เพราะเหตุใดการเจริญภาวนาจึงไม่ก้าวหน้า
โดย อนัตตา  8 มี.ค. 2549
หัวข้อหมายเลข 888

ผมได้เจริญภาวนาที่บ้านในห้องพระเป็นระยะๆ เช่น เข้าพรรษาปฏิบัติตลอดพรรษาวันละ 1-2 ชม. สังเกตว่าได้เพียงขณิกสมาธิ ส่วนสภาวธรรมอื่นๆ ไม่มี แต่เวลาไปปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย 11 วัน ที่ศูนย์ 2 ขังเดี่ยว ปิดวาจา ปฏิบัติกำหนดสติตั้งแต่ตื่นจนถึงเข้านอน วันที่ 1-5 สังขารเล่นงานพอสมควร และค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ จนวันที่ 8-11 เริ่มปฏิบัติดีขึ้นมีสภาวะธรรมเกิดขึ้นแต่ไม่มาก เวทนาหายเป็นบางบรรลังก์ จึงอยากสอบถามว่า เพราะเหตุใดจึงปฏิบัติที่บ้านไม่ค่อยก้าวหน้า มีวิธิใดที่จะให้ก้าวหน้า

ขอความกรุณาแนะนำด้วยครับ.

ขออนุโมทนาบุญในกุศลครั้งนี้ด้วยครับ ......สาธุ



ความคิดเห็น 1    โดย study  วันที่ 8 มี.ค. 2549

การปฏิบัติธรรม คือ การถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม ที่สำคัญ คือ การปฏิบัติเป็นเรื่องของปัญญา ถ้าขาดปัญญา คือ ความเข้าใจแล้วจะปฏิบัติไม่ได้ ในพระไตรปิฎกพระพุทธองค์แสดงข้อปฏิบัติว่ามี ๒ อย่าง คือ ปฏิบัติผิด (มิจฉามรรค) ๑ ปฏิบัติถูก (สัมมามรรค) ๑ ควรศึกษาให้เข้าใจก่อนว่า สัมมามรรคเป็นอย่างไร มิจฉามรรคเป็นอย่างไร ทรงแสดงไว้ว่าถ้าปฏิบัติผิด การไม่ปฏิบัติดีกว่า


ความคิดเห็น 2    โดย weera2548  วันที่ 9 มี.ค. 2549
ทำไมคนปัจจุบันนี้ มีความรู้ปริญญาตรี โท เอก แต่ขาดคุณธรรม และศีลธรรม

ความคิดเห็น 3    โดย study  วันที่ 10 มี.ค. 2549

การศึกษาวิชาการทางโลกเป็นการเรียนเพื่อการใช้ดำรงชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่คำสอนให้เป็นคนดีมีคุณธรรม หรือการขัดเกลากิเลสแต่อย่างใด สำหรับคำสอนของพระพุทธองค์เป็นคำสอน เพื่อการขัดเกลากิเลสเพื่อการดับ โลภะ โทสะ โมหะ เพื่อการเจริญขึ้นของคุณธรรม เช่น ศีล สมาธิ ปัญญา วิริยะ สติ เมตตา และขันติ เป็นต้น


ความคิดเห็น 4    โดย chatchai.k  วันที่ 17 มี.ค. 2549
การอบรมเจริญภาวนามีทั้งการอบรมเจริญความสงบ ซึ่งเป็นสมถภาวนา และการอบรมเจริญปัญญา คือ วิปัสสนาภาวนา ทั้งสองอย่างต้องอาศัยปัญญาจึงจะเจริญได้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่รู้ลักษณะสภาพของจิตที่ต่างกันระหว่าง กุศลจิตและอกุศลจิต ก็ย่อมจะเจริญสมถะ คือ ความสงบจากอกุศล ไม่ได้ ฉะนั้น การอบรมเจริญความสงบของจิตจึงต้องมีสติสัมปชัญญะที่สามารถรู้สภาพที่ต่างกันของกุศลจิต และ อกุศลจิต ในขณะนี้เสียก่อน แล้วจึงจะอบรมเจริญกุศลที่เป็นความสงบ คือ สมถภาวนา สำหรับวิปัสสนาภาวนาเป็นสติสัมปชัญญะ ที่สามารถรู้สภาพที่ต่างกันของนามธรรม และรูปธรรมตามความเป็นจริง ควรศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ จนความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น และสามารถรู้สภาพที่ต่างกันของนามธรรม และรูปธรรมตามความเป็นจริงเสียก่อน ไม่ควรทำอะไรที่ยังไม่ใช่ความเข้าใจของเราเอง และไม่ควรทำตามวิธีที่คนอื่นบอกให้ทำ

ความคิดเห็น 5    โดย study  วันที่ 17 มี.ค. 2549

ที่สำคัญคือควรศึกษาให้เข้าใจก่อนปลอดภัยกว่า มิฉะนั้น อาจทำตามความเห็นผิดได้


ความคิดเห็น 6    โดย raynu  วันที่ 24 มี.ค. 2549

การปฏิบัติธรรมต้องมีความเข้าใจตั้งแต่ต้น เพราะการปฏิบัติไม่ใช่ไปทำโดยไม่มีความเข้าใจของตนเอง ปฏิบัติคือการถึงเฉพาะลักษณะ .....ลักษณะอะไร ....ก็ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง เมตตามีจริงเป็นอโทสเจตสิก เมี่อเกิดขึ้นกับจิตก็จะทำหน้าที่กิจการงานของสภาพธรรมนั้นเอง


ความคิดเห็น 8    โดย suntarara  วันที่ 16 พ.ค. 2550

อนุโมทนาค่ะ