ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๔
โดย khampan.a  23 พ.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 51520

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
**ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๔**



~ กำลังเริ่มจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการฟังคำที่พระองค์ตรัส ไม่มีหนทางอื่นเลยที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากฟังคำที่พระองค์ตรัสด้วยพระองค์เอง ไม่ใช่คำของใคร และคำทุกคำที่พระองค์ตรัสด้วยพระมหากรุณาเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า ธรรม ง่าย จะบรรลุกันได้เร็ว แต่ว่าเมื่อตรัสรู้แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าธรรม ลึกซึ้ง ละเอียด ยากที่จะรู้ได้ ประมาทคำนี้หรือเปล่า? ง่ายหรือเปล่า? ต้องฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรองหรือเปล่า? เพื่อเป็นความเข้าใจของตนเอง นี่คือ พระพุทธประสงค์
~ ถ้าไม่เริ่มเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงแล้วทรงแสดง ก็ไม่มีการที่จะรู้จักธรรมได้เลย เพราะเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แต่ไม่เคยเข้าใจถูกต้อง จึงฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ รู้ว่าธรรม ยาก ลึกซึ้ง ก็ฟังต่อไป พิจารณาต่อไป เพราะไม่มีใครจะไปทำให้ปัญญาความเข้าใจเกิดขึ้นมากกว่านี้ได้ นอกจากแต่ละครั้งที่ได้ฟังแล้ว เป็นผู้ตรง เข้าใจแค่ไหนก็ตามเหตุตามปัจจัย จึงฟังอีก เพราะถ้าไม่ฟังอีก ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจมากกว่านี้ได้
~ มีความเข้าใจธรรมขณะใด ขณะนั้นกายงาม วาจางามด้วย แต่ถ้าในขณะนั้นเป็นอกุศล กายวาจาก็ไม่งาม การกระทำทางกายก็อาจจะกระทบกระเทือนคนอื่น วาจาก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้ เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับปัญญาความเข้าใจ ต้องเข้าใจด้วยว่าปัญญาทำให้ทุกอย่างที่เป็นอกุศลค่อยๆ ลดลง
~ ผู้ที่เห็นว่าถ้าขณะใดจิตไม่เป็นกุศล ก็ย่อมจะเป็นอกุศลแต่ละประเภทที่ละเอียดมาก แม้บางครั้งไม่เป็นเหตุให้กระทำทางกายวาจา แต่จิตใจในขณะนั้นก็เป็นอกุศล เมื่อเห็นความละเอียดของอกุศลอย่างนี้ จึงไม่รั้งรอที่จะบำเพ็ญความดีเท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะว่าแม้ว่าจะกระทำความดีสักเท่าไหร่ๆ ก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง เพราะว่าตราบใดที่ไม่กระทำความดี จิตก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ก็ควรเจริญกุศลทุกประการ ด้วยการอบรมตนเองให้เป็นผู้ที่มีความอดทน คิดถึงคนอื่น แทนที่จะคิดถึงตนเองเสมอๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็มีโอกาสที่กุศลจิตจะเกิดมากกว่าอกุศล
~ ชาตินี้ สำคัญมากไหม? เหตุการณ์ต่างๆ สำคัญมากไหม? หรือแค่คิดแล้วก็ว่างเปล่า ทุกขณะ แม้คิด ก็ดับ ทุกอย่างก็ว่างเปล่าทั้งนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้มั่นคงขึ้น จะเดือดร้อนมากเหมือนเคยไหม? ทำไมสิ่งนี้ไม่เป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นไม่เป็นอย่างนี้ ลืมคำว่า อนัตตา และลืมว่าไม่มีอะไรเลยที่เป็นของใคร เพราะเป็นธาตุ (สภาพที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน) แต่ละหนึ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงลักษณะของธาตุนั้นๆ ไม่ได้เลย

~ ฟังธรรม เพราะว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปราฏแต่ไม่รู้

~ ไม่มีทางเลยที่จะรู้ธรรมได้โดยขาดบารมี

~ ไม่มีใครสามารถที่จะไปหยุดยั้งปัจจัยที่ทำให้เกิดการเห็น ซึ่งเป็นกิจการงานอย่างหนึ่ง จิตเกิดขึ้นทำอะไร? ทำกิจเห็น ต้องเห็น ขณะนี้ทำกิจแล้ว คือ เห็น, มีปัจจัยที่จะทำให้จิตได้ยินเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งไม่ให้จิตได้ยินเกิดขึ้น เมื่อมีปัจจัย จิตก็เกิดขึ้นกระทำกิจได้ยิน เป็นการทำงานแต่ละขณะจิตจริงๆ ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
~ ปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะรู้โทษของอกุศลและเห็นประโยชน์ของกุศล คนอื่นไม่เดือดร้อนเลยในความคิดที่เป็นอกุศลของตัวท่าน เพราะฉะนั้น ท่านต้องทราบว่าตัวท่านเท่านั้นที่จะละคลายไถ่ถอนอกุศลได้ คนอื่นไม่สามารถที่จะทำแทนได้เลย
~ ทุกคนเสมอกัน มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ มีความรู้สึก รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะเห็นใจคนอื่นไหม? กาย วาจาของเรา จะดีขึ้นไหม? การอบรมเจริญปัญญาเพื่อขัดเกลากิเลสที่จะถึงการดับกิเลส แต่ถ้าไม่มีการขัดเกลาเลย แล้วเราจะดับกิเลสได้อย่างไร
~ ความเข้าใจกับความไม่เข้าใจต่างกันมาก ให้รู้ว่าเคยอยู่มาด้วยความไม่เข้าใจนานเท่าไหร่กว่าจะเริ่มเข้าใจความละเอียดซึ่งตรงตามความเป็นจริง ต้องอาศัยความเป็นผู้ตรงว่าไม่มีเรา แต่มีความเห็น ๒ อย่าง คือ ความเห็นผิดอย่างหนึ่ง กับ ความเห็นถูกอย่างหนึ่ง ทั้งความเห็นผิดและความเห็นถูกก็ไม่ใช่เรา เป็นธรรม ซึ่งความเห็นผิดเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้าไม่รีบทิ้งไป ก็จะผิดอย่างนี้ไปอีกนานในสังสารวัฏฏ์ไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียว
~ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ให้เป็นอย่างอื่นได้เลย ให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ด้วย ก็ไม่ได้ ธรรมต้องเป็นธรรมประการเดียว กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม ไม่ว่าจะเกิดกับใคร ที่ไหน ทั้งหมด ก็คือ เป็นธรรม ด้วยเหตุนี้เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมแล้ว ก็มีคำว่า “ธรรม” แต่ละคนก็ได้ยินคำนี้ แต่จะมีความเข้าใจคำนี้ลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ มั่นคง ถึงความเป็นผู้ที่ดับกิเลสหมดเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะมีความเข้าใจธรรมโดยประการทั้งปวงจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้หมด
~ หวังเป็นคนดีหรือว่าหวังให้เป็นที่เคารพ? เป็นคนดีโดยไม่ต้องมีใครเคารพ มิดีกว่าหรือ? ใครจะเคารพหรือไม่เคารพไม่สำคัญ ที่สำคัญที่สุดคือดี ไม่เป็นโทษกับใครทั้งสิ้นแม้กับตนเอง นี่คือความเข้าใจธรรมซึ่งทำลายความหวัง
~ การฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องอยากจะเข้าใจ แต่ว่าขณะใดที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจสิ่งที่เคยฟังแล้วเข้าใจแล้วนั่นแหละเพิ่มอีก และเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจขึ้นอีก ในความไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด
~ ไม่ว่าจะเป็นโลภะ ไม่ว่าจะเป็นเมตตา ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ใครรู้ ก็คือปัญญาพร้อมสติที่ระลึกจึงรู้ว่า แม้โลภะก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง แม้เมตตาก็เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง โลภะไม่ได้ยั่งยืน ฉันใด ลักษณะของเมตตาก็ไม่ได้ยั่งยืน ฉันนั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ปัญญาที่สามารถรู้ตามความเป็นจริง จึงเป็นกลาง ไม่ตกไปด้วยความชัง หรือความชอบในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
~ ตลอดชีวิต อะไรประเสริฐที่สุด? เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะทุกสิ่งที่คิดว่าสำคัญหรือว่าดี ที่ชอบมากๆ ก็หมดแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย และโอกาสที่จะได้เข้าใจพระธรรม ไม่นาน ใช้คำว่า ไม่นาน เพราะชีวิตมนุษย์ ไม่นาน แล้วมนุษย์แต่ละคน ก็ไม่มีการที่จะรู้ล่วงหน้าเลยว่าจะจากความเป็นบุคคลนี้เมื่อไหร่ ลองคิดถึงโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมอีกไม่นาน ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทแล้วก็เห็นประโยชน์ของการสะสมความเห็นถูก
~ ไม่ว่าจะเห็นใครก็ตามที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่างๆ หรือว่าเป็นผู้ที่พิการ หรือมีความทุกข์ความทรมานอย่างหนึ่งอย่างใด ให้ทราบว่า ทุกท่านเคยเป็นมาแล้ว ไม่ใช่ไม่เคย เพราะฉะนั้น ไม่ควรที่จะประมาท ไม่ควรที่จะดูหมิ่น หรือว่าไม่ควรที่จะนึกรังเกียจ แต่ควรที่จะเป็นคติให้ระลึกได้ว่า เคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว และก็ไม่แน่ อาจจะเป็นอย่างนี้อีกก็ได้
~
เริ่มเห็นใจคนที่ทำอกุศลกรรมได้แล้ว เพราะเขาได้สะสมเหตุที่ไม่ดีไว้ และในที่สุด อกุศลกรรมที่เขาทำ ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้เขาได้รับผลที่ไม่ดีในภายหน้า
~ ชีวิตจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้เลย เดี๋ยวนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น "ทำความดีและเข้าใจพระธรรม" หวังว่าทุกคนจะมั่นคงในพระธรรมยิ่งขึ้น เพราะเป็นประโยชน์สูงสุด ไม่มีประโยชน์ใดเท่าเทียมได้เลย เพราะประโยชน์สูงสุด ก็คือ ได้เข้าใจความจริงขณะนี้ว่าไม่มีเรา ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๓


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 23 พ.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 23 พ.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 3    โดย jaturong  วันที่ 24 พ.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย มังกรทอง  วันที่ 24 พ.ย. 2568

ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง
อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้
จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ
กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา


ความคิดเห็น 5    โดย Potechana29  วันที่ 25 พ.ย. 2568

กราบอนุโมทนาครับ