
[เล่มที่ 55] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม 3 ภาค 1 - หน้า 260
ภิกษุทั้งหลายเห็นท่านผู้มีอายุนั้นมาแต่ไกล เพื่อต้องการจะทดลองท่านผู้มีอายุนั้น จึงทิ้งกำไม้กวาดหรือภาชนะสำหรับทิ้งหยากเยื่อไว้ข้างใน. เมื่อท่านผู้มีอายุนั้นมาถึง จึงกล่าวว่า อาวุโส ใครทิ้งสิ่งนี้. ในการกระทำนั้น เมื่อภิกษุบางพวกกล่าวว่า ท่านราหุล มาทางนี้. แต่ท่านราหุลนั้นไม่กล่าวว่า ท่านผู้เจริญผมไม่รู้เรื่องนี้ กลับเก็บงำสิ่งนั้นแล้วขอขมาว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านทั้งหลายจงอดโทษแก่กระผม แล้วจึงไป. ท่านราหุลนี้เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาอย่างนี้ . ท่านราหุลนั้นอาศัยความเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษานั้นนั่นเอง จึงเข้าไปอยู่ในกุฎี นั้น.
อ.อรรณพ: เมื่อวานก็สนทนากัน และเมื่อสักครู่ อ.วิชัย ได้สนทนากับท่านอาจารย์ต่อ สะสมบารมีทีละน้อย ครับ ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงท่านพระราหุลครับ ท่านเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ใคร่ต่อการศึกษา ซึ่งจะต้องมีความลึกซึ้งมากว่า ใคร่ต่อการศึกษา โดยละเอียดคืออย่างไร เช่นมีเหตุการณ์ที่มีภิกษุรูปอื่นทิ้งกำไม้กวาด พร้อมทั้งภาชนะที่จะเก็บพวกหยากเยื่ออะไรไว้ แล้วก็มีคนกล่าวว่า ท่านก็มาทางนี้ ก็เข้าใจว่าท่านเป็นผู้ทำ ซึ่งท่านไม่ได้ปฏิเสธอะไรเลยว่า ท่านไม่รู้ แต่ท่านก็เก็บงำสิ่งของเหล่านั้นเรียบร้อยนะครับ แล้วท่านจึงไป แล้วก็มีข้อความว่า ท่านพระราหุลนี้เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาอย่างไร ซึ่งถ้าเราฟังแล้วถ้าไม่ลึกซึ้ง เราก็จะรู้สึกว่า เป็นความดีที่แบบทั่วๆ ไปธรรมดาที่น่าชื่นชมว่า มีใครเขาทิ้งอะไรไว้ แล้วเขาก็คิดว่าเราทำ แล้วเราก็ไม่ได้ไปบอกเขาเลยว่าเราไม่ได้ทำ เราก็ไปจัดการเก็บให้เรียบร้อย แต่ ความลึกซึ้งของความเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาคืออย่างไร ครับ เพราะว่าในพระไตรปิฎก และอรรถกถา ท่านก็มียกตัวอย่างที่ท่านพระราหุลเก็บข้าวของเหล่านี้ โดยที่ท่านไม่ได้พูดเลยว่า ท่านไม่ได้เป็นคนทำ
เพราะฉะนั้น กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ความเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา ครับ
ท่านอาจารย์: กำลังเก็บงำของ ไม่ได้กล่าวอะไรเลย กำลังศึกษาหรือเปล่า?
อ.อรรณพ: ศึกษาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏกับท่าน
ท่านอาจารย์: เห็นไหม การศึกษาไม่ได้หมายความว่า ฟังแล้วไม่ปฏิบัติตาม แล้วจะมีประโยชน์อะไร แต่ก่อนเคยเป็นคนที่ใครจะทำไม่ดี ไม่เก็บงำข้าวของ เราก็ว่าเราก็บอกแล้วก็บ่น แล้วประโยชน์มีไหม?
อ.อรรณพ: คนที่เขาไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่เขาสะสมมาดี บางคนเขาก็มีความอดทน มีความอนุเคราะห์ เขาก็เก็บงำสิ่งของเรียบร้อยทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เป็นคนทำเขาก็ไม่ได้บอกใคร จะต่างกับการเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: การศึกษาว่า ไม่มีเรา แต่ขณะนั้นเป็นเรา ศึกษาหรือเปล่า?
