[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 551
ยุคนัทธวรรค
๕. วิราคกถา
ว่าด้วยวิราคธรรม หน้า 551
อรรถกถาวิราคกถา หน้า 558
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 551
ยุคนัทธวรรค
วิราคกถา
ว่าด้วยวิราคธรรม
[๕๘๘] วิราคะเป็นมรรค วิมุตติเป็นผล วิราคะเป็นมรรคอย่างไร.
ในขณะโสดาปัตติมรรค สัมมาทิฏฐิ ด้วยอรรถว่า เห็น ย่อมคลายจากมิจฉาทิฏฐิ จากกิเลสอันเป็นไปตามมิจฉาทิฏฐินั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก วิราคะ (มรรค) มีวิราคะ (นิพพาน) เป็นอารมณ์ มีวิราคะเป็นโคจร เข้ามาประชุมในวิราคะ ตั้งอยู่ในวิราคะ ประดิษฐานอยู่ในวิราคะ วิราคะในคำว่า วิราโค นี้มี ๒ คือนิพพานเป็นวิราคะ ๑ ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะสัมมาทิฏฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิราคะ ๑ เพราะฉะนั้น มรรคจึงเป็นวิราคะ องค์ ๗ ที่เป็นสหชาติ ย่อมถึงความเป็นวิราคะ เพราะฉะนั้น วิราคะจึงเป็นมรรค พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก ย่อมถึงนิพพานอันเป็นทิศที่ไม่เคยไปด้วยมรรคนี้ เพราะฉะนั้น อริยมรรคอันมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น จึงล้ำเลิศ เป็นประธาน สูงสุด และประเสริฐกว่ามรรคของสมณพราหมณ์เป็นอันมากผู้ถือลัทธิอื่น เพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย.
สัมมาสังกัปปะ ด้วยอรรถว่า ดำริ (ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์) ย่อมคลายจากมิจฉาสังกัปปะ สัมมาวาจา ด้วยอรรถว่า กำหนด (กำหนดถือ) ย่อมคลายจากมิจฉาวาจา สัมมากัมมันตะ ด้วยอรรถว่า ตั้งขึ้นด้วยดี (สภาพที่ตั้งขึ้น) ย่อมคลายจากมิจฉากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ด้วยอรรถว่า ชำระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 552
อาชีวะให้ผ่องแผ้ว ย่อมคลายจากมิจฉาอาชีวะ สัมมาวายามะ ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ ย่อมคลายจากมิจฉาวายามะ สัมมาสติ ด้วยอรรถว่า ตั้งมั่น (ปรากฏ) ย่อมคลายจากมิจฉาสติ สัมมาสมาธิ ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมคลายจากมิจฉาสมาธิ จากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสังกัปปะเป็นต้นนั้น จากขันธ์ และสรรพนิมิตภายนอก วิราคะมีวิราคะเป็นอารมณ์ มีวิราคะเป็นโคจร เข้ามาประชุมในวิราคะ ตั้งอยู่ในวิราคะ ประดิษฐานอยู่ในวิราคะ วิราคะในคำว่า วิราโค นี้มี ๒ คือนิพพานเป็นวิราคะ ๑ ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะสัมมาสังกัปปะเป็นต้นนั้น มีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิราคะ ๑ เพราะฉะนั้น วิราคะจึงเป็นมรรค องค์ ๗ ที่เป็นสหชาติ ย่อมถึงความเป็นวิราคะ เพราะฉะนั้น มรรคจึงเป็นวิราคะ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก ย่อมไปถึงนิพพานอันเป็นทิศที่ไม่เคยไปด้วยมรรคนี้ เพราะฉะนั้น อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น จึงล้ำ เลิศ เป็นประธาน สูงสุดและประเสริฐกว่ามรรคของสมณพราหมณ์เป็นอันมากผู้ถือลัทธิอื่น เพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย.
[๕๘๙] ในขณะสกทาคามิมรรค สัมมาทิฏฐิ ด้วยอรรถว่า เห็น ฯ สัมมาสมาธิ ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมคลายจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบๆ คลายจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก วิราคะมีวิราคะเป็นอารมณ์ ฯ เพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย.
[๕๙๐] ในขณะอนาคามิมรรค สัมมาทิฏฐิ ด้วยอรรถว่า เห็น ฯ สัมมาสมาธิ ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมคลายจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียดๆ คลายจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสมาธิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 553
นั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก วิราคะมีวิราคะเป็นอารมณ์ ฯ เพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย.
