ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๖ * * 
~ ทุกคน ก็ต้องเดินทางชีวิตต่อไปอีกยาวนานในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคล และชีวิตข้างหน้าจะสุขทุกข์อย่างไร ก็ย่อมเป็นไปตามกรรม ซึ่งถ้าทุกคนมีความมั่นใจจริงๆ และมีความเข้าใจจริงๆ ในเรื่องของกรรม ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการเจริญกุศล
~ ผู้ที่เข้าใจในเรื่องเหตุและผล ก็จะได้ทราบว่า ฤกษ์ดี เวลาดี มงคลดี ทั้งหมด ก็คือ ขณะจิตที่เป็นกุศล ไม่ว่าจะเป็นขณะใด ทั้งตอนเช้า ตอนกลางวัน ตอนเย็น จริงไหม? พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ๔๕ พรรษา มีประโยชน์สำหรับผู้ที่น้อมรับฟังด้วยความเคารพ คือ เป็นผู้ที่น้อมประพฤติปฏิบัติตาม เป็นการบูชาพระคุณของพระผู้มีพระภาคอย่างสูงสุด
~ เวลาติด ต้องเป็นทุกข์ อยากจะได้สิ่งที่เราต้องการ ถ้าไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ติดข้องมากนัก เริ่มเห็นความสุขขึ้นมาบ้าง คือ ไม่เดือดร้อน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
~ ทุกคนมีกรรมเป็นของตน แม้ว่าคนอื่นจะทำกรรมที่ไม่ดีกับเรา แต่เรา มีกรรมดี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับกรรมไม่ดีที่คนอื่นกระทำกับเรา เพราะว่า ใครทำกรรมอย่างใดก็ได้อย่างนั้น แล้วเราจะไปคิดที่จะพยาบาทเบียดเบียนเขาทำไม ในเมื่อรู้ว่าเขาต้องได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน แล้วความพยาบาทไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเก็บให้มีมากๆ เลย เพราะเหตุว่า เป็นทุกข์ในขณะที่เกิดขึ้นด้วย
~ ฤกษ์ดีจริงๆ ก็คือ ความงอกงามในพระพุทธศาสนาที่สามารถที่จะขัดเกลากิเลส เพราะว่าเห็นกิเลสของคนอื่น ไม่ยากใช่ไหม? วันนี้ใครทำอะไรไม่ดีบ้าง บอกได้เลย ใช่ไหม? แต่ตนเอง ขณะที่เห็นความไม่ดีของคนอื่น ดีหรือเปล่า? เมตตาหรือเปล่า กรุณาหรือเปล่า? หรือว่าคนนี้เลวมาก อย่างนี้สมควรตาย อย่างนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า แล้วอย่างไร ใจสุจริตหรือเปล่า? กายสุจริต วจีสุจริต แล้วใจสุจริต เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงความจริงสำหรับคนที่เห็นประโยชน์แท้จริง ก็คือว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมซึ่งยึดถือว่าเป็นเรา มีสภาพรู้ มีธาตุรู้ เป็นใจของเรา เห็นไหม? แล้วใจนี้เป็นอย่างไร ใครจะชำระล้างก็ไม่ได้เลย ก็เป็นธาตุซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นตามการสะสมที่จะเป็นไป เพราะฉะนั้น ฤกษ์ดีจริงๆ ก็คือขณะที่ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ไม่ใช่ไปคิดถึงโทษของคนอื่น
~ งอกงามในพระพุทธศาสนา หมายความว่าอย่างไร? ต้องมีความเข้าใจด้วย ถ้าฟังธรรมแล้วไม่เข้าใจ จะชื่อว่างอกงามไหม? เพราะฉะนั้น งอกงามในพระพุทธศาสนา หมายความว่า มีความเข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรม เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีกายสุจริต วาจาสุจริต ใจสุจริต ก็จะงอกงามไม่ได้ จะนำมาซึ่งความสุขไม่ได้
~ พระพุทธศาสนา ซึ่งต่างจากศาสนาอื่นทั้งหมด ก็คือว่า สอนให้เข้าใจความจริงถึงที่สุด ว่า ไม่มีเรา
