Thai-Hindi (English) 10 May 2025
โดย prinwut  13 พ.ค. 2568
หัวข้อหมายเลข 49934

Thai-Hindi (English) 10 May 2025


- วันนี้เป็นวันดี โชคดีมากสำหรับคุณแอน เชิญตามสบายเลยค่ะ (คุณแอน - อยากให้พูดถึง ฆนสัญญา สัญญาวิปลาส เข้าใจว่า ฆนสัญญากำลังมีเดี๋ยวนี้ หลังจากที่สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดแล้ว เห็นสิ่งที่ปรากฏ มีจิตขณะต่อๆ ไปเกิดหลายขณะ จากนั้นเป็นนิมิตของเห็น แล้วค่อยๆ เป็นฆนสัญญา เป็นบัญญัติ ทั้งหมดเป็นสัญญาวิปลาส)

- เราจะเรียนเฉพาะสัญญาเพื่อเข้าใจความจริงสูงสุดของสิ่งที่กำลังมีว่าเป็นเพียงสิ่งที่มีจริง เป็นสังขารธรรม เพราะฉะนั้นค่อยๆ ศึกษาเพื่อละความเข้าใจผิดและความยึดถือที่สะสมมาแสนนานว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงสนทนาถึงสิ่งที่มีจริงทีละหนึ่ง

- เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจะไม่พูดถึงจิต ไม่พูดถึงเจตสิก เราจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพียงสิ่งเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้น คือ สัญญา เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เพราะว่าเดี๋ยวนี้กำลังจำ ใช่ไหม เป็นธรรมที่จำไม่ว่าอารมณ์จะเป็นอะไร สัญญาทำเครื่องหมาย เพราะฉะนั้นสัญญารู้โดยการจำรูปทรงสัญฐานว่า เป็นคุณแอน เห็นไหม

- แม้ว่าไม่มีคำว่าคุณแอน ยังไม่มีชื่อแต่มีสิ่งที่ปรากฏสะสมแต่ละขณะที่หมายรู้และจำพร้อมเห็น และสภาพธรรมอื่นๆ ด้วยไม่ใช่เฉพาะเห็นและสิ่งที่ถูกเห็นเท่านั้น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ธรรมเหล่านั้นเพียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและหมายรู้ทันทีในสิ่งที่ปรากฏโดยการจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นชื่อซึ่งไม่สำคัญเลยเพราะเรากำลังพูดถึงเพียงสภาพธรรมที่มีจริงๆ เท่านั้นที่เกิดขึ้นหมายรู้จำในสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นกิจหน้าที่ที่เปลี่ยนไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นขณะใดก็ตามสัญญาเกิดขึ้นเพื่อจำได้หมายรู้

- เพราะฉะนั้นตอนนี้เรากำลังศึกษาถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อค่อยๆ ละความคิดว่า “เราจำได้” ในแต่ละวันแต่ละเดือนตลอดจนชั่วชีวิต กำลังจำและค่อยๆ ละความยึดถือว่าเป็นเราที่จำ เพราะฉะนั้นสัญญาเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพที่รู้อารมณ์และไม่ได้ทำกิจของจิตที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะที่ต่างๆ กันของอารมณ์แต่สัญญาเกิดพร้อมจิตเพื่อทำเครื่องหมายและจำอารมณ์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่มีแมว ไม่มีสุนัข เพราะสัญญาเป็นสัญญา

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีสัญญาเท่าไหร่ เพียงลืมตา เห็นไหม พอหลับตาไม่มีสัญญาจำในสิ่งที่ถูกเห็นเพราะไม่เห็นอะไร แต่ทันทีที่ลืมตา ความจริงคือมีสิ่งต่างๆ มากมายปรากฏและสัญญาทำเครื่องหมายและจำได้ทุกอย่าง ไม่ต้องมีชื่อแต่สัญญาจำแล้ว

- เพราะฉะนั้นขณะนี้มีกี่ขณะนับไม่ได้ ไม่เหมือนอย่างที่เราคิดหรือจินตนาการ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง นี้เป็นคำที่มีในพระไตรปิฎกและเป็นความจริง ศึกษาธรรมศึกษาความจริงในแต่ละขณะคือ เดี๋ยวนี้ที่คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เห็น ได้ยิน ความรู้สึก และอารมณ์ต่างๆ ทุกอย่างที่ปรากฏสัญญาจำแล้ว ไม่ได้อยู่ไกลเลยแต่เมื่อเข้าใจพูดถึงจิตไม่เคยคิดว่าจิตอยู่ไหน เมื่อพูดถึงสัญญาก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่า สัญญาอยู่ไหน แต่สัญญาอยู่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ที่นอกตัวเลยแต่สัญญาไม่ใช่แข็ง เพราะฉะนั้นเรากำลังศึกษาสิ่งที่กำลังมีที่เป็นปรมัตถ์แต่แตกต่างกันทีละหนึ่ง

- เพราะฉะนั้นตอนนี้สัญญาจำทำเครื่องหมาย ไม่ใช่ในอารมณ์เดียว ใช่ไหม เพราะว่าเพียงจิต ๑ ขณะที่รู้อารมณ์เพียง ๑ อารมณ์ สัญญาจำสิ่งนั้นแต่สิ่งนั้นปรากฏไม่ได้โดยวิถีจิตเพียง ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นฆนสัญญาไม่ใช่สัญญาเพียง ๑ ขณะแต่ทำเครื่องหมายและจำหลายๆ ขณะ เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นฆนสัญญาของตุ๊กตา เป็นฆนสัญญาของเก้าอี้ ของทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้ในพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพียง ๑ ธรรมเท่านั้น แต่เกิดขึ้นโดยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะฆนสัญญา

- แต่ความเข้าใจถูกเห็นถูกสามารถเริ่มที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่มีไม่ใช่ ๑ สัญญาหรือ ๑ เห็น ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มศึกษาสิ่งที่กำลังมีในชีวิตประจำวัน ความจริงที่ถูกปกปิดซึ่งไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ลองคิดถึงขณะที่นิมิตของ ๑ หรือ ลักษณะของสภาพธรรม ๑ ปรากฏเดี๋ยวนี้ เมื่อไม่มีเห็นคือไม่มีเพียงเห็นเท่านั้น มืดหมดไม่มีอะไรที่จะสามารถปรากฏให้เห็นได้เลย จริงหรือไม่ แม้เพียง ๑ ขณะของเห็น โลกก็เปลี่ยนจากโลกของสิ่งหนึ่งสิ่งใด โลกของผู้คนไปเป็นโลกของความมืดมิด