[๕๙๑] ในขณะอรหัตมรรค สัมมาทิฏฐิ ด้วยอรรถว่า เห็น ฯ สัมมาสมาธิ ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมคลายจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย คลายจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก วิราคะมีวิราคะเป็นอารมณ์ มีวิราคะเป็นโคจร เข้ามาประชุมในวิราคะ ตั้งอยู่ในวิราคะ ประดิษฐานอยู่ในวิราคะ วิราคะในคำว่า วิราโค นี้มี ๒ คือนิพพานเป็นวิราคะ ๑ ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะสัมมาสมาธิมีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิราคะ ๑ เพราะฉะนั้น มรรคจึงเป็นวิราคะ องค์ ๗ ที่เป็นสหชาติ ย่อมถึงความเป็นวิราคะ เพราะฉะนั้น วิราคะจึงเป็นมรรค พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก ย่อมถึงนิพพานอันเป็นทิศที่ไม่เคยไปด้วยมรรคนี้ เพราะฉะนั้น อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น จึงล้ำ เลิศ เป็นประธาน สูงสุด และประเสริฐกว่ามรรคของสมณพราหมณ์เป็นอันมากผู้ถือลัทธิอื่น เพราะฉะนั้น อัฏฐังคิกมรรคจึงประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย.
[๕๙๒] สัมมาทิฏฐิเป็นวิราคะเพราะความเห็น สัมมาสังกัปปะเป็นวิราคะเพราะความดำริ สัมมาวาจาเป็นวิราคะเพราะความกำหนด สัมมากัมมันตะเป็นวิราคะเพราะความตั้งขึ้นไว้ชอบ สัมมาอาชีวะเป็นวิราคะเพราะชำระอาชีวะให้ผ่องแผ้ว สัมมาวายามะเป็นวิราคะเพราะประคองไว้ สัมมาสติเป็นวิราคะเพราะตั้งมั่น (ปรากฏ) สัมมาสมาธิเป็นวิราคะเพราะไม่ฟุ้งซ่าน สติสัมโพชฌงค์ เป็นวิราคะเพราะตั้งมั่น (ปรากฏ) ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะเลือกเฟ้น วิริยสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะประคองไว้ ปีติสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 554
แผ่ซ่านไป ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะความสงบ สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะความไม่ฟุ้งซ่าน อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นวิราคะเพราะความพิจารณาหาทาง สัทธาพละเป็นวิราคะเพราะความไม่หวั่นไหวในความไม่มีศรัทธา วิริยพละเป็นวิราคะเพราะความไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้าน สติพละเป็นวิราคะเพราะความไม่หวั่นไหวในความประมาท สมาธิพละเป็นวิราคะเพราะความไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ ปัญญาพละเป็นวิราคะเพราะความไม่หวั่นไหวในอวิชชา สัทธินทรีย์เป็นวิราคะเพราะความน้อมใจเชื่อ วิริยินทรีย์เป็นวิราคะเพราะความประคองไว้ สตินทรีย์เป็นวิราคะเพราะความตั้งมั่น (ปรากฏ) สมาธินทรีย์เป็นวิราคะเพราะความไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญินทรีย์เป็นวิราคะเพราะความเห็น อินทรีย์เป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ พละเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหว โพชฌงค์เป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า นำออกไป มรรคเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุ สติปัฏฐานเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า ตั้งมั่น (ปรากฏ) สัมมัปปธานเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เริ่มตั้งไว้ อิทธิบาทเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า ให้สำเร็จ สัจจะเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เป็นของถ่องแท้ สมถะเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน วิปัสสนาเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า พิจารณาเห็น สมถวิปัสสนาเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า มีกิจเป็นอันเดียวกัน ธรรมที่คู่กันเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า ไม่ล่วงเกินกัน สีลวิสุทธิเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า สำรวม จิตตวิสุทธิเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ทิฏฐิวิสุทธิเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เห็น วิโมกข์เป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า พ้นวิเศษ วิชชาเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า แทงตลอด วิมุตติเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า สละ ขยญาณเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า ตัดขาด ฉันทะเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เป็นมูล มนสิการเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เป็นสมุฏฐาน (สภาพที่ตั้งขึ้น) ผัสสะเป็นวิราคะ เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 555
อรรถว่า เป็นที่รวม เวทนาเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เป็นที่ประชุมลง สมาธิเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เป็นประธาน สติเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ ปัญญาเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าธรรมนั้นๆ วิมุตติเป็นวิราคะ เพราะอรรถว่า เป็นสารธรรม สัมมาทิฏฐิเป็นมรรคเพราะความเห็น สัมมาสังกัปปะเป็นมรรคเพราะความดำริ ฯ นิพพานอันหยั่งลงในอมตะเป็นมรรค เพราะอรรถว่า เป็นที่สุด วิราคะเป็นมรรคอย่างนี้.