~ ธรรม ไม่ใช่เป็นของใคร หรือว่า ไม่ใช่เป็นใคร แต่มีปัจจัยที่จะเกิด จึงเกิด ไม่เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วต้องเป็นไปตลอดไปทุกวันแล้วก็หายไป เป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย นี่เป็นความจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้น ระลึกอยู่เสมอว่า ขณะนี้ ไม่มี เพราะกำลังไม่มีจริงๆ มีชั่วคราวแสนสั้นแล้วก็ไม่มี แต่หลงว่ามีไปจนตาย แล้วพอถึงตายแล้วไม่มีเลย เพราะฉะนั้น ได้ประโยชน์อะไรจากการที่มีในระหว่างนี้? ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ไม่มี เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นผู้ที่งอกงามในพระพุทธศาสนา ก็คือ รู้จริงๆ ว่า พระพุทธศาสนา คืออะไร? คำสอนที่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งไม่ใช่คำสอนของคนอื่น ก็คือว่า ให้เข้าใจ ว่า ไม่มีเรา
~ ตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนทั้งสิ้น ก็คือ เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น การฟังต้องมั่นคง กว่าจะถึงเวลาที่ประจักษ์แจ้งว่าไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่มีเรา ก็ต้องมีการที่ฟังแล้วรู้ความมุ่งหมายว่า ฟังเพื่ออะไร? ฟังเพื่อรู้ความจริงซึ่งเป็นความจริงอย่างนี้เดี๋ยวนี้ก็กำลังเป็นความจริงอย่างนั้น แต่ว่า เมื่อไหร่จะประจักษ์แจ้งจนกระทั่งสามารถที่จะถึงความเข้าใจตามที่พระพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามุ่งหมาย ก็คือว่า ฤกษ์ดี ทุกขณะที่กายสุจริต วจีสุจริต และใจสุจริต ที่จะตรงตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา
~ ปัญญาเห็นโทษของแม้แต่กายทุจริตและวาจาทุจริต แล้วก็เพราะเหตุว่า ใจขณะนั้นไม่สุจริต (จึงทำให้มีการประพฤติทุจริตทั้งทางกายและทางวาจา)
~ เป็นมงคลที่ได้ฟังพระธรรม ขณะนั้นก็จะเปรียบเทียบไม่ได้ กับการที่สะสมความไม่ดีมาแล้วมาก แต่ว่าถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ วันหนึ่งก็สามารถที่จะถึงได้ซึ่งทั้งกายสุจริต วาจาสุจริตและใจสุจริต
~ ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของคนที่เข้าใจผิด จะกล่าวไหมว่า สิ่งนั้นผิด ให้เขาเข้าใจถูกต้องว่าผิด นั่นคือ ประโยชน์ที่เขาได้รู้ความจริง
~ เรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมด ผู้ที่เห็นโทษจึงจะงดเว้น แต่ผู้ที่ไม่เห็นโทษ ไม่เห็นจริงๆ ว่าเป็นโทษ แต่ว่าความจริงแล้ว อกุศลธรรมทั้งหลายนั้นย่อมให้ผลตามควรแก่สภาพของอกุศลธรรมนั้นๆ
~ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลธรรมเพียงเล็กน้อยอย่างไร ก็เป็นโทษ เป็นภัย ที่ควรจะละคลายบรรเทาขัดเกลาในขณะนั้นเอง ถ้าไม่เห็นอกุศลธรรมอย่างละเอียด จะทราบไหมว่า นั่นเป็นอกุศลธรรม เมื่อไม่ทราบก็ไม่ขัดเกลา แต่เมื่อใดที่เห็นภัยของอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อยว่าเป็นโทษ ก็ย่อมมีความเห็นถูกที่จะขัดเกลาละคลายแม้อกุศลธรรมที่เพียงเล็กน้อยนั้น
~ คนที่ไม่สนใจฟังพระธรรม มีมากมาย เกิดมาก็สนุกสนานไปวันหนึ่งๆ มีชีวิตอยู่วันหนึ่งๆ ก็พอแล้ว ไม่ได้คิดว่า พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์มหาศาล ไม่ใช่ประโยชน์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้สามารถที่จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้
~ ไม่ประมาท เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีอกุศลธรรมอยู่ ก็จะต้องเจริญกุศลทุกประการเพื่อที่จะละอกุศลธรรมนั้น