- และสิ่งที่ปรากฏในความมืดมิดก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เองในขณะที่เหมือนไม่มืดเลยเพราะการเกิดดับสืบต่อซ้ำๆ กันในแต่ละทวารที่มีที่ปิดปังความจริง เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนขั้นสูงเป็นปัญญาในขั้นประจักษ์แจ้งที่ไม่ใช่เพียงศึกษาว่า “มีธรรมเกิดแล้วดับ” “มีสัญญาเกิดขึ้น ฯลฯ ” นั่นเป็นเรื่องราวของสัญญาแต่ไม่ใช่ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงคือเดี๋ยวนี้ที่ถูกปิกปิดไว้จนกว่าความเห็นถูกความเข้าใจถูกสามารถที่จะรู้ความจริงของสัญญาทีละเล็กทีละน้อยด้วยความเข้าใจในขั้นต่างๆ ตามลำดับ

- เพราะฉะนั้นไม่สงสัยในฆนสัญญา เมื่อกล่าวถึงฆนสัญญา เรากล่าวถึงความเข้าใจผิดความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิ เราเพียงกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงคือ สัญญา กิจหน้าที่ของสัญญาและอารมณ์ของสัญญาเดี๋ยวนี้เพื่อเริ่มที่จะเข้าใจแต่ละขณะที่มีตามความเป็นจริงที่ไม่ใช่เราไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เป็นเพียงความจำเดี๋ยวนี้ ชัดเจนหรือยังในฆนสัญญา

- (คุณแอน - ขอย้อนกลับไปเมื่อกี้นี้ นิมิตของ….) ๑ ธรรม และนิมิตของหลายธรรม (ต้องเป็นธรรมหลายๆ ธรรมจึงจะเป็นนิมิต) มีนิมิต ๒ อย่าง นิมิตของ ๑ ธรรมปรากฏเป็นนิมิตของเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เห็น ๑ ขณะ และนิมิตของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเมื่อปรากฏเป็นรูปร่างรูปทรง

- เพราะฉะนั้นความจริงคืออะไร ความจริงที่ถูกซ่อนไว้ เหลือเชื่อใช่ไหมว่า ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงเลยในขณะนี้ และปัญญาที่เกิดขึ้นคมกล้าจนแทงตลอด ๑ ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงโดยไม่ปะปนกับสภาพธรรมอื่นๆ ค่อยๆ ชัดขึ้นๆ และเป็นความจริง ไม่มีการคิดถึงคำถึงชื่อหรือเรื่องราวใดๆ แต่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

- (เมื่อกี้ท่านอาจารย์กล่าวถึงความมืด ช่วยอธิบายด้วย) หลับตาเดี๋ยวนี้ อย่างเพิ่งลืมตา มีอะไร (ความมืด) แล้วมีอะไรในความมืดที่กำลังปรากฏเมื่อหลับตา อะไรกำลังปรากฏ มีเสียงมั้ย มีแข็งมั้ย มีกลิ่นมั้ย สภาพธรรมทุกอย่างปรากฏในความมืดทั้งนั้น เว้นทางทวารเดียวเท่านั้นที่สว่างคือเห็น เพราะฉะนั้นโลกขณะนี้ไม่ได้ปรากฏตามควมเป็นจริงและปัญญาเริ่มเข้าใจความจริงเพื่อที่จะเข้าใจความหมายของคำว่า ไม่มีคน ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรม ไม่ว่าอะไรที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ขณะไหนก็ได้เพราะว่ากำลังมีใกล้ที่สุดขณะนี้ ถ้าไม่มีการคิดพิจารณาถึงสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ก็ไม่ใช่การศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเพียงการศึกษาเรื่องราว ศึกษาคำของธรรม ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมคือ การเริ่มศึกษาความจริงที่อยู่ใกล้ที่สุดเดี๋ยวนี้แต่ไกลมากจากความเข้าใจถูก ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มต้นแล้วเริ่มต้นอีก



ความคิดเห็น 1    โดย prinwut  วันที่ 13 พ.ค. 2568

- (เมื่อกี้พูดถึงเห็นและนิมิตของเห็น และเมื่อเป็นรูปทรงสัณฐานก็เป็นกระบวนการตามธรรมชาติของเห็นซึ่งทำให้เกิดรูปร่างรูปทรง) ไม่ใช่ เห็นไม่ได้สร้างหรือผลิตให้เกิดรูปร่างรูปทรง เพียงแค่เกิดแล้วดับตามธรรมดาไม่มีความคิดที่จะทำให้อะไรหรือทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลย

- วิถีจิตที่เกิดดับสืบต่อกันในแต่ละทางไม่ใช่เพียงเป็นปัจจัยให้เกิดนิมิตของหนึ่งสภาพธรรมแต่ต่อภายหลังยังเป็นฆนสัญญาของสิ่งหนึ่งสิ่งใดขณะนั้นก่อนที่จะปรากฏให้รู้ ต้องมีเห็นเกิดดับกี่ขณะ ต้องมีภวังค์เกิดคั่นระหว่างวิถีจิตเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเพียงสภาพธรรม ๑ ขณะเท่านั้น ไม่สามารถปรากฏเป็นเห็น ๑ ขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ได้และขณะนี้ไม่ได้ปรากฏเป็นเห็นเท่านั้น มีสิ่งต่างๆ มากมายที่ปรากฏ เห็นถึงความเกิดดับซ้ำๆ กันสืบต่อมากมายหลายขณะตามปัจจัย

- เพราะฉะนั้นขณะนี้สามารถที่จะมีความเข้าใจในสัญญาและฆนสัญญาของ สภาพธรรม ๑ และฆนสัญญาของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นนิมิตของสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่สัญญาเป็นสัญญา และเมื่อเป็นฆนสัญญาหมายถึงไม่ใช่เพียง ๑ สัญญาแต่รวมกันมากมายเกินกว่าที่จะคิดเองได้ และนี้คือ ความจริงที่ถูกปิดบังจนมิด ถ้าหากเราไม่พูดถึงเลยก็ยังคงเป็นโลกของสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตาอย่างที่เคยเป็นตลอดเวลา

- เพราะฉะนั้นต้องค่อยๆ ปลูกฝังความเข้าใจถูก อบรมให้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ค่อยๆ มั่นคงขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปทีละขณะ และนั่นคือหนทางเป็นมรรคไม่มีทางอื่นเลย เพราะว่าเป็นมรรคองค์แรกเป็นสัมมาทิฏฐิที่เป็นไปกับบารมีทุกประการ ถ้าปราศจากบารมีแล้วจะเข้าใจเพิ่มขึ้นได้อย่างไร จะละความติดข้องได้อย่างไร

- เพราะเรากำลังศึกษาธรรม และธรรมก็คือเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่คำ ไม่ใช่ชื่อ ไม่ใช่เรื่องราว แต่คำนั้นนำไปสู่การพิจารณาไตร่ตรองโดยแยบคายในสิ่งที่มีจริง มิฉะนั้นเราก็เพียงพูดถึงสัญญาที่เกิดกับเจตสิกอื่นๆ แต่ไม่มีความเข้าใจในฆนสัญญาและสิ่งอื่นๆ