[๕๙๓] วิมุตติเป็นผลอย่างไร ในขณะโสดาปัตติผล สัมมาทิฏฐิด้วยอรรถว่า เห็น พ้นจากมิจฉาทิฏฐิ พ้นจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาทิฏฐินั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก วิมุตติมีวิมุตติเป็นอารมณ์ มีวิมุตติเป็นโคจร เข้ามาประชุมในวิมุตติ ตั้งอยู่ในวิมุตติ ประดิษฐานอยู่ในวิมุตติ วิมุตติในคำว่า วิมุตฺติ นี้มี ๒ คือนิพพานเป็นวิมุตติ ๑ ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะสัมมาทิฏฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิมุตติ ๑ เพราะฉะนั้น วิมุตติจึงเป็นผล สัมมาสังกัปปะ ด้วยอรรถว่า ดำริ พ้นจากมิจฉาสังกัปปะ ฯ สัมมาวาจา ด้วยอรรถว่า กำหนด พ้นจากมิจฉาวาจา ฯ สัมมากัมมันตะ ด้วยอรรถว่า ตั้งไว้ด้วยดี พ้นจากมิจฉากัมมันตะ ฯ สัมมาอาชีวะ ด้วยอรรถว่า ชำระอาชีพให้ผ่องแผ้ว พ้นจากมิจฉาอาชีวะ ฯ สัมมาวายามะ ด้วยอรรถว่า ประคองไว้ พ้นจากมิจฉาวายามะ ฯ สัมมาสติ ด้วยอรรถว่า ตั้งมั่น พ้นจากมิจฉาสติ ฯ สัมมาสมาธิ ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน พ้นจากมิจฉาสมาธิ พ้นจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก วิมุตติมีวิมุตติเป็น อารมณ์ มีวิมุตติเป็นโคจร ประชุมเข้าในวิมุตติ ตั้งอยู่ในวิมุตติ ประดิษฐานอยู่ในวิมุตติ วิมุตติในคำว่า วิมุตฺติ นี้มี ๒ คือนิพพานเป็นวิมุตติ ๑ ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิมุตติ ๑ เพราะฉะนั้น วิมุตติจึงเป็นผล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 556
[๕๙๔] ในขณะสกทาคามิผล สัมมาทิฏฐิ ด้วยอรรถว่า เห็น ฯ สัมมาสมาธิ ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมพ้นจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบๆ พ้นจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาทิฏฐิเป็นต้นนั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก ฯ เพราะฉะนั้น วิมุตติจึงเป็นผล.
[๕๙๕] ในขณะอนาคามิผล สัมมาทิฏฐิ ด้วยอรรถว่า เห็น ฯ สัมมาสมาธิ ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมพ้นจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียดๆ พ้นจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาทิฏฐิเป็นต้นนั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก ฯ เพราะฉะนั้น วิมุตติจึงเป็นผล.
[๕๙๖] ในขณะอรหัตผล สัมมาทิฏฐิ ด้วยอรรถว่า เห็น ฯ สัมมาสมาธิ ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมพ้นจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย พ้นจากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาทิฏฐิเป็นต้นนั้น จากขันธ์ และจากสรรพนิมิตภายนอก วิมุตติมีวิมุตติเป็นอารมณ์ มีวิมุตติเป็นโคจรประชุมเข้าในวิมุตติ ตั้งอยู่ในวิมุตติ ประดิษฐานอยู่ในวิมุตติ วิมุตติในคำว่า วิมุตฺติ นี้มี ๒ คือนิพพานเป็นวิมุตติ ๑ ธรรมทั้งปวงที่เกิดเพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นวิมุตติ ๑ เพราะฉะนั้น วิมุตติจึงเป็นผล.
