
[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 232
ว่าด้วยธรรมคัมภีรภาพ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอื่นๆ ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ดังนี้ โดยอนุสนธิแห่งคำสรรเสริญที่ภิกษุสงฆ์กล่าว
คำว่า ธรรม ในพระบาลีนั้น ความว่า ธรรมศัพท์ เป็นไปในอรรถทั้งหลาย มีอาทิอย่างนี้ คือ คุณธรรม เทศนาธรรม ปริยัติธรรม นิสัตตธรรม จริงอยู่ ธรรมศัพท์เป็นไปในคุณธรรม เช่นในประโยคมีอาทิว่า ธรรมแลอธรรมทั้ง ๒ หามีผลเสมอกันไม่ อธรรมนำสัตว์ไปนรก ธรรมให้สัตว์ถึงสุคติเป็นไปในเทศนาธรรม เช่น ในประโยคมีอาทิว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น ... แก่เธอทั้งหลาย
เป็นไปในปริยัติธรรม เช่น ในประโยคมีอาทิว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ
เป็นไปในนิสัตตธรรม เช่น ในประโยคมีอาทิว่า ก็ในสมัยนั้นแล ธรรมมีอยู่ คือ ขันธ์ทั้งหลายมีอยู่
ก็ในพระบาลีนี้ ธรรมศัพท์เป็นไปในคุณธรรม เพราะฉะนั้น พึงเห็นความในพระบาลีนี้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตยังมีคุณอื่นๆ อีก
บทว่า คมฺภีรา ความว่า มีที่ตั้งอันญาณของบุคคลอื่นหยั่งไม่ได้ ยกเว้นตถาคต เหมือนมหาสมุทรอันปลายจะงอยปากยุงหยั่งไม่ถึงฉะนั้น
ที่ชื่อว่า เห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้งนั่งเอง
ที่ชื่อว่า ได้ยาก เพราะเห็นได้ยากนั่นเอง.
ที่ชื่อว่า สงบ เพราะดับความเร่าร้อนทั้งหมด.
ก็ชื่อว่า สงบ แม้เพราะเป็นไปในอารมณ์ที่สงบ.
ที่ชื่อว่า ประณีต เพราะทำให้ไม่รู้จักอิ่ม ดุจโภชนะที่มีรสอร่อย
ที่ชื่อว่า คาดคะเนเอาไม่ได้ เพราะจะใช้การคะเนเอาไม่ได้ เหตุเป็นวิสัยแห่งญาณอันสูงสุด.
ที่ชื่อว่า ละเอียด เพราะมีสภาพละเอียดอ่อน.
ที่ชื่อว่า รู้ได้เฉพาะบัณฑิต เพราะบัณฑิตเท่านั้นพึงรู้ เหตุมิใช่วิสัยของพวกพาล.
ข้อว่า เย ตถาคโต สย อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ ความว่า ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ตถาคตเป็นผู้ที่มิใช่มีบุคคลอื่นแนะนำ ก็ทำให้ประจักษ์ ด้วยพระปรีชาญาณอันวิเศษยิ่งเอาทีเดียว แล้วสอนผู้อื่นรู้แจ้ง
อ.วิชัย: เมื่อสักครู่ก็ได้ฟังการยกตัวอย่างถึง สังขาร ครับ อย่างรู้ว่า สังขาร ก็เพราะมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น จึงรู้ว่า มี อย่างเสียง เป็นต้นครับ แต่ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงการไตร่ตรองที่จะเข้าใจในลักษณะของเสียงครับ ตอนนี้ก็มีเสียงปรากฏครับ แต่การศึกษาอย่างเมื่อวานนี้ ก็ได้กล่าวถึง คำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงความเป็นจริงของธรรม ที่ปรุงแต่งให้เสียงเกิดขึ้น อย่างมหาภูตรูป ๔ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ธรรมที่เกิดกับมหาภูตรูป ๔ เกิดขึ้นครับ อย่าง เสียง เมื่อเกิด ก็ต้องอาศัยมหาภูตรูป ๔ ดูเหมือนสิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกับคิดในสิ่งที่ได้อ่าน หรือได้ฟังมาครับท่านอาจารย์ จะเป็นความเข้าใจ หรือว่าเป็นความรู้เพียงเรื่องราวของเสียงที่มีมหาภูตรูป ๔ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ปรุงแต่งให้เกิดขึ้นครับ ก็กราบท่านอาจารย์ให้ความละเอียดตรงนี้ด้วยครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งอยู่ไหน? พูดว่า มหาภูตรูป ๔ เราเริ่มพูดถึงสิ่งที่มีจริงใช่ไหม?
อ.วิชัย: ครับ ท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: เพื่อมั่นคงว่า สิ่งนั้นเท่านั้นที่จริง แต่ละหนึ่งๆ จริงแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่จริงนี่ทีเดียวพร้อมกัน ไม่ใช่อย่างเดียวจริง
อย่างเดียว คือหนึ่ง จริงหนึ่ง จริงหนึ่ง จริงหนึ่ง จะได้รู้ว่า แต่ละหนึ่งซึ่งจริงนะ ไหนหาเรา? คือมีความมั่นคงในความไม่ใช่เราซึ่งลึกซึ้ง เพราะเหตุว่า แม้แต่ แต่ละหนึ่งก็ไม่ได้คิดเลย ทั้งๆ ที่ ตาก็เห็น หูก็ได้ยิน จมูกก็ได้กลิ่น แต่ไม่เคยคิดถึงแต่ละหนึ่งใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เอาชื่อมาคิด
อ.วิชัย: ต้องละเอียดครับ
ท่านอาจารย์: ถูกต้อง แล้วจะไปรู้จักธรรมได้ไหมนี่ ไม่ละเอียดนี่
อ.วิชัย: ไม่สามารถจะรู้ได้ครับถ้าไม่ละเอียดจนรู้ว่า คำนั้น กล่าวถึงธรรมใด อย่างที่ท่านกล่าวถึงว่า มหาภูตรูป ๔ นะครับ ก็ดูเหมือนพูดตามสิ่งที่ได้เรียน แต่ผู้รู้ท่านรู้ตามความเป็นจริง อย่างมหาภูตรูป ๔ ก็ประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมครับ ก็เหมือนกับความคิดที่ได้ศึกษามา ก็คิดไปตามการปรุงแต่งของธรรมครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืม ธรรมลึกซึ้ง
อ.วิชัย: ท่านอาจารย์ครับ หมายถึงว่าการได้มีโอกาสได้ศึกษา หรือได้ฟัง หรือได้สนทนา เป็นการค่อยๆ น้อมไปที่จะเห็นตัวธรรมที่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งหรือครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เริ่มเข้าใจความลึกซึ้งเพราะธรรมลึกซึ้ง ถ้าไม่เข้าใจลึกซึ้ง จะเข้าใจธรรมไหม?
อ.วิชัย: ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ต้องเริ่มรู้ความลึกซึ้ง ไม่ใช่รีบร้อนไปที่ไหนเลย แต่รู้ว่า พูดทุกวัน ฟังทุกวัน อ่านทุกวัน ซ้ำทุกวัน ความเข้าใจถึงไหน? มั่นคงในอะไรบ้าง? ในคำว่า ธรรม มั่นคงไหม พอที่จะไม่ลืมเลย พูดเมื่อไหร่ ได้ยินเมื่อไหร่ ก็เข้าใจ
แม้ว่าจะหลงลืม แต่มาฟังอีกก็เข้าใจได้เลยในความเป็นธรรม ที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา จะกี่ตำรา จะกี่เดือนกี่ปี ก็ต้องรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา แต่ธรรมหนึ่งเป็นธรรมหนึ่ง แล้วก็เข้าใจในแต่ละหนึ่งที่เป็นธรรมทุกคำ สังขารหมายความว่าอะไร?
อ.วิชัย: ครับ ปกติธรรมก็มีครับ ยกตัวอย่างเรื่องเสียง ก็มีการพูดคุยสนทนา ก็มีเสียงที่ได้ยิน แต่ถ้าไม่มี จะพูดตรงนี้ก็ไม่ได้คิดถึงเลยว่า เสียงเป็นธรรม โดยมากก็จะคิดโดยความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วครับว่า เป็นเสียงบุคคลนั้นบ้าง บุคคลนี้บ้าง อาจจะไม่ได้พูดเป็นชื่อออกมา แต่ว่าความสำคัญ หรือความจำก็ยังคิดว่า เป็นเสียงสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ถึงจะพูดว่า เสียง ถึงจะพูดว่า เป็นเสียง เพราะว่า ทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่ง ก็พูดแต่ละหนึ่งออกมา แต่ความเข้าใจแค่ไหน?
อ.วิชัย: ครับ ต้องอาศัยการฟังการค่อยๆ ไตร่ตรองค่อยๆ เข้าใจขึ้นครับ ก็ค่อยๆ รู้ตรงขึ้น ละเอียดขึ้นครับที่จะปรุงแต่งให้น้อมไปสู่ลักษณะของคำที่พูดถึงสิ่งนั้นครับ
ขอเชิญอ่านได้ที่..
กว่าจะรู้ธรรมแต่ละหนึ่ง
แต่ละหนึ่งที่เกิดดับไม่กลับมา
ขอเชิญฟังได้ที่..
ฟังด้วยความเคารพ
ความยากของการเจริญปัญญา
ต้องเข้าถึงความเป็นธรรมของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