- (เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกของฆนสัญญาตลอดเวลา) ความไม่รู้ ความติดข้องและความมืด (คุณสุคิน - คุณแอนทราบใช่ไหมว่า ฆนสัญญาเป็นผลที่ตามมาเป็นปกติของจิตและเจตสิกที่เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก แม้พระอรหันต์ก็มีฆนสัญญา เข้าใจอย่างนี้ใช่ไหม)

- (และฆนสัญญากับสัญญาวิปลาสก็มีความต่างกัน สัญญาวิปลาสหมายถึงสัญญาที่เกิดกับอกุศลจิต ไม่เกิดกับกิริยาจิต ไม่เกิดกับกุศลจิต แม้มีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ก็ไม่ใช่วิปลาสเสมอไป เมื่อเมตตาเกิดอารมณ์ของเมตตาคือสัตว์บุคคล อารมณ์ของเมตตาเป็นบัญญัติ ขณะนั้นเป็นฆนสัญญาไม่ใช่สัญญาวิปลาส)

- เพราะฉะนั้นสัญญาวิปลาสเกิดเมื่อไหร่ เกิดเมื่อเป็นอกุศลเท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดกับความไม่รู้ ความติดข้อง หรือโทสะ หรือมานะ ฯลฯ เมื่อจิตเป็นอกุศลก็เพราะสัญญาวิปลาส ไม่เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีตามความเป็นจริง แต่ขณะที่เข้าใจถูก สัญญาไม่วิปลาส

- (แล้วฆนสัญญา) สิ่งที่ปรากฏๆ เพราะฆนสัญญาถูกต้องไหม ไม่สงสัยเลย ส่วนนิมิตของสัญญาเพราะสัญญาขณะนั้นวิปลาสเพราะไม่เข้าใจความจริงว่าเป็นเพียงธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจว่า สัญญาเป็นเพียงสภาพธรรมขณะนั้นสัญญาไม่ใช่สัญญาวิปลาส สัญญาวิปลาสเกิดกับอกุศล ด้วยเหตุนี้พระอรหันต์จึงไม่มีสัญญาวิปลาสอีกต่อไป

- และอกุศลจิตของพระอนาคามียังมีสัญญาวิปลาสแต่ไม่มีความเห็นผิดในสัญญา แต่ตราบใดที่ยังมีความติดข้องในสัญญาหรือในสิ่งใดๆ โดยความเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ขณะที่เป็นอกุศลสัญญาก็วิปลาสเพราะขณะนั้นเป็นอกุศล (เข้าใจว่าขณะใดที่เป็นอกุศล สัญญาก็วิปลาส) ด้วยฆนสัญญา (เป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้)

- อะไรเป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ (ฆนสัญญา) ถูกต้อง เพราะว่าใครจะยับยั้งให้รู้สัญญาเพียง ๑ ขณะได้ (ใช่ และเมื่อรู้ก็รู้โดยนิมิตของสัญญา) แน่นอน แม้แต่วิปัสสนาญาณไม่ว่าอะไรปรากฏๆ โดยนิมิต และนั่นหมายความว่า มีฆนสัญญาขณะนั้น

- และขณะที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมด้วยความตรง ด้วยความแยบคาย ด้วยความชัดเจน เป็นขณะที่ละความเห็นว่าเป็นเราทีละเล็กทีละน้อย และสูงสุดคือไม่มีความติดข้องในอารมณ์ที่ปรากฏอีกต่อไป แต่ฆนสัญญาเป็นฆนสัญญาไม่มีใครเปลี่ยนได้ แต่ความเข้าใจสามารถที่จะเข้าใจลึกซึ้งขึ้นตามความเป็นจริง

- (และทั้งหมดนี้สะสมต่อไปใช่ไหม) แน่นอน สิ่งที่สามารถสะสมต่อไปได้คือ กุศลและอกุศลไม่ว่าในระดับไหน ความเข้าใจที่ละเอียดขึ้นจะเริ่มเข้าใจในความจริง ชีวิตไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เริ่มเข้าใจความไม่รู้ที่หนามาก สกปรกมาก ความโสโครกของความไม่รู้ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง ศึกษาเพื่อละความไม่รู้ว่า ไม่ใช่เราหรือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นเพียงสภาพธรรมที่ไม่สามารถเข้าใจความจริง

- ไม่มีเรา เป็นหนทางเดียวที่จะยึดถือในความเป็นเราน้อยลงๆ อีกนานเท่าไหร่ที่จะไม่มีความเห็นผิดในสิ่งที่ปรากฏอีกเลยในชีวิตประจำวัน เพราะความเห็นผิดถูกดับไปหมดสิ้น ไม่มีแม้ขณะเดียวที่จะเห็นผิดอีกต่อไป (อีกหลายกัปป์) ไม่เป็นไร เพราะถูกคือถูก ผิดคือผิด ความเข้าใจถูกเท่านั้นที่ตรงต่อความจริง

- ความเข้าใจเห็นขณะนี้แค่ไหนเทียบกับความไม่รู้ที่สะสมมาในแสนโกฏิกัปป์ (น้อยมาก) นั่นคือปัญญาที่เริ่มไม่ประมาทในอกุศลที่ได้สะสมมา เพราะฉะนั้นเป็นขณะที่มีค่ายิ่งที่เข้าใจถูกในความจริงว่า ความเข้าใจถูกเริ่มต้นได้จากการฟัง การไตร่ตรองพิจารณาจนกว่าหมดสงสัยในความจริงของสิ่งที่มีจริงจนกระทั่งเป็นปัจจัยให้มีความเข้าใจตรงลักษณะของสภาพธรรมตามเหตุตามปัจจัย ขณะนั้นความเป็นอนัตตาค่อยๆ เริ่มปรากฏทีละเล็กทีละน้อยเพราะว่า แม้ขณะนี้ทุกอย่างทั้งหมดเป็นอนัตตา ใครจะรู้ว่า ขณะต่อไปจะเป็นอะไร อนัตตามีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีความเข้าใจ

- และนี้เป็นหนทางเดียวที่จะค่อยๆ เริ่มติดข้องน้อยลง ค่อยๆ เริ่มละคลายไม่ใช่ด้วยใครแต่ด้วยความเข้าใจความจริงซึ่งเป็นความรู้รอบแรกในอริยสัจจ์ ๔ สามรอบ เป็นความเข้าใจในขั้นปริยัติ นี้เป็นหนทางเดียวไม่มีทางอื่น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นขันติบารมี วิริยะบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เนกขัมมะบารมี เมตตาบารมี ทั้งหมดเป็นขณะที่เป็นกุศลเพื่อห่างไกลจากอกุศลซึ่งเป็นเครื่องกั้นไม่ให้ความเข้าใจถูกเกิดขึ้น