[๕๙๗] สัมมาทิฏฐิเป็นวิมุตติเพราะความเห็น ฯ สัมมาสมาธิเป็นวิมุตติเพราะความไม่ฟุ้งซ่าน สติสัมโพชฌงค์เป็นวิมุตติเพราะความตั้งไว้มั่น (ความปรากฏ) ฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นวิมุตติเพราะความพิจารณาหาทาง สัทธาพละเป็นวิมุตติเพราะความไม่หวั่นไหวในความไม่มีศรัทธา ฯ ปัญญาพละเป็นวิมุตติเพราะความไม่หวั่นไหวในอวิชชา สัทธินทรีย์เป็นวิมุตติเพราะความน้อมใจ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 557
เชื่อ ฯ ปัญญินทรีย์เป็นวิมุตติเพราะความเห็น อินทรีย์เป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ พละเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหว โพชฌงค์เป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องนำออก มรรคเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุ สติปัฏฐานเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า ตั้งมั่น (ปรากฏ) สัมมัปปธานเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เริ่มตั้งไว้ อิทธิบาทเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า ให้สำเร็จ สัจจะเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นของถ่องแท้ สมถะเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน วิปัสสนาเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า พิจารณาเห็น สมถวิปัสสนาเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า มีกิจเป็นอันเดียวกัน ธรรมที่เป็นคู่กันเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า ไม่ล่วงเกินกัน สีลวิสุทธิเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า สำรวม จิตตวิสุทธิเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ทิฏฐิวิสุทธิเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เห็น วิโมกข์เป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า พ้น (พ้นวิเศษ) วิชชาเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า แทงตลอด วิมุตติเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า สละ ญาณในความไม่เกิดขึ้นเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า ระงับ ฉันทะเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นมูล มนสิการเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นสมุฏฐาน (สภาพที่ตั้งขึ้น) ผัสสะเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นที่รวม เวทนาเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นที่ประชุม สมาธิเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นประธาน สติเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ ปัญญาเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นธรรมยิ่งกว่าธรรมนั้นๆ วิมุตติเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นสารธรรม นิพพานอันหยั่งลงในอมตะเป็นวิมุตติ เพราะอรรถว่า เป็นที่สุด วิมุตติเป็นผลอย่างนี้ วิราคะเป็นมรรค วิมุตติเป็นผล ด้วยประการฉะนี้.
จบวิราคกถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 558
อรรถกถาวิราคกถา
บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งวิราคกถาอันมีมรรค กล่าวคือวิราคะ เป็นเบื้องต้นอันพระสารีบุตรเถระกล่าวไว้แล้วในลำดับแห่งเมตตากถาอันมีการประกอบมรรคเป็นที่สุด.
พึงทราบวินิจฉัยในวิราคกถานั้นก่อน พระสารีบุตรเถระประสงค์จะชี้แจงอรรถแห่งบทพระสูตรทั้งสองที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมพ้น จึงตั้งอุเทศว่า วิราโค มคฺโค วิมุตฺติ ผลํ (วิราคะเป็นมรรค วิมุตติเป็นผล).
พระสารีบุตรเถระประสงค์ชี้แจงอรรถแห่งคำในวิราคกถานั้นก่อน จึงกล่าวคำมีอาทิว่า กถํ วิราโค มคฺโค (วิราคะเป็นมรรคอย่างไร).
ในบทเหล่านั้น บทว่า วิรชฺชติ (ย่อมคลาย) เป็นธรรมชาติคลายแล้ว คือปราศจากความกำหนัด บทที่เหลือมีอรรถดังกล่าวแล้วในมรรคญาณนิเทศ.
บทว่า วิราโค (วิราคะ) ความว่า เพราะสัมมาทิฏฐิย่อมคลายความกำหนัด ฉะนั้น จึงชื่อว่า วิราคะ.
อนึ่ง วิราคะ (มรรค) นั้น เพราะมีวิราคะ (นิพพาน) เป็นอารมณ์ ประดิษฐานอยู่ในวิราคะ ฉะนั้น พึงทราบความสัมพันธ์ของคำทั้งหลาย ๕ คำ มีอาทิว่า วิราคารมฺมโณ (มีวิราคะ คือนิพพานเป็นอารมณ์) อย่างนี้ว่า วิราโค วิราคะ (มรรค) ในบทเหล่านั้น บทว่า วิราคารมฺมโณ คือมีนิพพานเป็นอารมณ์ บทว่า วิราคโคจโร (มีวิราคะเป็นโคจร) คือมีนิพพานเป็นวิสัย บทว่า วิราเค สมุปาคโต (เข้ามาประชุมในวิราคะ) คือเกิดพร้อมกันในนิพพาน บทว่า วิราเค ิโต (ตั้งอยู่ในวิราคะ) คือตั้งอยู่ในนิพพาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 559
ด้วยอำนาจแห่งความเป็นไป บทว่า วิราเค ปติฏฺิโต (ประดิษฐานในวิราคะ) คือประดิษฐานในนิพพานด้วยอำนาจแห่งการไม่กลับ.
บทว่า นิพฺพานญฺจ วิราโค (นิพพานเป็นวิราคะ) คือนิพพาน ชื่อว่า เป็นวิราคะเพราะมีวิราคะเป็นเหตุ.
บทว่า นิพฺพานารมฺมณตา ชาตา (ธรรมทั้งปวงเกิดเพราะสัมมาทิฏฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์) คือธรรมทั้งปวงเกิดในสัมมาทิฏฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์ หรือด้วยความที่สัมมาทิฏฐิมีนิพพานเป็นอารมณ์ ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้นทั้งปวงอันสัมปยุตด้วยมรรคเหล่านั้น ชื่อว่า วิราคะ เพราะอรรถว่า คลายความกำหนัด เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า วิราคะ.
บทว่า สหชาตานิ (เป็นสหชาติ) คือองค์แห่งมรรค ๗ มีสัมมาสังกัปปะเป็นต้น เกิดร่วมกับสัมมาทิฏฐิ.
บทว่า วิราคํ คจฺฉนฺตีติ วิราโค มคฺโค องค์ ๗ ที่เกิดร่วมกันย่อมถึงความเป็นวิราคะ เพราะเหตุนั้น วิราคะจึงเป็นมรรค ความว่า องค์ ๗ ที่เกิดร่วมกันย่อมถึงวิราคะทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า วิราคะ เพราะมีวิราคะ (นิพพาน) เป็นอารมณ์ ชื่อว่า มรรค เพราะอรรถว่า แสวงหา องค์แห่งมรรคแม้องค์หนึ่งๆ ย่อมได้ชื่อว่า มรรค เมื่อท่านกล่าวถึงความที่องค์หนึ่งๆ เป็นมรรค เป็นอันกล่าวถึงความที่แม้สัมมาทิฏฐิก็เป็นมรรคด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นนั่นแหละ ท่านจึงถือเอาองค์แห่งมรรค ๘ แล้วกล่าวว่า เอเตน มคฺเคน (ด้วยมรรคนี้).
บทว่า พุทฺธา จ (พระพุทธเจ้าทั้งหลาย) ท่านสงเคราะห์เอาแม้พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วย จริงอยู่ แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ก็ชื่อว่า พุทธะเหมือนกัน เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้า ๒ เหล่านี้ คือพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า.
บทว่า อคตํ (ไม่เคยไป) คือไม่เคยไปในสงสารอันไม่รู้เบื้องต้นและที่สุด.
บทว่า ทิสํ (ทิศ) ชื่อว่า ทิส เพราะเห็น อ้างถึง ติดต่อ ด้วยการปฏิบัติทั้งสิ้น อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ทิส เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเห็น ทรงอ้างถึง ทรงกล่าวว่า ปรมิํ สุขํ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 560
(เป็นสุขอย่างยิ่ง) อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ทิส เพราะเป็นเหตุเห็น สละ ทอดทิ้งทุกข์ทั้งปวง นิพพานอันเป็นทิสนั้น.
บทว่า อฏฺงฺคิโก มคฺโค (มรรคมีองค์ ๘) ท่านกล่าวไว้อย่างไร ท่านกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายและพระสาวกทั้งหลาย ย่อมถึงนิพพานด้วยประชุมธรรมมีองค์ ๘ นั้น ด้วยเหตุนั้น ประชุมธรรมมีองค์ ๘ นั้น จึงชื่อว่า มรรค เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้ถึง คือเป็นเครื่องไปสู่นิพพาน.
บทว่า ปุถุสมณพฺราหฺมณานํ ปรปฺปวาทานํ (สมณพราหมณ์เป็นอันมากผู้ถือลัทธิอื่น) คือสมณะและพราหมณ์ต่างถือลัทธิอื่นจากศาสนานี้.
บทว่า อคฺโค (เลิศ *ยอด ยอดเยี่ยม) คือมรรคมีองค์ ๘ ประเสริฐ (วิเศษ) กว่ามรรคที่เหลือเหล่านั้น.
บทว่า เสฏฺโ (ประเสริฐ *ประเสริฐที่สุด) คือน่าสรรเสริญอย่างยิ่งกว่ามรรคที่เหลือ.
บทว่า วิโมกฺโข (เป็นประธาน) คือดีในการเป็นประธาน ความว่า มรรคนี้แหละดีในเพราะเป็นประธานของมรรคที่เหลือ.