อ.อรรณพ: ไม่ศึกษา
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ศึกษาจนไม่มีเรา
อ.อรรณพ: ศึกษาจนไม่มีเรา
ท่านอาจารย์: ด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น ชีวิตปกติธรรมดาประจำวันทั้งหมดเป็นธรรมะ
อ.อรรณพ: ศึกษาจนไม่มีเรานี่ เริ่มต้นของการศึกษา แล้วก็ การที่ศึกษายิ่งขึ้นๆ จนไม่มีเราเลย การศึกษานั้นมีระดับเป็นลำดับอย่างไร ครับ
ท่านอาจารย์: ศึกษาจากคำของใคร?
อ.อรรณพ: ศึกษาจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พระองค์ตรัสว่าอย่างไร?
อ.อรรณพ: ตรัสว่า ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์: แล้วรู้อย่างนั้นหรือเปล่า หรือว่าเป็นคนดีแล้วก็เก็บงำข้าวของโดยไม่พูดไม่จาเท่านั้น
อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น ก็ศึกษาสภาพธรรมะที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ประพฤติตามด้วย รู้ว่าอกุศลไม่ดี แล้วก็ทำกันอย่างนี้ แล้วก็ศึกษาคำของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ศึกษาเพื่ออะไร ศึกษาเพื่อจำแล้วรู้ว่าหมายความว่าอะไร หรือศึกษาเพื่อประพฤติปฏิบัติตาม
เห็นคุณ ซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ได้ ปฏิหาริย์ เคยบ่น เคยว่า เคยบอก เคยเตือน แต่ว่าถ้าคนนั้นขุ่นเคืองไม่พอใจก็ไร้ประโยชน์
เพราะฉะนั้น คนนั้นต้องมีปัญญาที่จะรู้ว่า สำหรับแต่ละคนขณะนั้นอะไรเหมาะ ไม่ใช่หมายความว่า ทุกคนต้องทำอย่างนี้ ไม่พูดไม่จาตลอดไป แต่ความเป็นมิตรความหวังดีที่เห็นว่า ธรรมะแสนลึกซึ้ง ถ้าไม่มีใครเข้าใจก็สะสมต่อไป ออกจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้
แต่ถ้าได้มีการเข้าใจบ้างแม้เล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเลย แต่ก็ต้องเป็นโอกาสที่จะรู้ว่า แต่ละบุคคลสะสมมาต่างกัน หนทางใดที่จะช่วยแต่ละคนตามการสะสมของเขา ก็ต้องเป็นสิ่งที่ต้องรู้ ไม่ใช่ว่าทำเหมือนกันหมดทุกคนๆ เป็นไปไม่ได้ นี่ค่ะ ศึกษาใช่ไหม?
อ.อรรณพ: ใช่ครับ นี่ครับ ถ้าไม่ได้กราบถามท่านอาจารย์ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวนี่ ความผิวเผินย่อมมี เพราะว่าข้อความนั้นมีอยู่อย่างนี้ ดังนั้น คนก็เหมือนกับว่า จะเอาท่านพระราหุลเป็นแบบอย่าง ด้วยความเป็นตัวตนที่จะทำอย่างนั้นบ้าง แล้วก็มาสอนๆ กันว่า นี่นะ ถ้าใครมาทำอะไรไม่ดีไว้ แล้วมาโทษเรา เราก็ไม่ต้องไปปฏิเสธอะไร ก็ทำให้เรียบร้อย ก็ดูเหมือนเป็นความดีระดับหนึ่ง
แต่ท่านอาจารย์กล่าวอย่างนี้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร? แล้วรู้อย่างนั้นหรือเปล่าว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ถ้าท่านพระราหุลท่านไม่เป็นผู้ที่ศึกษาลักษณะสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏอย่างนั้น ก็จะไม่มีความลึกซึ้งอะไรเลย
ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ โดยเฉพาะที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ศึกษาจนไม่มีเรา แต่ไม่ใช่มีเราที่จะไปทำตามข้อความในพระไตรปิฎก แต่เป็นการศึกษารู้ตรงลักษณะสภาพธรรมะ
แล้วอีกคำหนึ่งที่ท่านอาจารย์เตือนบ่อยๆ ว่า ศึกษาทำไม ศึกษาไปทำไม ฟังพระธรรม หรือศึกษาธรรมะไปทำไม ก็ได้ความว่า เพื่อประพฤติตาม