ความคิดเห็น 2    โดย prinwut  วันที่ 13 พ.ค. 2568

- ไม่สงสัยในบารมีเดี๋ยวนี้ เห็นไหม ไม่สงสัยว่า ขณะไหนเป็นบารมี ไม่ใช่อยู่ในหนังสือ ขณะที่เข้าใจและเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลประการนั้นๆ ตามเหตุตามปัจจัยทีละน้อยๆ คุณแอนทำกุศลมาที่จะได้รับประโยชน์ในวันนี้ คนเดียวด้วย ใครจะรู้ อะไรจะเกิดขึ้น (ดีใจมากที่มาฟังวันนี้ ดีมาก) เราก็ต้องพูดธรรมบ่อยๆ (อาทิตย์ที่แล้วมีโอกาสฟังการสนทนาของเดือนที่แล้ว ฟังภาษาไทยดีมาก)

- เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่าเราจะพูดอะไร เรื่องเดียวสิ่งเดียวให้ชัดเจนให้เข้าใจขึ้น ถ้านิดๆ หน่อยๆ ไม่มีทางเข้าใจ เพราะฉะนั้นคุณแอนก็จะช่วยอธิบายให้คนอื่นที่ไม่เข้าใจให้เข้าใจขึ้นได้ (ที่แคนาดามีคนที่สนใจแต่มีน้อย) แต่ถ้าเราพูดถึงชีวิตธรรมดาและมีคำที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่ถูกปกปิดไว้ เขาจะเริ่มรู้ประโยชน์ว่า ทำไมสามารถเข้าใจความจริงของเดี๋ยวนี้ได้ ต้องเป็นการเริ่มสนทนาธรรมดาๆ ให้เขารู้ว่า ความรู้กับความไม่รู้ต่างกันมาก

- (คุณสุคิน - มีคำถามเรื่องจิต ความจริงของจิตคือรู้แจ้ง ขอคำอธิบายเพิ่ม จิตรู้แจ้งหมายความว่าอย่างไร) ไม่ลืมว่า ศึกษาธรรมคือ ศึกษาคำธรรมแต่คำของธรรมเป็นหนทางให้เข้าว่า อะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นต้องเริ่มต้นแล้วเริ่มต้นอีก ธรรมมีทุกหนทุกแห่ง ขณะนี้เป็นธรรม ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

- ถ้าเราลืม เมื่อเราคิดถึงเห็นแต่ไม่มีความเข้าใจว่า เรากำลังศึกษาเห็นเพื่อเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อพูดถึงจิต จิตเป็นสภาพที่มีจริงๆ ที่รู้แจ้งอารมณ์ จริงไหมแค่นี้ ทวนแล้วทวนอีก มีสิ่งที่มีจริงที่รู้อารมณ์ไหม (มี)

- คืออะไร (เห็น ได้ยิน) ทีละหนึ่ง เห็นเห็นอะไร (เห็นเห็นสิ่งที่ถูกเห็น) แต่ยังไม่ใช่สีที่ถูกเห็นเพราะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ แต่ศึกษาความจริง เห็นเห็นสี เห็นสามารถคิดได้ไหม (เห็นไม่ใช่คิด) เห็นได้ยินได้ไหม (เห็นไม่ใช่ได้ยิน) เห็นจำได้ไหม (ไม่ได้) ชอบได้ไหม (ไม่ได้)

- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจลักษณะของเห็น ไม่ใช่อย่างอื่น เพียงเห็นเท่านั้นที่เกิดขึ้นเห็น แล้วสิ่งที่ถูกเห็นคืออะไร คือสิ่งเกิดขึ้นเพื่อถูกเห็นอย่างเร็วมากเพียง ๑ จุดของสิ่งที่คิดว่าเป็นรูปภาพ เป็นแก้วน้ำ ฯลฯ เห็นมากมายหลายขณะกว่าจะเป็นแก้วน้ำเพราะว่า ต้องมีอารมณ์ที่ถูกเห็นเท่านั้นเพื่อเข้าใจว่าคืออะไรจริงๆ เราต้องพูดถึงหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อที่จะพิจารณาเพื่อมั่นคงในเห็นที่กำลังรู้อารมณ์อย่างชัดเจน

- แทนที่จะเพียงพูดถึงเห็น แต่เห็นเดี๋ยวนี้แหละ มีเห็น มีสิ่งต่างๆ มากมาย แต่เพียง ๑ จุดของสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นแก้วน้ำได้เพราะมีสิ่งที่มีจริงที่เล็กที่สุดกระทบตา เริ่มศึกษาทีละเล็กทีละน้อยถึงความจริงถึงที่สุดของเห็นเท่านั้น ก่อนเห็นไม่มีเห็น เมื่อมีปัจจัยให้เห็นเกิด ปัจจัยทำให้เห็นเพียงเกิดขึ้นแล้วดับทันที ตรงต่อความจริงแต่ละคำ เห็นเกิดขึ้นโดยปัจจัยเพื่อเห็น เกิดเพื่อเห็นแล้วหมดทันทีไม่รู้เลย ความจริงคือ ขณะที่เห็นจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ไม่ใช่ชอบ ไม่ใช่ไม่ชอบ ไม่ใช่จำ ฯลฯ เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยเพื่อเห็นเท่านั้นและเห็นแตกต่างจากสภาพธรรมอื่นๆ ที่รู้อารมณ์เดียวกัน เกิดพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวแต่มีธรรมที่ชอบ ธรรมที่จำ ธรรมที่รู้สึก ฯลฯ

- เพราะฉะนั้นเห็นคืออะไร เพราะเห็นทำหน้าที่เห็น ไม่คิด ไม่จำ เพียงรู้อารมณ์ที่เล็กน้อยที่สุดทีละ ๑ ขณะแต่เพราะเห็นรู้แจ้งอารมณ์ที่เห็นชัดเจนสัญญาทำเครื่องหมายและขณะต่อไปก็จำสีเดียวกันหรือสีอื่นๆ และเมื่อเห็นเกิดดับอย่างรวดเร็วก็เป็นปัจจัยให้เกิดนิมิตรูปร่างรูปทรงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

- แต่เห็นไม่ใช่คิด ไม่ใช่จำ ไม่ใช่พิจารณา เห็นเกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์และธรรมอีกประเภทหนึ่งทำเครื่องหมายและจำอารมณ์ว่าเป็นสีที่ต่างๆ ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มที่จะรู้จักโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมายว่า มาจากแต่ละขณะๆ ที่จิตรู้แจ้งอารมณ์ทีละขณะ

