวียดนามที่มีชื่อเสียง แด่คุณป้าจี๊ด เพราะรู้ว่าคุณป้าชื่นชอบสร้อยคอจากสถานที่ต่างๆ มากเป็นพิเศษ และมอบภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นรูปท่านอาจารย์ ที่มีต้นแบบจากภาพที่ข้าพเจ้าบันทึกไว้จาก การสนทนาธรรม ณ โรงแรมอิมพีเรียล พุทธคยา ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ แก่คุณนภา จันทรางศุ และมอบของฝากอื่นๆ ให้กับข้าพเจ้า คุณตู่ พี่จู พี่เมตตา น้องตุ๊กตา และยังฝากของฝากไปให้อาจารย์ มศพ. ทุกท่าน อีกด้วย

(ข้างบนคือภาพต้นฉบับ ที่ข้าพเจ้าบันทึกไว้ จาก การสนทนาธรรม ณ โรงแรมอิมพีเรียล พุทธคยา ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕)

อีกประการหนึ่ง การศึกษาธรรม ไม่ใช่การศึกษาเพื่อเปรียบเทียบความรู้ หรือความดีของตน กับใครๆ หรือเหยีดหยาม ดูแคลนใครๆ นั่นไม่ใช่ความเป็นมิตร เป็นเพื่อนที่แท้จริง ของผู้เข้าใจธรรม เพราะเมื่อบุคคลมีเข้าใจธรรมะถูกต้อง ย่อมเป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นผู้มีความเพียร และความอดทนอย่างยิ่ง ในการฟังและพิจารณาธรรม ศึกษาธรรมต่อๆ ไป ให้เข้าใจถูกต้องมั่นคงขึ้นๆ ด้วยความอาจหาญ ร่าเริง เพราะเข้าใจมั่นคงขึ้น ว่า ทุกขณะ ทั้งหมด ในชีวิต เป็นแต่ธรรม ไม่ใช่เรา ทั้งเป็นผู้บอกกล่าว แสดง หนทางของความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้ผู้อื่นได้เข้าใจด้วย ด้วยความเป็นมิตร เป็นเพื่อน อย่างแท้จริง ด้วยความปรารถนาดี ด้วยจริงใจ เพราะความเห็นผิดในหนทาง ใพระธรรมคำสอน ที่ทรงแสดงไว้ เป็นอันตรายอย่างยิ่ง

อีกทั้งรู้ว่า เป็นหนทางของการอบรมเจริญปัญญา ที่เป็น จิรกาลภาวนา ยาวนานเกินกว่าจะมีความคาดหวังใดๆ ซึ่งหากยิ่งหวัง หนทางก็ยิ่งห่างไกลออกไปอีก ด้วยว่า ความหวังคือโลภะเพื่อนสนิทที่สุดที่อยู่ข้างกาย ไม่เคยห่างหายไปไหนเลย เมื่อเกิดขึ้นขณะใด ก็กั้นความเจริญขึ้นของปัญญาในแต่ละขณะๆ ที่เกิดมีความหวังขึ้น หากมีมากๆ บ่อยๆ ย่อมเป็นเหตุให้สังสารวัฏของบุคคลนั้น ยืดยาวออกไปมากขึ้นๆ ในทุกๆ ขณะ นั่นเอง

เหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าประวิงเวลาด้วยการเล่าความยืดยาวเช่นนี้ ก็คือ ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ไม่มีความสามารถที่จะถอดเทปการสนทนาภาษาอังกฤษที่มีการสนทนากันครั้งนี้ เพื่อนำลงประกอบภาพเช่นที่เคยทำมากับการสนทนาในภาคภาษาไทยได้ เพราะแม้เพียงแค่จะฟังให้เข้าใจ ผู้มีนามในชาตินี้ว่า วันชัย ภู่งาม ก็ยังงูๆ ปลาๆ (snake snake fish fish) แล้ว ประสาอะไรกับการจะถอดเทปคำสนทนาธรรมภาษาอังกฤษให้ท่านได้อ่านนั้น ลืมไปได้เลยนะครับ (ฮาาาาา)

สำหรับอาหารกลางวันวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ นั้น อยากจะกราบเรียนทุกท่านว่า เมื่อแรกได้เห็นคุณตู่นำมา ทั้งข้าพเจ้าและคุณแอ๊ว ต่างคิดตรงกันว่า อาหารมื้อนี้แสนจะหรูหรา เหมาะสมเหลือเกินกับวันที่สุดพิเศษและแสนจะประทับใจทุกคนเป็นที่สุดในวันนี้ คุณแอ๊วเธอกล่าวว่า เธอไม่เคยได้นัดกันหรือพูดคุยกับคุณตู่ ขจีรัตน์ แก้วทานัง เลยว่า อาหารอะไรจะเป็นมื้อไหน อย่างไร คุณแอ๊วเธอเคารพและให้เกียรติคุณตู่ ในการดำเนินการเองทั้งหมด ตามที่คุณตู่มีกุศลจิต คิดจะทำประการใด แล้วแต่คุณตู่ทั้งสิ้น กราบอนุโมทนายินดีในความดีของทั้งสองท่าน มา ณ ที่นี้ อีกครั้งนะครับ

"...การที่เกิดมาพบกันในแต่ละชาติ โดยสถานต่างๆ ในสังสารวัฏ การพบกันในชาติซึ่งได้เกื้อกูล เป็นมิตรกันในพระธรรม หรือว่ามีส่วนร่วมกันเผยแพร่พระธรรม ชาตินั้นก็ต้องเป็นชาติที่ประเสริฐสุดในสังสารวัฏ ยิ่งกว่าชาติอื่นๆ ..." (สุจินต์ บริหารวนเขตต์)

ที่กล่าวว่าอาหารกลางวันที่คุณตู่จัดมามื้อนี้ มีความหรูหรา เหมาะสมมาก ก็เพราะเหตุว่า คุณตู่ทำขนมจีนน้ำพริกปู ที่มีรสชาตินิ่มนวล ไม่หวานมาก เกิดมาก็เพิ่งเคยรับประทานน้ำพริกปูก็ครานี้ อร่อยขนาดไหน ดูได้จากภาพที่เพื่อนเวียดนามต้องใช้เส้นขนมจีนเช็ดน้ำพริกปูที่เหลือติดก้นชามใหญ่ที่ใส่เลยทีเดียว จานต่อไปเป็นยำรวมมิตรทะเล ที่มีรสชาตินิ่มนวลสดใส ไม่จี๊ดจ๊าด ฟาดงวงฟาดงา ดังที่ทำๆ กัน ต่อด้วยจานสุดหรูอีกจานหนึ่งคือ ยอดคะน้า เป๋าฮื้อ และเห็ดหอม เจี๋ยนน้ำมันหอย และปิดท้ายของคาว ด้วยของหวานที่ลูกหลานเวียดนามของพี่แดงตั้งตารอ คือ ข้าวเหนียวน้ำกะทิทุเรียน ที่คุณตู่ขอให้พี่เดือนฉายส่งทุเรียนมาให้จากปราจีนบุรี โดยตรง รสชาติดีมากครับ ส่วนข้าวเหนียวและน้ำกะทิของร้านแม่นงนุชนั้น ไม่ต้องโฆษณาอีกเป็นครั้งที่สองนะครับ ทั้งหมด เมื่อรวมกันเป็นข้าวเหนียวน้ำกะทิทุเรียน ใครได้ทานครานี้ แทบจะเหาะได้กันเลยทีเดียว (อร่อยเหาะไงครับ ฮี่ๆ)

เมื่อข้าพเจ้าได้พบกับพี่แดง พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง และ พี่สงบ รศ.สงบ เชื้อทอง เมื่อวานนี้ ตอนที่พี่แดงเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันที่ร้านนิตยาไก่ย่าง สาขาใหม่ใกล้บ้านข้าพเจ้า หลังจากที่ลูกๆ หลานๆ เวียดนามของพี่แดง ซึ่งได้เดินทางไปพักผ่อนต่อที่เกาะเต่า สุราษฎร์ธานี หลังการสนทนาธรรมจบลง และเดินทางกลับมากรุงเทพฯ เพื่อกลับเวียดนามในวันถัดไป ได้ขอให้ข้าพเจ้ากราบเรียนพี่ทั้งสองเพื่อลูกหลานเวียดนามจะขอมาเยี่ยม มาม่าแดง และปาป๊าสงบ ซึ่งเมื่อได้พบกัน พี่แดงก็กล่าวถึงการสนทนาธรรมครั้งนี้ กับข้าพเจ้าว่า หรูหรา เช่นกัน เพราะท่านคงได้เห็นจากภาพบางส่วนที่ข้าพเจ้าส่งให้ได้ชม

"...ผู้เคารพธรรม ย่อมประพฤติธรรม สมควรแก่ธรรม ผู้ไม่ประพฤติสมควรแก่ธรรม ย่อมเข้าใจผิด เมื่อเห็นผิด ย่อมปฏิบัติผิด (สีลัพพตปรมาสะ) ชื่อว่าไม่สมควร คือ ธรรมะมีปรากฏอยู่ ก็ไม่รู้จักว่าเป็นธรรมะ การเข้าใจสิ่งหนึ่ง เป็นอื่นไป เช่น เข้าใจว่า ให้เอกัคคตา (สมาธิ) เกิดกับจิต ที่มีอาการไม่รับรู้สภาวธรรมใดๆ ว่าเป็นการปฏิบัติ แล้วตัวตนก็จะยกจิตอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทั้งประพฤติไม่สมควร และผิดธรรม (อื่นจากธรรม) จากผิดไม่มั่นคง ก็ผิดมั่นคง ในที่สุด..." (คัดจาก ธรรมทัศนะ - ธรรมเตือนใจ)

"...ความสะอาด ย่อมไม่มีเพราะน้ำ แต่ชนเป็นอันมากยังอาบอยู่ในน้ำนี้ สัจจะและธรรมมีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นเป็นผู้สะอาดและเป็นพราหมณ์..."

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ หน้า ๑๑๙ ชฏิลสูตรที่ ๙

"...จริงอยู่ ความไม่รู้นั้นมีประเภทหลายอย่าง ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความไม่รู้ในการดับทุกข์ ความไม่รู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ท่านกล่าวว่า โมหะ เพราะอรรถว่าเป็นเหตุให้หลง หรือหลงไปเอง หรือเป็นเพียงความหลงเท่านั้น โมหะนั้นมีความที่จิตมืดเป็นลักษณะ หรือมีความไม่รู้เป็นลักษณะ มีความไม่แทงตลอดเป็นรส หรือมีความปกปิดสภาพอารมณ์เป็นรส มีการปฏิบัติหลงลืมเป็นอาการปรากฏหรือ ปรากฏมืดมัวเป็นอาการปรากฏ มีการไม่ใส่ใจเป็นปทัฏฐาน เป็นรากแห่งอกุศลทั้งหมด..."

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ หน้า ๘๔ โมหสูตรที่ ๓

"...เริ่มตั้งแต่การฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ทุกวันนี้อยู่ที่ไหนก็ฟังได้เมื่อเข้าใจถูกต้อง การเจริญสมถภาวนาและการเจริญวิปัสสนาในชีวิตประจำวันของเพศคฤหัสถ์ ก็เจริญได้ เช่น การระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ระลึกถึงจาคะ ศีล ความตาย เมตตา เป็นต้น เหล่านี้เป็นการเจริญความสงบในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องหลีกหนีหน้าที่การงานและสังคม ส่วนการเจริญสติปัฏฐาน คือ การที่สติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อยู่ที่ไหนอารมณ์ใดก็ระลึกรู้ได้ ถ้าเข้าใจธรรมะ เพราะธรรมะมีอยู่ทุกขณะทุกอย่างเป็นเพียงธรรมะอย่างหนึ่งเท่านั้น..." (คัดจาก ธรรมทัศนะ - ธรรมเตือนใจ)