ซึ่งกราบท่านอาจารย์ต่อเนื่องว่า บารมี ก็คือในชีวิตประจำวัน เพราะถ้าไม่ใช่เป็นชีวิตประจำวัน บารมีก็ล่องลอยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ใช่ไหมครับ ทีนี้ ดูเหมือนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คนเขาทิ้งสิ่งของกระดาษ ขณะนั้นก็มีกุศลที่จะเก็บงำอะไรให้เรียบร้อยนะครับ อันนี้ก็ดูเหมือนคล้ายๆ ประเด็นของท่านพระราหุลเหมือนกัน แต่ต่างกันนิดหนึ่งตรงที่ว่า แล้วก็เก็บสิ่งของอะไรต่ออะไร ทำประโยชน์เล็กน้อย เกื้อกูลคนอื่นแม้เรื่องเล็กน้อย แม้รับทานอาหารด้วยกัน คนที่อยู่ไกลเราก็เลื่อนจานให้เขา หรือตักอาหารให้เขาอย่างนี้ครับ ซึ่งคนที่มีจารีตที่ดีแต่เขาไม่เข้าใจธรรมเลยเขาก็ทำกันนะครับ แต่คนผู้ที่อบรมปัญญาที่ศึกษาพระธรรมครับ ก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่นี่ความต่างกันความละเอียดคืออย่างไรครับ อย่างเช่น เลื่อนอาหารให้กันสำหรับผู้ที่ศึกษาพระธรรม
ท่านอาจารย์: ขณะนั้นรู้ไหมว่า เป็นธรรมะ
อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ ไม่พ้นไปจากตรงนี้ เพราะฉะนั้น อันนี้ซึ้งใจแล้วก็เป็นประโยชน์มากว่า การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็สลับ และเกื้อกูลกับกุศลในทุกๆ ขั้น
เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็ศึกษาด้วย ผมก็ซาบซึ้งในข้อความที่ท่านอุปมาไว้ว่า ผู้ที่อบรมเจริญปัญญานี่ครับ และท่านก็เกื้อกูลคนอื่นด้วย ผู้ที่เกื้อกูลคนอื่นด้วยและก็ทำประโยชน์ตนด้วย ก็เหมือนกับแม่โคที่ชำเลือง เล็มหญ้า รับทานไปด้วยและก็ชำเลืองดูแลลูกๆ โคไปด้วย
ก็เลยชัดหมดเลยว่า แม้ผู้ที่เกื้อกูลพระธรรมให้กับผู้อื่นได้เข้าใจ ที่กล่าวพระธรรมก็เป็นผู้ที่ศึกษาในขณะนั้นด้วย ก็เลย ซาบซึ้งกับความเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา แล้วก็เลยเห็นขึ้นว่า ทำไมท่านพระราหุลจึงเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ใคร่ต่อการศึกษา แม้มีเหตุการณ์อะไรต่ออะไร ท่านก็ประพฤติปฏิบัติตามธรรมะ ไม่มีความสำคัญตน แล้วก็ทำสิ่งที่ดีไว้ ก็สลับกับการรู้ ศึกษา สิกขา ลักษณะของสภาพธรรมะครับ
ถ้าเข้าใจชีวิตเป็นไปอย่างนี้ ก็อบรมเจริญปัญญาด้วย แล้วก็เป็นผู้ที่ศึกษาในทุกระดับครับ
ท่านอาจารย์: ทำไปบ่นไป ศึกษาหรือเปล่า?
อ.อรรณพ: ไม่ศึกษาครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม ความละเอียดอย่างยิ่ง
อ.อรรณพ: แต่ก่อนผมก็เป็นเยอะนะครับ เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นบ้างเวลาอกุศลเกิดก็เป็นไป แต่เวลาคิดได้ก็ทำไมเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ในเมื่อเราทำแล้ว เราจะช่วยแล้ว แล้วจะบ่นไปใย บ่นเป็นอกุศลไปด้วยแล้วก็ทำไปด้วย ก็ท่านอาจารย์เตือนอย่างนี้ แม้คนดูว่าดีนะ ช่วยเหลือคนอื่น เก็บงำ ล้างถ้วยล้างจานให้สะอาด แต่ในขณะที่มีอกุศลเกิด นี่ไม่ใช่บารมี ขณะนั้นก็บ่น รู้สึกรำคาญว่าทำไมไม่ได้ทำ เราต้องมาทำเอง
บางทีก็เป็นกุศล เมตตา งานเขาก็งานหลายอย่าง เราก็ช่วยแบ่งเบาไปบ้าง แต่ถ้าศึกษาจริงๆ ในขณะนั้นต้องตรงลักษณะสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์: ช่วยเขา แล้วก็ว่าเขา เห็นไหม? แล้วว่าทำไมล่ะตอนนั้น ถ้าเรารู้ว่า เราจะปรีกษากันเพื่อที่จะช่วยเหลือใคร เราไม่ได้ว่า!! แต่เราให้รู้ความจริง ต่างกันแล้วเพื่อว่าเราจะได้ช่วยได้เต็มที่ตามความถูกต้อง แต่ไม่ใช่ว่าเขาอย่างนั้นว่าเขาอย่างนี้ ขณะนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะว่า ทุกคนก็รู้ว่าเขาเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น หนทางก็คือปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไร จะเป็นประโยชน์กว่าเสียเวลาไปคิดอย่างนั้น ซึ่งมันทำให้ขณะนั้นถ้าคิดในเรื่องอื่นจะดีกว่าแม้