- ขณะเห็น เห็นรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางตา เห็นไม่สามารถรู้แจ้งนิมิต เห็นไม่ใช่สัญญาแต่เห็นเห็นอารมณ์ ๑ ขณะชัดเจนมิฉะนั้นสีสันต่างๆ ไม่ปรากฏถ้าปราศจากจิตที่รู้แจ้งอารมณ์ สีชมพูอ่อนๆ หรือสีน้ำตาลเข้มๆ หรือสีเหลืองอ่อนๆ ถ้าจิตไม่รู้แจ้งอารมณ์นั้นอย่างชัดเจน ไม่สามารถที่จะเป็นสีสันต่างๆ ได้ ทางใจคิดถึงได้เพราะสัญญาทำเครื่องหมายในอารมณ์นั้นๆ ที่ต่างๆ กันไว้แล้ว ค่อยเริ่มเข้าใจบ้างไหม

- (คุณสุคิน - ทางใจคิดถึงอารมณ์ได้เช่น กระทบแข็งแล้วก็คิดถึงแข็งที่กระทบแต่จุดประสงค์ของการคิดขณะนั้นคืออะไร และเราจะพูดได้อย่างไรว่า การคิดรู้แจ้งในสิ่งที่คิด ตรงนี้ยังสับสนอยู่) ลองหลับตาแล้ว คิดถึงเสียงได้ไหม หรือคิดถึงรูปภาพได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นจิตรู้แจ้งอารมณ์ที่รู้ต่อจากทางปัญจทวาร (ดังนั้นคำว่าชัดเจนหมายความว่าอะไร) เพราะขณะนั้นไม่เห็น เพราะฉะนั้นจิตรู้แจ้งอารมณ์ทางใจชัดเจน (และคิดไม่ใช่ฟัง คิดไม่ใช่เห็น คิดไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส)

- คุณโซฮานเข้าใจมั้ย เข้าใจดีมั้ย (ดิพพยา- เข้าใจ) เข้าใจดีมั้ย ไม่ใช่เข้าใจ (เข้าใจดี) ดีมาก สนทนาต่อไปได้เพราะทุกคนเข้าใจแล้ว เป็นประโยชน์ที่ทุกคนต้องเข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะละความเป็นตัวตนได้ เชิญสนทนาต่อ คุณสุคินหรือคุณแอนก็ได้เพราะเข้าใจและสนใจที่จะเข้าใจสิ่งที่เราสนทนาด้วย ถ้าเข้าใจธรรมทุกอย่างเป็นธรรม สนทนาได้หมด

- (คุณแอน - สัญญา…อารมณ์) จำ เพราะฉะนั้นสัญญาจำสิ่งที่ปรากฏทีละหนึ่งๆ แต่ ๑ จริงๆ ไม่ปรากฏ สัญญาจำทีละ ๑​ แน่นอน เกิดกับจิตทีละ ๑ แน่นอนแต่สิ่งที่ปรากฏทีละ ๑ ไม่ได้ปรากฏทีละ ๑ ได้ เดี๋ยวนี้จิตเกิดดับกี่ขณะ (มากหลายๆ ขณะ) เพราะฉะนั้นก่อนจะเป็นจุดๆ ๆ เป็นฆนสัญญาแล้วใช่ไหมของหนึ่งจุด

- เราสามารถพูดถึงสิ่งที่มีจริงอะไรก็ได้ในชีวิตประจำวันเพื่อเข้าใจว่ามีความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าธรรมทั้งหมดละเอียดมากลึกซึ้งมาก สนทนากันอีกครั้ง เห็นฝุ่นไหม (ไม่เห็น เพราะเล็กมากๆ ) จริงหรือ แล้วบอกได้อย่างไรว่าเล็กมากๆ เพราะฉะนั้นเราไม่คิดสิ่งที่ได้ยินแต่คิดสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้

- เห็นฝุ่นเล็กมากๆ ได้ไหม (ได้) ​ ทันทีที่เห็นว่าเป็นฝุ่นเล็กๆ เป็นนิมิตของเห็นแล้วมากมายหลายขณะ เพราะฉะนั้นเริ่มที่จะเข้าใจหน้าที่ของสัญญาที่ทำเครื่องหมายในอารมณ์ที่จิตรู้ เพราะฉะนั้นสัญญาต้องเกิดกี่ขณะที่จะทำเครื่องจำอารมณ์นั้นจนที่เป็นฝุ่นที่เล็กที่สุดซึ่งเป็นนิมิตแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีนิมิตของ ๑ ธรรมหรือนิมิตของสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือบุคคล หรือสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้

- เพราะฉะนั้นจิตเกิดแล้วดับไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่สงสัยเรื่องที่สัญญาเกิดกับจิตทุกขณะ ไม่สงสัยฆนสัญญาของ ๑ สภาพธรรม หรือฆนสัญญาของสิ่ง ๑ แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดก็เป็นฆนสัญญาแล้ว


ความคิดเห็น 3    โดย prinwut  วันที่ 13 พ.ค. 2568

- (คุณสุคิน - และไม่ใช่แค่ฝุ่น เพราะฝุ่นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว และแม้แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาปัญญาสามารถรู้ได้ในระดับที่ถึงตรงลักษณะ แม้อย่างนั้นก็มากมายหลายขณะ ไม่ใช่ขณะเดียว) ยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ก็เข้าใจความจริงเท่านั้น ธรรมทั้งหมดลึกซึ้งละเอียดอย่างยิ่ง เรียนเพื่อเข้าใจความจริงว่า เรากำลังอยู่ในความมืดของความไม่รู้ ถ้าปราศจากแสงสว่างคือพระธรรมที่ส่องให้เห็นถึงความจริง จะสามารถที่จะค่อยๆ รู้ความจริงที่อยู่ในความมืดมิดทีละน้อยๆ ได้ไหม จนกระทั่งค่อยๆ ชัดเจนขึ้นตามความเข้าใจที่ชัดเจนในแต่ละระดับ

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้แม้ว่าเรากำลังพูดถึงสัญญาแต่ยังไม่ถึงความเข้าใจสัญญาที่ชัดเจน ใช่ไหม เพราะว่าเป็นเพียงขั้นแรก เป็นรอบแรกของอริยสัจจะ รู้ชัดเจนพอไหม แหลมคมพอไหม ถ้าไม่พูดแล้วพูดอีกไม่มีทางที่จะรู้ เพราะถูกปกปิดมาหลายแสนโกฏกัปป์ และเพียงรู้ความจริงในขั้นฟังยังไม่ใช่การรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมซึ่งต้องเป็นลำดับๆ ไป ลึกซึ้งแค่ไหน และต้องเป็นสิ่งที่มีจริงไม่ใช่เราซึ่งเป็นสติหรือปัญญาหรือสัญญา ฯลฯ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้มิฉะนั้นก็เป็นเพียงชื่อเพียงคำหรือเพียงคิดโดยไม่เข้าใจว่า คิดอยู่ที่ไหน ไม่ใช่อยู่ข้างนอกสิ่งที่สมมติว่าเป็นตัวเราเดี๋ยวนี้ ใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจสิ่งที่ทรงแสดงในภาษาบาลีว่า “โอปนยิโก” ค่อยๆ เข้าใกล้ความเป็นอายตนะเพิ่มขึ้นๆ ไม่ใช่แค่คำว่า ธรรม เท่านั้น คำอื่นๆ ก็ช่วยให้เข้าใจและเข้าใกล้ความจริงเพิ่มขึ้นๆ ทีละเล็กทีละน้อย ถ้าเพียงแต่คิดถึงชื่อแล้วจะมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ได้อย่างไร เห็นไหม แต่เริ่มเข้าใจสิ่งที่เรากำลังพูดถึงที่กำลังมีขณะนี้ว่า เป็นแต่ละหนึ่งๆ ที่แตกต่างกันโดยความเป็นธรรม โดยความเป็นธาตุ หรืออายตนะ หรือปฏิจจสมุปบาท เพียงเริ่มที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ เป็นสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่เห็นและสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น แต่มีสัญญาด้วย และมีฆนสัญญาด้วย

- และเมื่อไม่ลืมและมีปัจจัยที่จะคิดถึงสิ่งที่ได้ยินได้ฟังบ้างบางครั้งตามเหตุตามปัจจัย ก็ค่อยๆ เริ่มที่จะเป็น “ถิรสัญญา” ความจำในสิ่งที่มีจริงที่มั่นคงซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดสติปัฏฐาน ถ้าปราศจากความจำที่มั่นคงก็ไม่สามารถที่จะจำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังได้และไม่เป็นปัจจัยที่จะให้สติเกิดได้เลย ด้วยเหตุนี้สติซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงจึงมีหลายระดับหลายขั้นเหมือนสภาพธรรมอื่นๆ เช่น ความติดข้องหรือความไม่ชอบ ทั้งหมดต่างกันเกิดเพราะปัจจัยและไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่แค่ในชาตินี้ เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวันเพราะเป็นธรรมทั้งหมด มิฉะนั้นก็เป็นเราฟัง เราพิจารณา เราเข้าใจ เห็นไหม เป็นหนทางพิจารณาธรรมที่ต่างกัน

- เดี๋ยวนี้มีการกระทบสัมผัสไหม เป็นสิ่งที่เรากำลังสนทนาหรือเปล่า จำได้ไหมว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่แข็งและที่รู้แข็งเท่านั้นเดี๋ยวนี้ การศึกษาธรรมคือศึกษาความจริงของสิ่งที่มีทีละน้อยว่า กำลังมีจริงๆ ให้รู้ได้ ไม่ใช่แค่เพียงคิดเท่านั้น ถ้าด้วยความคิดของเรานั้นผิดอย่างยิ่งเพราะเหตุว่า ไม่สามารถที่จะเป็นไปตามความคิดของเรา แต่เป็นไปตามความจริงเป็นความจริงสูงสุดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

- และความเข้าใจความจริงไม่ได้ทำร้ายใครเลย ความเข้าใจถูกเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่งเกินกว่าที่ใครๆ จะคิดเองได้ ขณะที่ไม่มีความเข้าใจและขณะที่เข้าใจแม้จะเป็นเพียงความเข้าใจในขั้นเริ่มต้นก็ต่างกัน ห่างไกลกันมาก จากการไม่เข้าใจอะไรเลยในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตาย และเริ่มเป็นการเข้าใจความจริงของชีวิต (คุณสุคิน - เป็นเพราะท่านอาจารย์ทำให้พวกเราหลายๆ คนได้เริ่มที่จะเข้าใจความจริง เพราะถ้าไม่ได้ฟังสิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าว พวกเราก็ยังคงต้องอยู่ในความมืดต่อไป)

- แต่ละคำที่ได้ฟังเป็นคำที่พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หรือเปล่า (เป็นคำขอพระองค์) เพราะฉะนั้นคุณโซฮาน คุณปรียา คุณดิพยารู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างหรือยัง มีค่ายิ่งกว่าความร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทองไหนๆ ในสากลจักรวาลเมื่อเทียบกับความเข้าใจถูกในความจริงแต่ละขณะทีละเล็กทีละน้อย

- กำลังตาบอดหรือเปล่า (ไม่) ทำไม (เพราะมีจิตเห็น) เห็นหรือได้ยิน (เห็น) จริงหรือ มี “ตา” พอที่จะ “เห็น” ความจริงขณะนี้ไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นบอดไหม (บอด) เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อรู้ว่า อะไรสามารถที่จะรักษาความไม่รู้หรือความมืดบอดที่ไม่สามารถที่จะเข้าใจอะไรได้เลย มีเพียงพระธรรมคำสอนที่ส่องให้เห็นถึงคววามจริงที่สามารถที่จะรักษาได้เท่านั้น

- เข้าใจความจริงของสิ่งใดก็ตามแม้ในขั้นฟังเข้าใจความหมายของคำนั้นว่า คืออะไร ความเข้าใจถูกไม่สงสัยอะไรเลยและขึ้นอยู่กับว่า สะสมความเข้าใจมามากน้อยแค่ไหนที่จะเข้าใจลึกซึ้งในสิ่งที่กำลังปรากฏมากน้อยแค่ไหน ลึกแค่ไหน ไกลเท่าไหร่จากความไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีการสนทนาธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏขณะนี้ได้เลย และขณะที่เข้าใจความจริงก็เป็นความเข้าใจหนทางที่จะประจักษ์แจ้งความจริงด้วย เป็นขณะที่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีทีละเล็กทีละน้อย มีอะไรที่อยากจะสนทนาไหม

- (คุณสุคิน - สำหรับพวกเราที่ยังมองเห็น กรรมในอดีตยังให้ผลให้ยังมีตาและยังเห็น ไม่มีใครอยากสูญเสียการมองเห็น แต่ความมืดมิดของความไม่รู้คือสิ่งที่เป็นโทษจริงๆ แต่ไม่ใช่การมองไม่เห็น) แล้วจะมืดน้อยลงได้อย่างไร (ฟังและศึกษาธรรม) เป็นธรรมโอสถที่ดีที่สุดเพื่อรักษาไม่ให้มืดบอดอีกต่อไปทีละน้อยๆ ด้วยความเข้าใจถูก เป็นหนทางเดียวเท่านั้น

- ด้วยเหตุนี้เราจึงใช้เวลาไปในการสนทนาธรรม ในการศึกษาธรรม ในการไตร่ตรองพิจารณาธรรมตามการสะสม เพราะเหตุว่า ไม่มีอะไรที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากปัจจัยที่เหมาะสมได้เลย ด้วยเหตุนี้เดี๋ยวนี้จึงเป็นปัจจัยให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สะสมเป็นบารมี เพราะฉะนั้นไม่สงสัยเลยว่า ถ้าไม่มีบารมีก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังมีธรรมแต่ไม่เข้าใจจนกว่าจะสนทนากันทีละเล็กทีละน้อยจนไม่สงสัยในจิตซึ่งสิ่งที่มีจริงๆ ที่เพียงเกิดขึ้นรู้อารมณ์เท่านั้น และจิตรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่สิ่งอื่นมิฉะนั้นจะไม่มีความต่างกันของแต่ละขณะของแต่ละนิมิตถ้าจิตไม่ได้รู้แจ้งสิ่งนั้น

- และเมื่อยังไม่มีความเข้าใจถูกในลักษณะอาการของจิต ก็เป็นเพียงการพูดถึงจิตในขณะที่กำลังมีเห็น กำลังมีได้ยิน กำลังมีคิดเดี๋ยวนี้ กำลังมีจริงๆ แต่ยังไม่มีปัจจัยให้ศึกษาจนกว่าจะมีปัจจัยให้รู้ว่า กำลังมีจิตแต่ไม่ได้คิดถึงจิตจนกระทั่งมีปัจจัยที่จะได้ฟังแล้วได้ฟังอีกในเรื่องของสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์

- เพราะฉะนั้นไม่ลืมความจริงของเห็นและถ้าไม่มีความใส่ใจในลักษณะของเห็นซึ่งกำลังเห็นขณะนี้ ไม่เข้าใจความหมายของการรู้แจ้งอารมณ์ กำลังเห็นและมีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะฉะนั้นมีสิ่งที่ถูกเห็นเพราะกำลังเห็นซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ที่กำลังปรากฏ แต่ยังไม่ใช่นิมิตรูปร่างรูปทรงแต่เป็นเพียงสภาพที่กระทบตา

- (ถ้าไม่เห็นชัดเจน จิตไม่รู้แจ้งอารมณ์ ดังนั้นสัญญาจะทำเครื่องหมายในอารมณ์ที่จิตกำลังรู้ขณะนั้นตามความเป็นจริงได้อย่างไร) ใช่ และอย่างที่ทราบกันว่าวิปัสสนาญาณแรกคือ นามรูปปริเฉทญาณ ความต่างคือยังไม่ถึงความเข้าใจที่ชัดเจนเพียง ๑ อารมณ์ที่กำลังปรากฏ


ความคิดเห็น 4    โดย prinwut  วันที่ 13 พ.ค. 2568

- จนเมื่อถึงเวลาที่เข้าใจชัดเจนถึงความต่างของลักษณะสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้อารมณ์ที่เป็นนามไม่ว่านามอะไร หรือที่เป็นรูปไม่ว่าจะรูปอะไร มีความแยกขาดกันชัดเจนของลักษณะสภาพธรรมเพื่อที่จะเข้าใจว่า ตามความเป็นจริงไม่มีเราหรือไม่มีใครเลยทั้งสิ้น มีแต่ธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นปรากฏให้รู้ และนี้เป็นเพียงตัวอย่างของความเข้าใจถูกในระดับวิปัสสนาญาณ

- และตอนนี้เป็นเวลาสำหรับสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว ค่อยๆ เริ่มที่จะสะสมที่จะเป็นปัจจัยเพื่อขณะที่คิดถึงธรรม ขณะที่ไตร่ตรองธรรมเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย มิฉะนั้นเราก็เพียงแต่พูดว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ อยู่ที่ระดับนั้นเป็นแค่คำที่กล่าวถึงจิตแค่นั้น แต่ยังไม่ถึงตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้น

- ด้วยเหตุนี้จึงมีความรู้ ๓ ระดับ มีอริยสัจจะ ๓ รอบ สัจจธรรม อริยสัจจธรรม ต่างระดับกัน ท้อถอยไหม (ไม่เบื่อแต่เบิกบานมาก) นั่นแหละ มีความยินดีในความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งแต่มีจริงๆ และสามารถที่จะอบรมเจริญขึ้นที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงทีละน้อยๆ เพราะว่าจริงอย่างยิ่งและกำลังปรากฏตามกำลังของความเข้าใจ ถ้าหากไม่มีการฟัง การไตร่ตรองและความจำพร้อมความเข้าใจถูกที่มั่นคง ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ ๒ ของปัญญาในอริยสัจจะรอบที่สอง

- คุณแอนฟังหรือเปล่า (ฟัง) เข้าใจขึ้นใช่ไหม (แน่นอน ขอบคุณมาก) และลึกซึ้งขึ้น (คุณสุคิน - ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงสติปัฏฐานซึ่งสำคัญและมีเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน แต่จะขอให้ท่านอาจารย์กล่าวถึงเวทนา) เพราะเวทนาปรากฏเกือบตลอดเวลาในขณะที่จิตไม่ปรากฏ ใช่ไหม (ดูเหมือนเป็นเช่นนั้น) ควรรู้ไหมเพราะมี (ควรรู้)

- เพราะฉะนั้นสติปัฏฐาน ๔ คือ ทุกสิ่งที่กำลังมีซึ่งควรต้องรู้ มิฉะนั้นก็มีแต่ความไม่รู้และความติดข้อง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นกายานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา ทั้งหมดเป็นธรรมขึ้นอยู่กับว่าอะไรปรากฏ เช่น กาย ความแข็งปรากฏตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้แต่ไม่คิดถึงเลย เพราะฉะนั้นมีสภาพธรรม ๑ ที่ไม่ควรลืมเพราะกำลังมี

- และเวทนาความรู้ก็มีด้วย ร้องไห้ หัวเราะ สุขกาย ทุกข์กาย แต่ไม่เคยคิดถึงเลยเหมือนสภาพธรรมอื่นที่ไม่เคยคิดถึงเลย แต่ยังไม่ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีในชีวิตประจำวัน ในขณะนี้จิตปรากฏไหม ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เฉพาะรูป กายานุปัสสนาสติปัฏฐานและเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน และสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานของสภาพรู้ เห็นไหม ถ้าไม่รู้ว่าต่างกัน สภาพที่รู้สึกหรือสภาพที่จำแล้วจะรู้จักจิตได้อย่างไรในเมื่อมีจิตตลอดเวลาแต่ไม่รู้ แต่สามารถที่จะพิจารณาจิตได้ว่ามี

- และถ้าไม่มีความเข้าใจจิต เราจะสามารถกล่าวได้อย่างไรว่า เห็นเป็นจิต ไม่เผินเพราะมีจิตตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน เวลากล่าวเหมือนกับง่ายมากที่จะเข้าใจแต่ความจริงไม่ง่ายเลย (คุณสุคิน - เป็นไปได้ไหมว่า ยกตัวอย่างเช่น เห็นและได้ยิน ก็เข้าใจว่าเป็นเราเห็น เราได้ยินตลอด และเวทนาก็เหมือนกันตลอดวันก็ยึดว่าเป็นความรู้สึกของเรา เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจธรรมเหล่านี้ตามความป็นจริงในแต่ละวันก็ต้องสะสมที่จะเป็นเราตลอดเวลา)