"...การแสดงออกเพื่อส่วนรวม เพื่อความถูกต้อง และเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ดี แต่เราต้องรักษาจิตของเราไม่ให้เศร้าหมอง และคำพูดที่กล่าวออกไป ควรระมัดระวัง ไม่ควรให้เป็นวจีทุจริต หรือ อกุศลกรรมบถ เช่น วาจาส่อเสียด วาจาหยาบคาย เป็นต้น คือพูดแต่พอเหมาะ และข้อมูลที่เป็นจริง ไม่หยาบคายหรือทำลายคนอื่น สำหรับคนที่กระทำไม่ดีนั้น เราควรสงสารเขามากกว่า เพราะเขากระทำเหตุแห่งความทุกข์ของเขา เมื่ออกุศลกรรมนั้นให้ผล เขาย่อมประสบทุกข์เป็นอันมาก คือ เกิดความกรุณาในตัวผู้ทำชั่ว หรือพิจาณาโดยความที่สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรมของตนๆ ใครทำอย่างไร ย่อมได้รับผลอย่างนั้น วางอุเบกขาบ้าง จิตของเราย่อมไม่เศร้าหมองตามอกุศลของผู้อื่น..." (คัดจาก ธรรมทัศนะ - ธรรมเตือนใจ)

"... [๑๑๘๓] ท่านผู้รู้กล่าวทานกับการรบว่า มีสภาพเสมอกัน นักรบแม้จะมีน้อย ก็ชนะคนมากได้ เจตนาเครื่องบริจาคก็เหมือนกัน แม้จะน้อย ย่อมชนะหมู่กิเลสแม้มากได้ ถ้าบุคคลเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม ย่อมให้ทานแม้น้อย เขาก็เป็นสุขในโลกหน้า เพราะการบริจาคมีประมาณน้อยนั้น..."

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้าที่ 571 อาทิตตชาดก

... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ...

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทานมิใช่จักมีผลมาก ด้วยการถึงพร้อมแห่งไทยธรรมอย่างเดียว ที่แท้ทานจักมีผลมาก ก็ด้วยความถึงพร้อมแห่งจิตที่เลื่อมใส และด้วยความถึงพร้อมแห่งเขต (ทักขิไณยบุคคล)

เพราะฉะนั้น ทานวัตถุเพียงสักข้าวกำมือหนึ่งก็ดี เพียงผ้าเก่าผืนหนึ่งก็ดี เพียงเครื่องลาดทำด้วยหญ้าก็ดี เพียงเครื่องลาดทำด้วยใบไม้ก็ดี เพียงสมอดองน้ำมูตรเน่าก็ดี บุคคลมีจิตเลื่อมใสแล้ว ตั้งไว้ในทักขิไณยบุคคล ทานแม้นั้นก็จักมีผลมาก รุ่งเรืองมาก แผ่ไพศาลมากดังนี้

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ หน้าที่ ๙ ปีฐวรรควรรณนา ที่ ๑ อรรถกถาปฐมปีฐวิมาน

การอบรมเจริญปัญญา อุปมาเหมือนการจับด้ามมีด

[๒๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รอยนิ้วมือ หรือรอยหัวแม่มือของช่างไม้ หรือลูกมือของช่างไม้ ย่อมปรากฏบนด้ามมีดให้เห็น แต่ว่าช่างไม้ หรือลูกมือของช่างไม้นั้นหารู้ไม่ว่า วันนี้ด้ามมีดของเราสึกไปเท่านี้ วานนี้สึกไปเท่านี้ วานซืนนี้สึกไปเท่านี้ มีความรู้แต่เพียงว่า ด้ามมีดนั้นสึกๆ แม้ฉันใด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบเนืองๆ ซึ่งภาวนานุโยคอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่มีความรู้อย่างนี้ว่า วันนี้ อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปเท่านี้ วานนี้สิ้นไปเท่านี้ วานซืนนี้สิ้นไปเท่านี้ ก็จริง แต่เธอก็รู้ว่าสิ้นไปแล้วๆ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 350 ๙. นาวาสูตร ว่าด้วยความสิ้น และไม่สิ้นไปแห่งอาสวะ

ผู้ที่กล่าวว่า พระอภิธรรมไม่ใช่พระพุทธพจน์ หรือ กล่าวว่าไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้นั้นชื่อว่ากล่าวตู่พระพุทธเจ้า คัดค้านพระญาณของพระพุทธเจ้า ดังข้อความที่อรรถกถากล่าวไว้ในพระภิธรรมปิฎก

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ 63

ผู้คัดค้านพระอภิธรรมชื่อว่า ทำลายชินจักร

บุคคลเมื่อคัดค้านพระอภิธรรม ชื่อว่า ย่อมให้การประหารในชินจักรนี้ ย่อมคัดค้านพระสัพพัญญุตญาณ ย่อมหมิ่นเวสารัชชญาณของพระศาสดา ย่อมขัดแย้งบริษัทผู้ต้องการฟัง ย่อมผูกเครื่องกั้นอริยมรรค จักปรากฏในเภทกรวัตถุ ๑๘ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ควรแก่อุเขปนิยกรรม นิยสกรรมตัชชนียกรรม เพราะทำกรรมนั้น จึงควรส่งเธอไปว่า เจ้าจงไป จงเป็นคนกินเดนเลี้ยงชีพเถิด ดังนี้.

วันที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นวันสุดท้ายของการสนทนาธรรมในครั้งนี้ คุณตู่ ได้ทำข้าวเกรียบปากหม้อ ปลาอังเกยสามรส ผัดผักรวม และ แกงส้มไหลบัวกุ้งสด และมีลอดช่องวัดเจษ เป็นของหวาน อร่อยแค่ไหน ดูภาพก็เข้าใจได้นะครับ และหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็มีสหายธรรมบางท่าน ได้ทยอยกันมากราบลาท่านอาจารย์ เพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพ เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับประเทศเวียดนามในวันรุ่งขึ้น

และแล้วก็มาถึงขณะสุดท้ายของการสนทนาธรรมในครั้งนี้ การทั้งหลายทั้งปวงได้สำเร็จเสร็จสิ้นลงไป ด้วยความเรียบร้อย งดงาม เป็นที่ประทับใจของทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเป็นตัวอย่างอันดี (มากๆ ) สำหรับเพื่อนๆ ชาวเวียดนาม ในการจัดการสนทนาธรรม ซึ่งถึงกับออกปากชื่นชมด้วยใจจริง แล้วๆ เล่าๆ ด้วยความประทับใจอย่างยิ่งในการต้อนรับที่อบอุ่น และเป็นกันเอง ตลอดเวลาที่ทุกคนอยู่ที่นี่ ซึ่งจะขาดทั้งสองท่านนี้ไม่ได้เลย คือ คุณนภา จันทรางศุ และคุณประกิต ผู้สามี ที่รับเอาภารกิจในการเป็นเจ้าภาพการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ด้วยความเต็มใจ ด้วยใจที่มั่นคง เต็มเปี่ยมไปด้วยการเจริญกุศลทุกประการเพื่อรับใช้พระศาสนา ตลอดมา แม้ในครั้งนี้

ท่านอาจารย์ได้กล่าวกับข้าพเจ้าบนรถหลายครั้ง ขณะที่พาท่านกลับไปส่งยังคอนโดบ้านเพลินทะเล ซึ่งระหว่างทาง (ที่มีระยะเพียงไม่ไกล นั้น) ขณะที่รถแล่นผ่านชาวเวียดนามที่กำลังเดินกลับไปยังคอนโดบ้านเพลินทะเล ซึ่งคุณแอ๊วเธอจัดไว้ให้เป็นที่พักเช่นกัน ท่านอาจารย์ก็กล่าวในทำนองที่ว่า ดีนะคะ ดูว่าทุกคนมีความสุขกับการได้อยู่ที่นี่มาก เพราะทุกอย่างมีความสะดวกสบาย เหมาะสมทุกประการ และบรรยากาศก็ดีมากๆ และเช่นกันกับคุณป้าจี๊ด ที่กล่าวชื่นชมและชื่นชอบถึงความสะดวกสบายทุกประการที่ได้มาพักผ่อนและสนทนาธรรมในครั้งนี้อยู่หลายครั้ง

ภารกิจของท่านอาจารย์ที่มีคุณค่ายิ่ง ต่อเพื่อนๆ ชาวเวียดนาม ตลอดจนผู้ที่ได้มีโอกาสได้รับฟังการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว ทุกขณะที่ล่วงไป หมดไป ไม่มีวันที่จะหวนกลับคืนมาได้อีก ในสังสารวัฏ ความมั่นคงขึ้นในการทำความดีทุกครั้ง ที่โอกาสของการได้ทำ ปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า โดยไม่รีรอว่า ไว้คราวอื่นเถิด คราวนี้เว้นไปก่อน คราวหน้ายังมี การละเลย "ขณะของโอกาสที่จะได้ทำความดี" เจริญกุศลประการต่างๆ ที่มีเหตุปัจจัยพร้อมเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแท้ๆ แต่กลับพ่ายแพ้ต่อกำลังของกิเลสและอกุศล ที่ตนสะสมมา ย่อมเป็นผู้เสียหายแล้วซึ่งโอกาส ที่จะได้สะสมเสบียงที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏ เพื่อเป็นปัจจัยให้หนทางที่แสนจะทุรกันดารยิ่งของตนนั้น สวยสดงดงาม และ มีความรื่นรมย์ อันบุคคลพึงพิสูจน์ได้ แม้จากผลของกุศลกรรม และอกุศลกรรม ประการต่างๆ ที่ได้รับแล้ว ในชาตินี้

พระศาสดาทรงตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า

"...นครํ ยถา ปจฺจนตํ คุตฺตํ สนฺตรพาหิรํ เอวํ โคเปถ อตฺตานํ ขโณ โว มา อุปจฺจคา ขณาตีตา หิ โสจนฺติ นิรยมฺหิ สมปฺปิตา..."

"...ท่านทั้งหลายควรรักษาตน เหมือนกับพวกมนุษย์ ป้องกันทั้งภายในและภายนอก ฉะนั้น ขณะอย่าเข้าไปล่วงท่านทั้งหลายเสีย เพราะว่า ชนทั้งหลายผู้ล่วงเสียซึ่งขณะ เป็นผู้เบียดเสียดกันในนรก เศร้าโศกอยู่..."

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 215

กราบแทบเท้าเพื่อบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดียิ่งในความดีของคุณนภา จันทรางศุ และคุณประกิต อ่องสร้อย
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่าน ครับ


ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรม ในครั้งนี้ ได้จากลิงก์ด้านล่าง :



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 18 มิ.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย namarupa  วันที่ 19 มิ.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย ไพรศรี  วันที่ 19 มิ.ย. 2565

อนุโมทนา สาธุครับ.


ความคิดเห็น 4    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 19 มิ.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย เมตตา  วันที่ 19 มิ.ย. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบยินดีในความดีของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย เมตตา  วันที่ 19 มิ.ย. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบยินดีในความดีของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย เมตตา  วันที่ 19 มิ.ย. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และกราบยินดีในความดีของน้องแอ๊ว และทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย Sea  วันที่ 19 มิ.ย. 2565

อ่านไปยิ้มไป เห็นภาพเลยค่ะ กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาธรรมะที่สอดแทรกในเนื้อหาที่เล่า เป็นประโยชน์มากๆ เลยค่ะ


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบอนุโมทนาในกุศลจิตพี่แอ๊ว รวมถึงเจ้าหน้าที่มศพ. และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย panasda  วันที่ 19 มิ.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย Pornkamol  วันที่ 19 มิ.ย. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ขออนุโมทนาสาธุในบุญด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย Selaruck  วันที่ 19 มิ.ย. 2565

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย petsin.90  วันที่ 20 มิ.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย nattawan  วันที่ 25 มิ.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย ปทุม  วันที่ 9 ก.ค. 2565

กราบขออนุโมทนาในกุศลของทุกท่านด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย muda muda  วันที่ 24 ก.ค. 2565

ชอบ และติดตาม กาลครั้งหนึ่งที่คุณทำตลอด ขออนุโมทนา สาธุ ในกุศลจิตที่ดีงามของทุกท่าน ค่ะ