นี่ค่ะ ประโยชน์สูงสุดของพระธรรม ทั้งหมดที่ทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง เพื่ออนุเคราะห์คนที่ไม่สามารถจะเห็นความลึกซึ้งว่า กิเลสมันมาได้ทุกรวดเร็วแค่ไหนทุกอย่างแม้ขณะที่ทำความดี
อ.อรรณพ: ใช่ครับ เมื่อคืนก็มีการสนทนากันตอน ๑ ทุ่ม ถึง ๓ ทุ่มนะครับ ก็สนทนากับคุณตู่ ปริญวุฒ ว่า เวลาที่เราจะต้องเจอกับคนที่ดื้อรั้น เราก็ไม่สมควรที่จะไปโกรธ ไปบ่น ไปตอบโต้ แต่ก็ไม่ทิ้งโอกาสที่จะเกื้อกูล หรือช่วยให้เขาได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งตรงนี้เป็นบารมีในชีวิตประจำวันจริงๆ มีขันติไหมกับการประพฤติกับความคิดที่ต่างกันของแต่ละคนที่เขาคิดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ก็จะดื้อทำอย่างนั้น เราคิดต่างเราก็จะอนุเคราะห์เกื้อกูลกันไหม หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว ใครจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยไปทอดธุระไป ก็โดนลวงไปอีกแบบ
ท่านอาจารย์ก็บอก ยากที่จะเป็นกุศล ยากที่จะเป็นบารมี ยากที่จะเป็นขันติบารมีที่อดทนเพื่อเกื้อกูล ยากที่จะเป็นวิริยบารมี เพียรในการที่จะแก้ปัญญาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี่ครับ ก็ต้องมีความเพียร ถ้าความเพียรนั้นเป็นไปเพื่อศาสนาเพื่อให้งานของศาสนาดีขึ้น ขณะนั้นไม่ต้องใส่ชื่อว่าเป็นวิริยบารมี อดทนด้วยเป็นขันติบารมี แล้วก็ด้วยเมตตาอย่างนี้ ครับ ก็เห็นเลยครับ บารมีในชีวิตประจำวัน ชื่อหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้เป็นแค่หนังสือ แต่เป็นความจริงของผู้ที่อบรมปัญญา อบรมเจริญคุณความดี ที่จะพ้นไปจากความเป็นอย่างนี้
ก็ไม่ง่ายครับท่านอาจารย์เพราะว่าสะสมอกุศลมามาก คนนี้ทำอะไรไม่รู้เรื่อง เราก็เกิดโทสะ แทนที่จะมีความแยบคายที่จะพิจารณาแล้วก็แก้ไขต่อไปครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจความลึกซึ้ง ผู้ใคร่ในการศึกษา แค่นี้!!
อ.อรรณพ: ผมก็รู้สึกปลาบปลื้มที่ได้กราบเรียนท่านอาจารย์ในเรื่องนี้ แล้วท่านอาจารย์ก็ได้กล่าว เป็นผู้ใคร่ในการศึกษา
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่ใคร่แต่เฉพาะการฟัง ใคร่ที่จะประพฤติปฏิบัติตามซึ่งเป็นการศึกษาจริงๆ
อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น การศึกษา คือฟังไตร่ตรองเข้าใจ และเห็นประโยชน์ เห็นโทษของกิเลสอกุศล เห็นคุณของคุณความดี แล้วก็มีการปรุงแต่งไปที่จะประพฤติตาม แล้วก็ศึกษาสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ศึกษาเรื่อง แต่ไม่สนใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
อันนี้ก็เป็นเพียงเล็กน้อยที่ได้เข้าใจ จากที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวก็ไม่อาจเลยที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของ ความเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ใคร่ต่อการศึกษาของท่านพระราหุล ครับ แต่ก็เป็นประโยชน์มากๆ
ท่านอาจารย์:
ผู้ใคร่ต่อการศึกษาโดยเคารพในโอวาท [ชาดก]
ขอเชิญฟังได้ที่..
ทรงโอวาทท่านพระราหุล
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