- เพราะว่าเห็นไหมว่า ดูเหมือนว่าง่ายที่จะเข้าใจจิตแต่ไม่ง่ายเลยเพราะว่า โลภะกำลังปรากฏว่าเป็นเรา แต่เห็นกำลังเห็นแต่ลึกๆ แล้วยังเป็นเราที่กำลังเห็นแต่ในขณะที่กำลังคิดหรือขณะใดๆ ก็ตาม จิตเป็นใหญ่ในการรู้แจ้ง รู้จักจิตไหมเดี๋ยวนี้ พูดถึงจิตหรือยัง กำลังพิจารณาจิตหรือเปล่า หรือว่าไม่เคยคิดถึงจิตเลย ยังไม่คิดถึงจิต เพียงคิดถึงความรู้สึก หรือ สัญญา ที่ได้กล่าวไปแล้ว เช่น ฆนสัญญา หรือ นิมิต ฯลฯ

- แต่ถ้ายังไม่มีความเข้าใจจิต ก็ยังไม่ถึงวิปัสสนาญาณเพราะว่า สิ่งที่ปรากฏๆ เป็นนามไม่มีรูปเจือปนเลย และลักษณะของรูป ๑ แต่ลักษณะของนาม ๑ ยังรวมกันอยู่กับสภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้ ด้วยเหตุนี้ปัญญาจึงต้องอบรมเจริญขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเพื่อเข้าใจว่า ยังมีความติดข้อง ความไม่รู้และความเห็นผิดว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งใด

- เป็นการเตือนให้รู้ว่ายังไม่ใช่ความเข้าใจจิตซึ่งมีอยู่ทุกขณะ เพราะว่าในแต่ละวันเราพูดถึงความรู้สึกและเราพูดถึงสังขารธรรมอื่นๆ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ด้วยเหตุนี้เมื่อมีความเข้าใจถูกว่าอะไรมีจริงรวมทั้งจิตด้วย วิญญาณขันธ์กำลังมี เป็นวิญญาณประเภทไหนที่เป็นขันธ์ เพราะฉะนั้นธัมมานุปัสสนารวมทุกอย่าง

- นี้เป็นหนทางที่สติเกิดขึ้นแล้วแต่แต่ละบุคคลตามการสะสม ต่างปัจจัยกันที่จะระลึกรู้สภาพธรรมต่างๆ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ด้วยความเป็นเราหรือเป็นบุคคลใดทั้งสิ้น (คุณสุคิน - ยกตัวอย่าง โทสะก็เป็นสภาพธรรมที่ควรรู้ แต่ส่วนใหญ่จะคิดว่าโทสะเป็นความรู้สึกที่ไม่สบายใจและเรียกสิ่งนั้นว่า โทสะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นความสำคัญที่ต้องเข้าใจแยกกันชัดเจนระหว่างเวทนาและโทสะว่า โทมนัสเป็นโทมนัส โทสะเป็นโทสะ เป็นธรรมคนละอย่างกัน)

- และลืมจิตไปแล้ว (ลืมตลอด) ด้วยเหตุนี้จึงมีจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเพื่อเตือนให้ไม่ลืมว่า กำลังมีจิตและถ้าไม่เข้าใจจิตก็เป็นเราแน่นอน เพราะฉะนั้นเป็นที่ตั้งที่เตือนให้ระลึกว่า ยังไม่เข้าใจกาย เวทนา จิตและธรรม เพราะจิตเป็นใหญ่เป็นประธานแต่ไม่รู้ว่าเป็นใหญ่เป็นประธานหมายถึงอะไร ถ้าปราศจากจิตอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ ไม่มีโลก

- (คุณสุคิน - และถ้าไม่เข้าใจ ๑ ธรรมก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมอื่นๆ ได้ เราต้องไม่คิดว่า เราจะเข้าใจแต่จิตอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าไม่เข้าใจเวทนา ไม่เข้าใจสภาพธรรมอื่นๆ ไม่เข้าใจรูปก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจจิต) และยังเป็นเราที่คิดอย่างนั้น

- วันนี้คุณแอนเข้าใจขึ้นแล้วใช่ไหม ฆนสัญญา ทีละเล็กทีละน้อยปรุงแต่งจนกว่าจะเป็นถิรสัญญา (คุณแอน - ยังไม่ถึงแน่) ถึงสิคะ ค่อยๆ ไปแล้วจะรู้ ถึงเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ไม่ถึง ตรงต่อความเป็นจริง (คุนสุคิน - สำคัญคือไม่ต้องรีบ ไม่ต้องอยากจะรู้ ความอยากจะรู้ทำให้ถึงยากขึ้น) (คุณแอน - มันเป็นโลภะ ไม่ดี ไม่มีประโยชน์)

- เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราสนทนาแล้วเข้าใจ ขณะนั้นบารมีจริงๆ จนกว่าจะเต็ม สบายๆ ใช่ไหม ทุกอย่างเกิดแล้ว เพราะฉะนั้นลืมไม่ได้เลยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า รู้สิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ รู้เดี๋ยวนี้เพราะเดี๋ยวนี้เกิดแล้วไม่ใช่คิดเรื่องอื่น จึงจะเป็นสติสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้นเพียงคำเดียว เตือนแล้ว รู้สิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้มีแล้วเดี๋ยวนี้

- มีอะไรจะถามไหม หรือมีอะไรที่ยังไม่เข้าใจไหม การเข้าใจจิตเดี๋ยวนี้สำคัญไหม (คุณดิพยา - สำคัญ) ด้วยเหตุนี้เราจึงค่อยๆ สนทนากันเพื่อเป็นปัจจัยให้ใส่ใจในสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ ไม่ใช่สภาพที่ถูกรู้ที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ดีมากไม่ลืมธรรม แล้วเข้าใจสติหรือยัง (เข้าใจ) เข้าใจฆนสัญญาหรือยัง (เข้าใจสัญญา?) ฆนสัญญา ไม่ใช่แค่คำว่า สัญญา (หมายถึงอะไร ไม่เข้าใจ) คุณสุคินช่วยอธิบาย

- เดี๋ยวนี้มีฆนสัญญาไหม (มี) เมื่อวานนี้มีฆนสัญญาไหม (มี) พรุ่งนี้มีไหม (มี) ตลอดชีวิตมีฆนสัญญา ทุกชาติมีฆนสัญญา วันนี้ก็ยินดีในกุศลของทุกท่านนะคะ สวัสดีค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย chatchai.k  วันที่ 13 พ.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