~ ไม่มีอย่างอื่นใดทั้งสิ้นที่จะกล้าสู้กับกิเลสหรือจะทำลายกิเลสได้ นอกจากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยตามความเป็นจริง ไม่ลืมกำลังของปัญญา แต่ต้องมีปัญญา ไม่ใช่ไม่มีปัญญาแล้วไปคิดถึงกำลังของปัญญา
~ ต้องอาศัยกาลเวลาในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสเมื่อเห็นกิเลสมากเท่าไหร่ ก็รู้ว่าจะต้องอาศัยกาลเวลานานมากทีเดียวกว่าที่จะขัดเกลากิเลสนั้นๆ ได้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรมและไม่ขาดการที่จะพิจารณาตนเอง เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ได้ฟังทั้งหมด เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาและการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น
~ ไม่มีใครจะได้กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลกเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อย่าลืมว่าที่ทรงพระมหากรุณากระทำอย่างนั้น เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้รับฟังพระธรรม ก็ควรที่จะน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาคุณที่ได้ทรงแสดงพระธรรมไว้เป็นอันมาก เพื่อให้ทุกท่านเป็นผู้ที่ว่าง่ายต่อการที่กุศลจิตเกิด เป็นผู้ที่อดทน เป็นผู้ที่ไม่ว่ายากในการที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งเป็นปัญญาของแต่ละคนที่ได้ฟังนั่นคือคุณ ที่ไม่สามารถที่จะมีอะไรเปรียบได้เลยจากความไม่รู้มานานในสังสารวัฏฏ์เริ่มที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องในแต่ละคำ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งอย่างยิ่งลุ่มลึกตามลำดับ เพราะฉะนั้น การฟัง ต้องเข้าใจ ไตร่ตรองทีละคำจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง
~ ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นใดทั้งสิ้น จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ สิ่งที่สะสมอยู่ในจิต คือ ความเข้าใจ ก็จะติดตามไปด้วย
~ ถ้าเราจะเดือดร้อนเพราะคนอื่น ทั้งวันไม่จบ ทั้งคืนไม่จบ ทั้งชาติไม่จบ เพราะฉะนั้น เกิดมาก็มีชีวิตอยู่ไม่นาน ประโยชน์ที่ประเสริฐที่สุดคือเข้าใจธรรมและทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วย
~ ถ้าเป็นผู้ว่ายากหรือสอนยาก ก็ย่อมจะไม่รับฟังคำสอน และจะมีความขัดเคือง จะทำให้เมื่อโกรธแล้วก็ย่อมห่างเหินไปหรือว่าอาจจะจากไปตลอดชีวิต ซึ่งก็จะไม่เป็นเหตุให้ละคลายกิเลส เพราะเหตุว่าไม่ยอมที่จะรู้จักอกุศลของตนเอง และไม่เห็นความหวังดีของผู้ที่กล่าวสอนหรือพร่ำสอน
~ เมื่อโกรธเกิดขึ้นแล้ว ดีไหม? ใครเดือดร้อน? โกรธเกิดที่ไหน ไม่เป็นสุข จะทำให้คนที่มีความโกรธ เป็นสุข เป็นไปไม่ได้เลย เพราะลักษณะนั้นเป็นสภาพที่เดือดร้อน แม้จิตในขณะนั้นก็มีโทสะหรือความขุ่นเคืองใจเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นเดือดร้อนจริงๆ
~ ไม่ประมาทที่จะสะสมกุศลแม้เพียงเล็กน้อย เพราะใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น กุศลแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรประมาทเลย ตราบใดที่เกิดเป็นผู้ที่สามารถที่จะกระทำกุศลได้
~ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ชีวิตทั้งชาติก็ไม่รู้ความจริง
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๕

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
..ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ..
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง