... สัตตวัสสสูตร ที่ ๔ มีข้อความว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับที่ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ณ ตำบลอุรุเวลา ก็สมัยนั้นแล มารผู้มีบาปติดตามพระผู้มีพระภาค คอยมุ่งหาช่องโอกาส สิ้น ๗ ปีก็ยังไม่ได้ช่อง ภายหลังมารผู้มีบาปจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
ท่านถูกความโศกทับถมหรือ จึงได้มาซบเซาอยู่ในป่าอย่างนี้ ท่านเสื่อมจากทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้วหรือ หรือว่ากำลังปรารถนาอยู่ ท่านได้ทำความชั่วอะไรๆ ไว้ในบ้านหรือ เหตุไรท่านจึงไม่ทำมิตรภาพกับชนทั้งปวงเล่า หรือว่าท่านทำมิตรภาพกับใครๆ ไม่สำเร็จ
มีเรื่องที่จะถามอยู่เสมอที่จะทำให้เห็นว่า การกระทำ หรือว่าที่พระผู้มีพระภาคทรงประพฤติปฏิบัติอยู่นั้นไม่ถูก ที่จะให้เกิดความข้องใจต่างๆ นานา เช่น ข้อความที่มารทูลถามว่า ท่านถูกความโศกทับถมหรือ จึงได้มาซบเซาอยู่ในป่า ถ้าเห็นคนอยู่ในป่า คนที่คิดไม่ถูกก็จะคิดว่า คนนี้คงจะเสียใจเป็นนักหนาถึงได้หลบลี้ไป แทนที่จะคิดว่า ผู้นี้เป็นผู้ที่รักสงบ ไม่ใช่เป็นผู้ที่คลุกคลีกับชีวิตของฆราวาส กับมิตรสหาย ญาติ เพื่อนฝูงต่างๆ แต่เป็นผู้ที่รักความสงบ เป็นผู้ที่ต้องการที่จะหลีกออกจากหมู่คณะ หลีกตนที่จะไม่คลุกคลี แต่มารกลับคิดว่า คงจะเศร้าโศกเสียใจเสียเหลือเกิน หรือมิฉะนั้นก็ มารทูลถามต่อไปว่า ท่านเสื่อมจากทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้วหรือ หรือว่ากำลังปรารถนาอยู่
บางคนเวลาเสื่อมจากทรัพย์ หรือยศ หรือเกียรติ หรือคำสรรเสริญต่างๆ มีความโทมนัสเสียใจ ไม่ออกไปพบปะผู้คนอื่นเลย หลีกเร้นจากมิตรสหาย ญาติ พี่น้อง หรือว่าอีกบุคคลหนึ่งกำลังเต็มไปด้วยความปรารถนา อาศัยกำลังความปรารถนาที่ครอบงำ ก็ไม่อยากจะไปพบปะกับสิ่งอื่น นอกจากจะอยู่กับความคิด ความปรารถนาของตนเองเท่านั้น ครุ่นคิดไปในเรื่องที่ปรารถนา อยากจะได้สิ่งนั้น สิ่งนี้เพราะฉะนั้น มารก็ได้ทูลถาม เวลาที่เห็นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ลำพังว่า ท่านถูกความโศกทับถมหรือ จึงได้มาซบเซาอยู่ในป่าอย่างนี้ ท่านเสื่อมจากทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้วหรือ หรือว่ากำลังปรารถนาอยู่ ท่านได้กระทำความชั่วอะไรๆ ไว้ในบ้านหรือ เหตุไรท่านจึงไม่ทำมิตรภาพกับชนทั้งปวงเล่า หรือว่าท่านทำมิตรภาพกับใครๆ ไม่สำเร็จ
บางคนเป็นคนที่ชอบมิตรสหายเพื่อนฝูง อยู่ตามลำพังไม่ได้ มีทางใดที่จะมีเพื่อนฝูงมากๆ ก็พยายามศึกษาหาทางที่จะได้เป็นเพื่อนฝูงมิตรสหายกับผู้อื่นมากๆ เพราะฉะนั้น เห็นใครอยู่คนเดียวก็ไม่ได้คิดว่า ผู้นั้นเป็นผู้ที่ละการคลุกคลี ละจากความวุ่นวาย แต่ไปเข้าใจว่า คงจะไม่มีใครคบหาผู้นั้นเป็นแน่ ผู้นั้นจึงได้อยู่ตามลำพัง
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกร มารผู้เป็นเผ่าของบุคคลผู้ประมาทแล้ว เราขุดรากของความเศร้าโศกทั้งหมดแล้ว ไม่มีความชั่ว ไม่เศร้าโศก เพ่งอยู่ เราชนะความติดแน่น คือ ความโลภในภพทั้งหมด เป็นผู้ไม่มีอาสวะ เพ่งอยู่
มารทูลว่า
ถ้าใจของท่านยังข้องอยู่ในสิ่งที่ชนทั้งหลายกล่าวว่า สิ่งนี้เป็นของเรา แลว่าสิ่งนี้เป็นเราแล้ว สมณะ ท่านจักไม่พ้นเราไปได้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
สิ่งที่ชนทั้งหลายกล่าวว่าเป็นของเรานั้น ย่อมไม่เป็นของเรา และสิ่งที่ชนทั้งหลายกล่าวว่าเป็นเรา ก็ไม่เป็นเราเหมือนกัน แน่ะ มารผู้มีบาป ท่านจงทราบอย่างนี้เถิด แม้ท่านก็จักไม่เห็นทางของเรา
มารทูลว่า
ถ้าท่านรู้จักทางอันปลอดภัย เป็นที่ไปสู่อมตมหานิพพาน ก็จงหลีกไปแต่คนเดียวเถิด จะพร่ำสอนคนอื่นทำไมเล่า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ชนเหล่าใดมุ่งไปสู่ฝั่ง ย่อมถึงพระนิพพาน อันมิใช่โอกาสของมาร เราถูกชนเหล่านั้นถามแล้ว จักบอกว่า สิ่งใดเป็นความจริง สิ่งนั้นหาอุปธิกิเลสมิได้
มารทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหมือนอย่างว่ามีสระโบกขรณีในที่ไม่ไกลแห่งบ้านหรือนิคม ในสระนั้นมีปูอยู่ ครั้งนั้นพวกเด็กชายหรือพวกเด็กหญิงเป็นอันมากออกจากบ้านหรือนิคมนั้นแล้ว เข้าไปถึงที่สระโบกขรณีนั้นตั้งอยู่ ครั้นแล้วจึงจับปูนั้นขึ้นจากน้ำให้อยู่บนบก พระเจ้าข้า ก็ปูนั้นยังก้ามทุกๆ ก้ามให้ยื่นออก พวกเด็กชายหรือเด็กหญิงเหล่านั้นพึงริด พึงหัก พึงทำลายก้ามปูนั้นเสียทุกๆ ก้ามด้วยไม้หรือก้อนหิน พระเจ้าข้า ก็เมื่อเป็นอย่างนั้น ปูนั้นมีก้ามถูกริด ถูกหัก ถูกทำลายเสียหมดแล้ว ย่อมไม่อาจก้าวลงไปสู่สระโบกขรณีนั้นอีกเหมือนแต่ก่อน ฉันใด อารมณ์แม้ทุกชนิดอันเป็นวิสัยของมาร อันให้สัตว์เสพผิด ทำให้สัตว์ดิ้นรน อารมณ์นั้นทั้งหมดอันพระ ผู้มีพระภาคตัดรอนหักรานย่ำยีเสียหมดแล้ว บัดนี้ ข้าพระองค์ผู้คอยหาโอกาส ย่อมไม่อาจเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคได้อีก ฉันนั้น
ครั้นแล้วมารผู้มีบาป ได้ภาษิตคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่ายเหล่านี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
มารเริ่มจะเบื่อหน่ายในการที่จะไปรบกวนพระผู้มีพระภาค แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึกเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น เมื่อเกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้น มารก็ได้ภาษิตคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่ายเหล่านี้ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
ฝูงกาเห็นก้อนหินมีสีดุจมันข้น จึงบินเข้าไปใกล้ด้วยเข้าใจว่า เราทั้งหลายพึงประสบอาหารในที่นี้เป็นแน่ ความยินดีพึงมีโดยแท้ เมื่อพยายามอยู่ไม่ได้อาหารสมประสงค์ในที่นั้น จึงบินหลีกไป
ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ก็เหมือนกามาพบศิลา ฉะนั้น ขอหลีกไป
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปครั้นกล่าวคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่ายเหล่านี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงหลีกจากที่นั้น ไปนั่งขัดสมาธิที่พื้นดิน ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค เป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ เอาไม้ขีดแผ่นดินอยู่
ผู้ที่เป็นมารย่อมขัดขวางความเจริญในทางธรรมของบุคคลอื่น เพราะฉะนั้น มารไม่ยอมที่จะพลาดโอกาสที่จะทูลขอพระผู้มีพระภาคไม่ให้ทรงแสดงธรรม ในพระสูตรนี้มารทูลว่า ถ้าท่านรู้จักทางอันปลอดภัย เป็นที่ไปสู่อมตมหานิพพาน ก็จงหลีกไปแต่คนเดียวเถิด จะพร่ำสอนคนอื่นทำไมเล่า
ท่านผู้ฟังคิดเช่นนี้บ้างหรือไม่ ใครเข้าใจถูกก็เข้าใจไป ใครเข้าใจผิดก็ปล่อยให้ผิดๆ ไป หรือใครเข้าใจถูกก็เข้าใจถูก แล้วก็แล้วไป ไม่ต้องสอนคนอื่น ไม่ต้องบอกคนอื่น ไม่ต้องอธิบายคนอื่น ไม่ต้องเกื้อกูลคนอื่น หรืออย่างไร
เพราะฉะนั้น ลองคิดถึงใจของท่านจริงๆ ว่า ท่านเคยคิดอย่างมารบ้างไหม ที่จะไม่ให้พร่ำสอน หรือว่าแสดงธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้แล้วโดยละเอียดโดยถูกต้อง หรือเห็นว่า จะเป็นการขัดกัน อย่าพูดเลย ถ้าคิดอย่างนั้น จะคล้อยตามความเห็นของมารบ้างไหมที่ว่า ขอให้พระผู้มีพระภาคจงอย่าทรงพร่ำสอนผู้อื่นเลย ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 296
รับฟัง ...
สัตตวัสสสูตร