บทว่า อุตฺตโม (สูงสุด) คือข้ามมรรคที่เหลือไปได้อย่างวิเศษ.
บทว่า ปวโร (ผู้ประเสริฐ *ผู้ยอดเยี่ยม) คือแยกออกจากมรรคที่เหลือโดยประการต่างๆ.
บทว่า อิติ (เพราะฉะนั้น) เป็นนิบาตลงในอรรถว่า เหตุ.
เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อัฏฐังคิกมรรคประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย สมดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
อัฏฐังคิกมรรคประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย บททั้ง ๔ ประเสริฐกว่าสัจจะทั้งหลาย วิราคะประเสริฐกว่าธรรมทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าประเสริฐกว่าสัตว์ ๒ เท่าทั้งหลาย.
ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสมรรคนั้น แล้วตรัสว่า อัฏฐังคิกมรรคประเสริฐกว่ามรรคทั้งหลาย ดังนี้ แม้ในวาระที่เหลือ พึงทราบความโดยนัยนี้ และโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 561
วิราคะ อันได้แก่ความเห็นในบทมีอาทิว่า ทสฺสนวิราโค (วิราคะ คือความเห็น) ชื่อว่า วิราคะเพราะความเห็น พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงพละก่อนกว่าอินทรีย์ในที่นี้ เพราะพละประเสริฐกว่าอรรถแห่งความเป็นอินทรีย์.
บทมีคำอาทิว่า อธิปเตยฺยฏฺเน อินฺทฺริยานิ (เป็นอินทรีย์ เพราะอรรถว่า เป็นใหญ่) เป็นการชี้แจงอรรถของอินทรีย์เป็นต้น มิใช่ชี้แจงอรรถของวิราคะ.
บทว่า ตถฏฺเน สจฺจา (เป็นสัจจะ เพราะอรรถว่า เป็นของแท้) พึงทราบว่า เป็นสัจจญาณ.
บทว่า สีลวิสุทฺธิ (ความบริสุทธิ์แห่งศีล) คือสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ.
บทว่า จิตฺตวิสุทฺธิ (ความบริสุทธิ์แห่งจิต) คือสัมมาสมาธิ.
บทว่า ทิฏฐิวิสุทฺธิ (ความบริสุทธิ์แห่งความเห็น *ความเห็นที่ถึงความบริสุทธิ์วิเศษ) คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ.
บทว่า วิชฺชาวิมุตฺตฏฺเน คำว่า วิมุตฺตฏฺเน (เพราะอรรถว่า พ้นวิเศษ) คือเพราะอรรถว่า พ้นจากกิเลสอันทำลายด้วยมรรคนั้นๆ คำว่า วิชฺชา (ความรู้แจ้ง วิชชา) คือสัมมาทิฏฐิ.
บทว่า วิมุตฺติ (ความพ้นวิเศษ วิมุตติ) คือสมุจเฉทวิมุตติ.
บทว่า อมโตคธํ นิพฺพานํ ปริโยสานฏฺเน มคฺโค (นิพพานอันหยั่งลงในอมตะเป็นมรรค เพราะอรรถว่า เป็นที่สุด) ชื่อว่า มรรค เพราะแสวงหาด้วยการพิจารณามรรคผล ธรรมที่ท่านกล่าวในวิราคนิเทศนี้แม้ทั้งหมด ก็ในขณะแห่งมรรคนั่นเอง ส่วนในวิมุตตินิเทศ ก็ในขณะแห่งผล เพราะฉะนั้น แม้มนสิการและฉันทะก็สัมปยุตด้วยมรรคผล.
พึงทราบอรรถแม้ในวิมุตตินิเทศโดยนัยดังกล่าวแล้วในวิราคนิเทศนั่นแล อนึ่ง ผลในนิเทศนี้ ชื่อว่า วิมุตติ เพราะเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติ (พ้นด้วยความสงบ).
นิพพาน ชื่อว่า วิมุตติ เพราะเป็นนิสสรณวิมุตติ (พ้นด้วยการนำออกไป).
คำมีอาทิว่า สหชาตานิ สตฺตงฺคานิ (องค์ ๗ ที่เป็นสหชาติ) ย่อมไม่ได้ในที่นี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงไม่ได้กล่าวไว้.
เพราะความหลุดพ้นเป็นผลเอง ท่านจึงกล่าวเพียงเท่านี้ว่า ปริจฺจาคฏฺเน วิมุตฺติ (ชื่อว่า วิมุตติ เพราะอรรถว่า สละ).
บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาวิราคกถา