เค้ามูลแห่งวิตก ตอนที่ ๕ [สักกปัญหสูตร]
โดย wittawat  19 พ.ย. 2568
หัวข้อหมายเลข 51496

เค้ามูลแห่งวิตก ตอนที่ ๕ [สักกปัญหสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 134
ส. ก็วิตกมีอะไรเป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่ออะไรยังมีอยู่ วิตกจึงมี เมื่ออะไรไม่มี วิตกจึงไม่มี.
พ. วิตก มีส่วนแห่งสัญญาอันสัมปยุตด้วยปปัญจธรรม (ธรรมเครื่องเนิ่นช้า) เป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่อส่วนแห่งสัญญาอันสัมปยุตด้วยปปัญจธรรมยังมีอยู่ วิตกย่อมมี เมื่อไม่มี วิตกย่อมไม่มี.


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 177
คําว่า มีส่วนความสําคัญที่ประกอบด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้าเป็นเค้ามูล คือ
ธรรมเครื่องเนิ่นช้ามี ๓ อย่างคือ ธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหา ธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือมานะ ธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือทิฏฐิ.
ใน ๓ อย่างนั้น ตัณหาวิปริต ๑๐๘ อย่าง ชื่อว่า ธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหา
มานะ ๙ อย่าง ชื่อว่า ธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือมานะ
ทิฏฐิ ๖๒ ชนิดชื่อว่า ธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือทิฏฐิ.
ในธรรมเครื่องเนิ่นช้าเหล่านั้น ในที่นี้ท่านหมายเอาธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหา.
ที่เรียกว่าธรรมเครื่องเนิ่นช้า เพราะอรรถว่ากระไร.
ที่เรียกว่าธรรมเครื่องเนิ่นช้า เพราะอรรถว่าให้ถึงอาการของคนมัวเมาประมาท.
ความสําคัญที่ประกอบด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้านั้น ชื่อว่า ปปัญจสัญญา (ความสําคัญที่คลุกเคล้าไปด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้า) .
ส่วนเรียกว่า สังขา
เหมือนในคําเป็นต้นว่า ก็ส่วนแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า มีความสําคัญเป็นเค้ามูล (๑)
ด้วยประการฉะนี้ คําว่า มีส่วนความสําคัญที่ประกอบด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้าเป็นเค้ามูล จึงหมายความว่า ความตรึกมีส่วนแห่งความสําคัญ ที่ประกอบด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้าเป็นเค้ามูล.


ทีฆนิกายฏฺฐกถา (สุมงฺคลวิลาสินี๒) - หน้าที่ 548

ปปญฺจสญฺญาสงฺขานิทาโนติ
คำว่ามี “ปปัญจสัญญาสังขานิทานัง” เป็นเค้ามูลนั้น

ตโย ปปญฺจา ตณฺหาปปญฺโจ ฯ มานปปญฺโจ ฯ ทิฏฐิปปญฺโจติ ฯ
ปปัญจ (ความเนิ่นช้าแห่งจิต) มีสามอย่าง คือ ตัณหาปปัญจ มานปปัญจ และทิฏฐิปปัญจ

ตตฺถ อฏฺฐสตตณฺหาวิปริตํ ตณฺหาปปญฺโจ นาม ฯ
ในบรรดานั้น ตัณหาวิปริต ๑๐๘ ประการ ชื่อว่า ตัณหาปปัญจ

นววิโธ มาโน มานปปญฺโจ นาม ฯ
มานะ ๙ ประการ ชื่อว่า มานปปัญจ

ทฺวาสฺฏฐิทิฏฺฐิโย ทิฏฐิปปญฺโจ นาม ฯ
ทิฏฐิ ๖๒ ประการ ชื่อว่า ทิฏฐิปปัญจ

เตสุ อิธ ตณฺหาปปญฺโจ อธิปฺเปโต ฯ
ในบรรดาเหล่านั้น ในที่นี้หมายถึงตัณหาปปัญจเป็นหลัก

เกนฏฺเฐน ปปญฺโจติ ฯ
เพราะเหตุใดจึงชื่อว่า “ปปัญจ”?

มตฺตปมตฺตาการปาปนฏฺเฐน ปปญฺโจ ฯ
ชื่อว่า ปปัญจ เพราะมีอรรถว่า ทำให้ถึงอาการแห่งความเมา (มตฺต) และความประมาท (ปมตฺต)

ตํสมฺปยุตฺตา สญฺญา ปปญฺจสญฺญา ฯ
สัญญาที่ประกอบด้วยปปัญจนั้น เรียกว่า “ปปัญจสัญญา”

สงฺขา วุจฺจติ โกฏฺฐาโส ฯ
คำว่า “สังขา” ชื่อว่า “โกฏฐาส” คือส่วนแบ่งหรือหมวดหมู่

สญฺญานิทานา หิ ปปญฺจสงฺขาติอาสีสุ วิย ฯ
ด้วยเหตุแห่งสัญญานี่แล จึงเหมือนกับว่า คำว่า ‘ปปัญจสังขา’ ได้มีขึ้น

อิติ ปปญฺจสญฺญาสงฺขานิทาโนติ ปปญฺจสญฺญาโกฏฺฐาสนิทาโน วิตกฺโกติ อตฺโถ ฯ
ดังนั้น คำว่า “ปปัญจสัญญาสังขานิทานัง” มีอรรถะว่า วิตก (ความตรึก) มีปปัญจสัญญาเป็นส่วนแห่งเหตุ


[สรุป]
>> ในบทที่แล้วกล่าวถึง ความตรึก ซึ่งหมายถึง ความตรึกที่เกิดขึ้นเป็นไปกับโลภะ เป็นความตรึกซึ่งวินิจฉัยหรือตัดสินในวัตถุที่ปรากฏ ว่ามีรูป เสียง กลิ่น รส กระทบสัมผัสอย่างไร จะเก็บไว้เองหรือจะให้คนอื่นอย่างไร นั้น ความตรึก นั้นมีที่มาคือ สัญญา ที่สัมปยุตด้วย "ปปัญจ" (ปปญฺจสญฺญาสงฺขา)
>> ปปัญจ มี ๓ ประเภท คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ซึ่งในที่นี้ท่านแสดงไว้ว่า หมายถึง สัญญาที่ประกอบด้วยตัณหา เป็นหลัก
>> คำว่า "ปปัญจ" หมายถึง ธรรมที่ทำให้ถึงความมัวเมา และความประมาท
>> สัญญาที่สัมปยุตด้วยปปัญจธรรม ซึ่งอรรถกถาแสดงว่าตัณหาเป็นหลัก ก็เข้าใจว่าหมายถึง สัญญาที่สัมปยุตด้วยตัณหา นั้นเป็นปปัญจสัญญา นี้เองที่เป็นเค้ามูลให้เกิดความตรึก นึกคิด


พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 312
ธรรมที่ชื่อว่าสัญญา เพราะอรรถว่า ย่อมจําอารมณ์มีสีเขียว เป็นต้น สัญญานั้นมีลักขณาทิจตุกกะ ดังนี้
สญฺชานนลกฺขณา สัญญานั้นมีการจําเป็นลักษณะ
ปจฺจาภิญฺญาณรสา มีการทําเครื่องหมายเป็นรส.
จริงอยู่ สัญญาเป็นไปในภูมิ ๔ ไม่ชื่อว่ามีความจําได้หามีไม่ สัญญาทั้งหมดล้วนมีความจําเป็นลักษณะทั้งนั้น.
ก็ในที่นี้ สัญญาใดย่อมจําได้โดยเครื่องหมาย สัญญานั้น ชื่อว่า มีการทําเครื่องหมายเป็นรส.
พึงทราบความเป็นไปแห่งสัญญานั้นในเครื่องหมายนั้นอีก และในเวลาที่บุรุษกําหนดเครื่องหมายด้วยไฝดําเป็นต้น
แล้วจําเครื่องหมายของบุคคลนั้นอีกว่า บุคคลนี้ชื่อโน้นด้วยเครื่องหมายนั้น
และในเวลาที่ขุนคลังผู้รักษาเครื่องประดับของพระราชาผูกชื่อหนังสือไว้ที่เครื่องประดับนั้น
เมื่อพระราชาตรัสว่า เจ้าจงนําเครื่องประดับชื่อโน้นมา
ขุนคลังก็จุดประทีปแล้วเข้าไปในห้องด้วยประทีปนั้น อ่านหนังสือ
แล้วก็นําเครื่องประดับนั้นๆ นั่นแหละมาได้.
อีกนัยหนึ่ง ก็เมื่อว่าโดยการรวบรวมธรรมทั้งหมด สัญญามีการจําได้เป็นลักษณะ
มีการทํานิมิตโดยปัจจัยให้จําได้อีกเป็นรส เหมือนช่างถากเป็นต้นทําเครื่องหมายที่ไม้เป็นต้น ด้วยสามารถแห่งนิมิตตามที่ตนทําไว้
ชื่อว่า การกระทําความโน้มน้าวไว้เป็นปัจจุปัฏฐาน เหมือนคนตาบอดแสดงช้างหรือว่ามีการตั้งอยู่ในอารมณ์ไม่นานเป็นปัจจุปัฏฐาน เพราะไม่หยั่งลงในอารมณ์เหมือนสายฟ้า
หรือความที่มีอารมณ์ตามที่ปรากฏเป็นปทัฏฐาน เหมือนกับสัญญาที่เกิดขึ้นแก่ลูกเนื้อทั้งหลายในหุ่นหญ้าว่าเป็นคน.
ก็ในที่นี้ สัญญาใดเป็นญาณสัมปยุต สัญญานั้นก็เป็นไปตามญาณนั่นแหละ ธรรมที่เหลือทั้งหลายบัณฑิตพึงทราบเหมือนปฐวีธาตุเป็นต้น ในสสัมภารปฐวีธาตุเป็นต้น ดังนี้


อภิธมฺมฏฺฐกถา ธมฺมสงฺคณีวณฺณนา (อฏฺฐสาลินี) หน้าที่ 244

นีลาทิเภทํ อารมฺมณํ สญฺชานาตีติ สญฺญา ฯ
สัญญา คือ ธรรมที่ ทำเครื่องหมายไว้ในใจ ต่ออารมณ์ที่มีลักษณะอย่างความเขียวเป็นต้น
(สญฺชาน = การกำหนดรู้ การรู้จำแนก ในที่นี้จะใช้คำว่า "ทำเครื่องหมายไว้ในใจ")

สา สญฺชานนลกฺขณา ปจฺจาภิญฺญาณรสา ฯ
สัญญานั้น มีลักษณะคือ การทำเครื่องหมายไว้ในใจ และมีรส (กิจหน้าที่) คือ การย้อนจำได้ในภายหลัง
(ปจฺจาภิญฺญา = ระลึกย้อน หรือ ย้อนจำได้)

จตุภูมิกสญฺญา หิ โนสญฺชานนลกฺขณา นาม นตฺถิ ฯ
เพราะสัญญาในภูมิทั้งสี่ ไม่มีอย่างที่ว่า “ไม่มีลักษณะคือการทำเครื่องหมาย” เลย
(คือ ทุกระดับของสัญญาล้วนมีลักษณะทำเครื่องหมายไว้ในใจทั้งสิ้น)

สพฺพา สญฺชานนลกฺขณาว ฯ
สัญญาทั้งหมด มีลักษณะคือการทำเครื่องหมายไว้ในใจทั้งนั้น

ยา ปเนตฺถ อภิญฺญาเณน สญฺชานาติ สา ปจฺจาภิญฺญาณรสา นาม โหติ ฯ
ส่วนสัญญาใดในที่นี้ที่จำโดยอาศัยเครื่องหมายที่ได้ทำไว้ก่อน สัญญานั้นชื่อว่า มีรสคือ การย้อนจำได้ในภายหลัง

ตสฺสา วฑฺฒกิสฺส ทารุมฺหิ อภิญฺญาณํ กตฺวา
ช่างไม้ผู้หนึ่งทำเครื่องหมายกำหนดบนไม้

ปุน เตน อภิญฺญาเณน ตํ ปจฺจาภิญฺญาณกาเล
แล้วภายหลัง เมื่อถึงเวลาย้อนจำได้ ก็อาศัยเครื่องหมายนั้น

ปุริสสฺส กาฬติลกาทีหิ อภิญฺญาณํ สลฺลกฺเขตฺวา
แม้บุรุษก็ทำเครื่องหมายกำหนดด้วยไฝดำเป็นต้น

ปุน เตน อภิญฺญาเณน อสุโก นาม เอโสติ
แล้วด้วยเครื่องหมายนั้น ก็จำได้ว่า “คนผู้นี้ชื่อว่าอสุกะ”

ตสฺส ปจฺจาภิญฺญาณกาเล
เมื่อถึงเวลาย้อนจำได้ของเขา

รญฺโญ ปิลนฺธนโคปายิกภณฺฑาคาริกสฺส ตสฺมึ ตสฺมึ ปิลนฺธเน นามปณฺณกํ พนฺธิตฺวา
กรมคลังเก็บเครื่องประดับของพระราชา ผูกป้ายชื่อไว้ที่เครื่องประดับแต่ละชิ้น

อสุกปิลนฺธนํ นาม อาหราติ วุตฺเต
เมื่อมีคนบอกว่า “จงนำเครื่องประดับชื่ออสุกะมา”

ทีปํ ชาเลตฺวา เตน คพฺภํ ปวิสิตฺวา ปณฺณกํ วาเจตฺวา
เขาก็จุดตะเกียง เข้าไปในห้องนั้น ตรวจดูป้ายชื่อ

ตสฺส ตสฺเสว ปิลนฺธนสฺส อาหรณกาเล จ ปวตฺติ เวทิตพฺพา ฯ
แล้วในเวลานำเครื่องประดับแต่ละชิ้นนั้นออกมา ก็ควรรู้การทำงานของสัญญานั้น

อปโร นโย ฯ
นัยอื่นอีกอย่างหนึ่ง

สพฺพสงฺคาหิกวเสน หิ สญฺชานนลกฺขณา สญฺญา
สัญญา มีลักษณะคือการรู้จำแนก โดยอรรถที่ครอบคลุมทั้งหมด

ปุน สญฺชานนปจฺจยนิมิตฺตกรณรสา
อีกอย่างหนึ่ง มีรส คือ ทำเครื่องหมายให้เป็นปัจจัยแห่งการรู้จำแนก

ทารุอาทีสุ ตจฺฉกาทโย วิย
เหมือนช่างไม้ทั้งหลาย ในไม้เป็นต้น

ยถาคหิตนิมิตฺตวเสน อภินิเวสกรณปจฺจุปฏฺฐานา
ความปรากฏคือทำให้ยึดถือไปตามนิมิตที่ได้ถือไว้แล้ว

หตฺถิทสฺสกอนฺธา วิย อารมฺมเณ อโนคาฬฺหวุตฺติตาย
เหมือนคนตาบอดผู้ดูช้าง เพราะความเป็นไปโดยไม่แทงตลอด (รู้ลึก) ในอารมณ์

อจิรฏฺฐานปจฺจุปฏฺฐานา วา วิชฺชุ วิย
หรือมีความปรากฏเป็นของอยู่เพียงชั่วครู่ เหมือนฟ้าแลบ

ยถาอุปฏฺฐิตวิสยปทฏฺฐานา
ตั้งอยู่ตามวิสัยที่ปรากฏอยู่แล้ว

ติณปุริสเกสุ มิคโปตกานํ ‘ปุริโส’ติ อุปฺปนฺนสญฺญา วิย ฯ
เหมือนสัญญาอันเกิดขึ้นว่า “คน” ของลูกเนื้อทั้งหลาย ในหุ่นหญ้า

ยา ปเนตฺถ ญาณสมฺปยุตฺตา โหติ สา ญาณเมว อนุวตฺตติ
ส่วนสัญญาที่ในที่นี้ประกอบด้วยญาณ ย่อมตามญาณนั่นเอง

สสมฺภารปฐวีอาทีสุ เสสธมฺมา ปฐวีอาทีนิ วิยาติ เวทิตพฺพา ฯ
ส่วนธรรมที่เหลือ ในปฐวีเป็นต้นที่ประกอบด้วยส่วนประกอบทั้งหลาย พึงทราบว่าเป็นเหมือนปฐวีเป็นต้น


พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 319
ธรรมที่ชื่อว่า วิตก เพราะอรรถว่า ตรึก
อีกอย่างหนึ่ง การตรึก คือ การจดอารมณ์ ชื่อว่าวิตก.
วิตกนี้นั้น มีการยกจิตขึ้นในอารมณ์เป็นลักษณะ (อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อภินิโรปนลกฺขโณ)
จริงอยู่ วิตกนั้นยกจิตขึ้นในอารมณ์.
เหมือนอย่างว่าคนบางคนอาศัยญาติ หรือมิตรที่เป็นราชวัลลภ จึงเข้าไปสู่พระราชมณเฑียรได้ฉันใด
จิตก็อาศัยวิตก ฉันนั้น
เพราะฉะนั้น วิตกนั้น ท่านจึงกล่าว มีการยกจิตขึ้นในอารมณ์เป็นลักษณะ ...
วิตกนั้นมีการกระทําให้จิตกระทบอารมณ์บ่อยๆ เป็นรส (อาหนนปริยาหนนรโส)
จริงอย่างนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระโยคาวจรย่อมกระทําจิตนั้น อันวิตกให้กระทบแล้วบ่อยๆ
วิตกนั้นมีการนําจิตมาในอารมณ์เป็นปัจจุปัฏฐาน (อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อานยปจฺจุปฏฺฐาโน)
และมีนามขันธ์ ๓ ที่เหลือ (เวทนา สัญญา วิญญาณขันธ์) เป็นปทัฏฐาน (เสสขนฺธตฺตยปทฏฺฐาโน)


อภิธมฺมฏฺฐกถา ธมฺมสงฺคณีวณฺณนา (อฏฺฐสาลินี) หน้าที่ 250
วิตกฺเกตีติ วิตกฺโก ฯ
ย่อมตรึก ดังนี้ จึงชื่อว่า วิตก.
(ย่อมตรึก หรือ ย่อมจ่อจิตลงในอารมณ์ หรือ ย่อมกระทบอารมณ์ด้วยใจ)

วิตกฺกนํ วา วิตกฺโก ฯ
การตรึกนี้ หรือธรรมที่ชื่อว่าวิตก

อูหนนฺติ วุตฺตํ โหติ ฯ
พึงทราบว่า แปลว่า อูหนะ คือ การยกขึ้น, ยกเข้าไปหา (อุปมาว่า ดันเข้าไปสู่อารมณ์)

สฺวายํ อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อภินิโรปนลกฺขโณ ฯ
วิตกนี้ มีลักษณะคือ การเพ่งตั้ง (ผลัก/ดัน) จิตเข้าไปสู่อารมณ์

โส หิ อารมฺมเณ จิตฺตํ อาโรเปติ ฯ
เพราะมันยกจิตให้ขึ้นสู่อารมณ์ได้จริง

ยถา หิ โกจิ ราชวลฺลภํ ญาตึ วา มิตฺตํ วา นิสฺสาย ราชเคหํ อาโรหติ ฯ
เหมือนอย่างว่า คนใดอาศัยคนโปรดของราชา หรืออาศาญาติหรือมิตร แล้วเข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ได้

เอวํ วิตกฺกํ นิสฺสาย จิตฺตํ อารมฺมณํ อาโรหติ ฯ
ฉันใดก็ฉันนั้น อาศัยวิตก จิตก็ขึ้นสู่อารมณ์ได้

ตสฺมา โส อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อภินิโรปนลกฺขโณติ วุตฺโต ฯ
เพราะเหตุนั้น วิตกจึงถูกกล่าวว่า มีลักษณะคือการเพ่งตั้งจิตเข้าไปสู่อารมณ์

นาคเสนตฺเถโร ปนาห อาโกฏนลกฺขโณ วิตกฺโก ฯ
แต่พระนาคเสนเถระกล่าวว่า วิตกมีลักษณะคือ การเคาะ (การกระทบให้เกิดเสียง)

ยถา มหาราช เภรี อาโกฏิตา อถ ปจฺฉา อนุรวติ อนุสทฺทายติ ฯ
ดุจดัง มหาราช — เมื่อกลองใบใหญ่ถูกเคาะแล้ว ต่อไปย่อมมีเสียงก้องสะท้อนตามมา

เอวเมว โข มหาราช ยถา อาโกฏนา เอวํ วิตกฺโก ทฏฺฐพฺโพ ฯ
ฉันใดก็ฉันนั้น มหาราช วิตกควรถูกเห็นว่าเป็นดุจการเคาะ

(อาโกฏนา = การเคาะ, การตี)

ยถา ปจฺฉา อนุรวนา อนุสทฺทายนา เอวํ วิจาโร ทฏฺฐพฺโพติ ฯ
ส่วนอย่างเสียงก้องสะท้อนในภายหลัง พึงเห็นว่าเป็นวิจารฉันนั้น
(วิตก = เคาะให้เกิดเสียง, วิจาร = เสียงตามมาเป็นระลอก)

สฺวายํ อาหนนปริยาหนนรโส ฯ
วิตกนี้มี รส คือการ “ตี-และ-ต่อเนื่องการตี”
(คือทำให้จิตกระทบ แล้วคอยพาให้กระทบซ้ำ)

ตถา หิ เตน โยคาวจโร อารมฺมณํ วิตกฺกาหตํ วิตกฺกปริยาหตํ กโรตีติ วุจฺจติ ฯ
ดังนั้นจึงกล่าวว่า ผู้เจริญภาวนา อบรมให้วิตกเกิดขึ้นกระทบอารมณ์ และกระทำให้วิตกเกิดขึ้นบ่อยๆ

อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อานยนปจฺจุปฏฺฐาโน ฯ
และหน้าที่ของวิตก คือ นำจิตไปสู่อารมณ์ ให้ปรากฏตั้งมั่น


เรียนถามอาจารย์คำปั่น
1. สัญญา และ วิตก ในที่นี้จากข้อความที่ว่า "วิตก มีส่วนแห่งสัญญาอันสัมปยุตด้วยปปัญจธรรม (ธรรมเครื่องเนิ่นช้า) เป็นนิทาน" อันนี้หมายถึง วิตก ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ สัญญา ขณะที่เป็นโลภมูลจิต หรือรวมไปถึงสัญญาที่เกิดขึ้นในอดีต ก็ทำให้วิตกเกิดได้ หรืออย่างไรครับ บางครั้งที่เรานึกถึงทรัพย์สมบัติ อาหาร หรือสิ่งของที่เราชอบใจ และก็นึกถึงสีสันต่างๆ การกระทบสัมผัสต่างๆ รวมไปถึงราคา ของสิ่งๆ นั้น เป็นต้น การนึกถึงประเภทนี้ ต้องอาศัยความจำในของสิ่งนั้น ทั้งที่เห็นไปแล้ว และกำลังเห็น การคิดนึกจึงเกิดขึ้นได้ ความเข้าใจนี้ผิดถูกประการใด ขออาจารย์อธิบายเพิ่มเติมครับ
กราบอนุโมทนาครับ



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 24 พ.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ยินดีในกุศลของคุณวิทวัตอย่างยิ่ง เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ในขณะที่เป็นอกุศล ทั้งสัญญาและวิตักกเจตสิก ก็เป็นชาติอกุศล เนิ่นช้าแล้วในขณะที่เป็นอกุศล เพราะทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไป และ อกุศลที่เคยเกิดแล้ว ก็เป็นเหตุปัจจัย ให้อกุศลเกิดต่อไปได้ ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณวิทวัตและทุกๆ ท่านด้วยครับ ...


ความคิดเห็น 2    โดย wittawat  วันที่ 27 พ.ย. 2568

กราบอนุโมทนาครับ