ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๓
โดย khampan.a  18 พ.ค. 2557
หัวข้อหมายเลข 24876

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๓

กาย ไม่ควรที่จะให้ประพฤติทุจริต พร้อมกันนั้นก็ควรประพฤติสุจริตด้วย วาจาก็ไม่ควรที่จะให้ล่วงไปเป็นวจีทุจริต และควรที่จะประพฤติสุจริตด้วยวาจา แม้ทางใจก็พึงรักษาความกำเริบทางใจ ขณะใดที่หวั่นไหวไปด้วยกิเลส ทางเดียวที่จะรักษาความกำเริบทางใจในขณะนั้นได้ ก็คือ สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น
ควรจะอนุโมทนาในส่วนของความศรัทธา ความเลื่อมใสในการศึกษาธรรม ซึ่งวันหนึ่งเมื่อบุคคลนั้นศึกษาธรรมเข้าใจแล้ว ก็คงจะประพฤติธรรมยิ่งขึ้น ขัดเกลากิเลสของตนเองยิ่งขึ้น แต่ว่าตราบใดที่ปัญญายังไม่พอที่จะดับกิเลส กายก็ยังคง

ไม่บริสุทธิ์ วาจาก็คงไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ยังคงมีส่วนดี คือ การสนใจศึกษาธรรม

เพื่อขัดเกลากิเลสของตน เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะระลึกถึงส่วนดีของบุคคลนั้น

แล้วก็ไม่สนใจในข้อเสียของบุคคลนั้น
การนอบน้อมถ่อมตัวเป็นกุศล ซึ่งจะทำให้ได้เห็นชัดว่า ถ้าขาดการอ่อนน้อมต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อม ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ขาดความยำเกรง แม้ในผู้ที่ควรเคารพอ่อนน้อมยำเกรงได้ แม้ในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์
ประโยชน์ที่สุด ก็คือ ไม่ให้เป็นผู้แพ้ต่อกิเลสของตนเอง ถึงแม้ว่าคนอื่น

จะโกรธ ก็ไม่ควรที่จะเอาชนะความโกรธของคนอื่นด้วยการโกรธตอบ แต่ว่าเมื่อ

คนอื่นโกรธ เราชนะกิเลสของตนเองโดยไม่โกรธตอบผู้ที่โกรธตน นั่นเป็นประโยชน์

อย่างยิ่ง
จิตของใครเป็นอกุศล อกุศลธรรมของผู้นั้นเองเบียดเบียนผู้นั้นให้เดือดร้อน
เรื่องของกรรม ถ้าใครทำกุศลกรรม ถึงคนอื่นจะไปขอร้องไม่ให้กุศลกรรม

ให้ผล ก็เป็นไปไม่ได้ หรือว่าถ้าใครทำอกุศลกรรม ถึงใครจะไปช่วยกันอ้อนวอน

ขอร้องอย่าให้บุคคลนั้นได้รับผลของอกุศลกรรม ก็เป็นไปไม่ได้เลยเหมือนกัน
ฉันทะ เป็นความพอใจ ซึ่งพอใจในกุศลธรรมก็ได้ หรือว่าพอใจในอกุศลธรรม

ก็ได้บางคนพอใจในการที่จะมีโทสะมากๆ นั่นเป็นฉันทะในอกุศล แต่ความพอใจใน

การที่จะศึกษาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นฉันทะใน

กุศลธรรม เพราะฉะนั้น ฉันทะ ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่ความปรารถนาอยากจะได้มาเป็น

ของตน เพราะถ้าไม่มีฉันทะที่จะเจริญกุศล คงจะไปรื่นเริงสนุกสนานในฝ่าย

อกุศลธรรม
ความคิดเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แล้วความคิดนี้วิจิตรจริงๆ บางทีบอกว่า

อย่าคิด หรือว่าไม่ควรจะคิดอย่างนี้ ไม่ต้องคิดอย่างนั้น แต่ความคิดอย่างนั้น

ก็เกิดขึ้น แสดงให้เห็นความเป็นอนัตตาอย่างแท้จริง

ปกติแล้ว วันหนึ่งๆ โลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) เกิดมากเป็นประจำแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าในขณะนั้น เป็นสภาพของอกุศล เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะดับกิเลสได้ จะต้องอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ว่า กิเลสอยู่ที่ไหน มีลักษณะอย่างไร แล้วจึงจะดับได้

หลังจากที่เห็นแล้ว ก็มีการคิดนึกถึงสิ่งที่เห็น สภาพคิดมีจริง เป็นปรมัตถ์ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่เรื่องที่คิดทั้งหมด เป็นสมมติสัจจะเท่านั้น ไม่มีสัตว์

บุคคลตัวตนเลยจริงๆ โดยปรมัตถ์

มีธรรมอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่ฟังก็สามารถที่จะเข้าใจได้

ธรรม ไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่มีจริงๆ "เดี๋ยวนี้"

การอบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามปกติตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะทรงแสดงธรรมถึง ๔๕ พรรษา โดยนัยของพระสูตรหรือว่าพระอภิธรรม หรือพระวินัยก็ตาม เพื่อที่จะให้สติเกิด ระลึก ศึกษา รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ เข้าถึงอรรถของนามธรรม ซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และรูปธรรมซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน กี่ภพ กี่ชาติ ที่ฟังพระธรรม ก็ฟังพระธรรม

เรื่องของนามธรรมและรูปธรรม เพื่อการรู้แจ้ง เพื่อการประจักษ์ชัด และเพื่อการดับ

กิเลสหมดเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้เด็ดขาด ไม่มีการเกิดขึ้นอีกเลย)

เห็นความยากของการดับกิเลสไหม ดับได้จริงๆ แต่ต้องด้วยปัญญาจริงๆ ที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ ขณะนี้ของจริงกำลังปรากฏ ถ้าใครชักชวนให้ไปรู้อื่น ทราบได้เลย ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม

ในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะเป็นภิกษุ ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ยังไม่ดับเป็นสมุจเฉทก็มีอาการปรากฏของกิเลสในลักษณะต่างๆ กัน

-อ.กุลวิไล ถาม : เพราะเหตุใด มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา จึงมีชั่วโมงแห่งการสนทนาพระวินัย -ท่านอาจารย์สุจินต์ ตอบ: เพราะเราไม่เข้าใจพระวินัย
พิจารณาความดีของคนอื่น เพื่ออนุโมทนา ค้นหาความผิดของตน เพื่อการขัดเกลา
วันหนึ่งๆ อยู่ไปอย่างไรก่อนที่จะตายจากโลกนี้ คือ ทุกคนเกิดมาแล้วตาย

ไม่ได้ ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่จะตาย ใครจะทำให้ตายก็ตายไม่ได้ เพราะเหตุว่า

จุติจิตเป็นผลของกรรม จุติจิตเป็นวิบากจิต เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมาแล้วก็ต้องอยู่

ไป แต่ว่าการอยู่ไปแต่ละวันๆ จะอยู่ไปอย่างไรก่อนที่จะตายจากโลกนี้
ขณะนี้เป็นโอกาสที่มีค่าที่จะได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ จากการ

ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย

ใครๆ ก็คิดเอาเองไม่ได้ จะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมา

สัมพุทธเจ้าทรงแสดง
โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม เหลือไม่มากแล้ว.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๒


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 18 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

@ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เป็นเครื่องอุปการะ เกื้อกูลให้พุทธบริษัทดำเนินชีวิตในทางที่ดีงาม นอกจากจะเว้นในสิ่งที่ควรเว้น เพราะเห็นว่าเป็นโทษทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น แล้ว ความดีประการต่างๆ ใน ชีวิตประจำวัน ก็ควรที่จะอบรมเจริญให้มีขึ้น ซึ่งรวมถึงการศึกษาธรรม ฟัง พระธรรม อบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง

@ เมื่อศึกษาจนเกิดความเข้าใจขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย จะเป็นผู้ที่ละเอียด ตรง มั่นคงศึกษาไปเรื่อยๆ จนจรดเยื่อในกระดูก และสามารถลด ละ มานะ ของตนเอง ลงเปรียบเหมือนผ้าเช็ดธุลี อย่ามัวแต่ห่วงอกุศลของคนอื่น จนลืม อกุศลของตนเอง

@ ถ้าไม่ใช่โอกาสของการให้ทาน โอกาสใดๆ ก็ตามที่สามารถจะเจริญกุศลได้ ก็ควรที่จะเจริญ เพราะกุศลหรือความดี เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ไม่ก่อให้เกิดโทษจึงควรที่จะเจริญ ที่สำคัญ คือศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา สั่งสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปเรื่อยๆ

@ ถ้าเป็นผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เข้าใจตามความ เป็นจริงแล้ว ไม่ว่าใครจะประพฤติตนไม่ดีต่อเราอย่างไร เราก็ไม่โกรธ เพราะเป็น ผู้ที่เห็นโทษของอกุศล เห็นโทษของความโกรธ แล้วก็เกิดเมตตา มีความหวังดี ปรารถนาดีพร้อมทั้งช่วยเหลือเกื้อกูลบุคคลนั้นได้ทุกเมื่อ

@ สิ่งที่ควรศึกษา คือ พระธรรม พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ ทั้งหมด เป็นเครื่องเกื้อกูลให้ผู้ที่ศึกษามีความประพฤติที่ดีงาม เพื่อให้เกิดกุศลจิตทุกระดับ ขั้น เริ่มตั้งแต่ความดีขั้นต้นในชีวิตประจำวัน จนกระทั่งสูงสุด คือ การดับกิเลส ทั้งหมดได้อย่างเด็ดขาด

@ ตายขณะนี้ได้ไหม ความจริง ความตายเร็วที่สุด ก่อนตายอาจจะนอน ป่วย ไข้ หรือ สนุกสนานร่าเริง แต่พอถึงเวลาตายก็ตายได้ แม้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ตายได้เพราะฉะนั้น ความตายตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ชั่วขณะจิต ดังนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อใด ถ้าคิดว่าก่อนตายจะทำอย่างไร จงทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แต่เรื่องที่จะทำอะไรก่อนตาย ไม่มีใครทำได้จริงๆ เหมือนกับขณะนี้ จะรอทำไมให้ถึงก่อนตาย ทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ทำให้จิตเป็นกุศลเสียเดี๋ยวนี้ ให้ปัญญาเกิดเสียเดี๋ยวนี้ แทนที่จะไปรอทำก่อนตาย

@ บุคคลผู้ประมาทอยู่แม้จะมีชีวิตยืนยาวก็เหมือนบุคคลที่ตายแล้ว เพราะคนที่ ตายแล้วไม่สามารถอบรมปัญญาได้ ไม่สามารถเจริญกุศลได้ แม้คนประมาท หรือไม่ได้ศึกษา พระธรรมก็ไม่สามารถอบรมปัญญาได้เช่นกัน จึงไม่ประมาทที่จะ ศึกษาพระธรรมต่อไปด้วยความเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพียงแต่สำเหนียกไว้ เสมอว่า ความตายไม่รู้จะเกิดขึ้นวันไหน สาระสำคัญที่สุดของชีวิตคือการเข้าใจ พระธรรมในหนทางที่ถูก เพราะ ไม่มีสิ่งใดติดตัวไปได้นอกจากบุญและบาป ความ เห็นถูกและความเห็นผิด

@ เพราะฉะนั้นในยุคที่พระธรรมวินัยยังอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ จึงเป็นโอกาสอันประเสริฐ ที่ท่านควรจะได้ศึกษาและน้อมมาประพฤติปฏิบัติตาม เพราะเป็น "ขณะที่หาได้ยากยิ่ง"

ขณะใดที่จิตเป็นกุศล ขณะนั้นสงบแล้ว โดยไม่ต้องขวนขวายแสวงหาวิธีการใดๆ เพื่อให้จิตสงบ และปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจในพระธรรม ก็จะปรุงแต่งให้เกิดโยนิโส-มนสิการมากยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรให้ผิดปกติไปจากชีวิตประจำวัน เพราะไม่มีใครทำได้ นอกจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งเท่านั้น

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย papon  วันที่ 18 พ.ค. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 18 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

" ... พระธรรม ที่พระองค์ทรงแสดง แต่ละคำ จึงเป็นรัตนะที่มีค่ายิ่ง เพราะเหตุว่า สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ ทีละเล็ก ทีละน้อย ... "

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น อักษรวิลัย และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 4    โดย swanjariya  วันที่ 18 พ.ค. 2557

♡กราบอนุโมทนาขอบคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์♡

ท่านอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ท่านอาจารย์ผเดิม ยี่สมบุญและคณะวิทยากร

การได้เกิดเป็นมนุษย์ยากยิ่ง การมีโอกาสได้พบและศึกษาพระธรรมจากท่าน อาจารย์และคณะวิทยากรของมูลนิธินั้นเป็นลาภอันประเสริฐยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย ใหญ่ราชบุรี  วันที่ 19 พ.ค. 2557

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนากุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ

ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)


ความคิดเห็น 6    โดย Noparat  วันที่ 19 พ.ค. 2557

จิตของใครเป็นอกุศล อกุศลธรรมของผู้นั้นเองเบียดเบียนผู้นั้นให้เดือดร้อน พิจารณาความดีของคนอื่น เพื่ออนุโมทนา ค้นหาความผิดของตน เพื่อการ ขัดเกลา

ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย j.jim  วันที่ 19 พ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย เมตตา  วันที่ 20 พ.ค. 2557

ควรจะอนุโมทนาในส่วนของความศรัทธา ความเลื่อมใสในการศึกษาธรรม ซึ่งวันหนึ่งเมื่อบุคคลนั้นศึกษาธรรมเข้าใจแล้ว ก็คงจะประพฤติธรรมยิ่งขึ้น ขัดเกลากิเลสของตนเองยิ่งขึ้น

@ บุคคลผู้ประมาทอยู่แม้จะมีชีวิตยืนยาวก็เหมือนบุคคลที่ตายแล้ว เพราะคนที่ ตายแล้วไม่สามารถอบรมปัญญาได้ ไม่สามารถเจริญกุศลได้ แม้คนประมาท หรือไม่ได้ศึกษา พระธรรมก็ไม่สามารถอบรมปัญญาได้เช่นกัน จึงไม่ประมาทที่จะ ศึกษาพระธรรมต่อไปด้วยความเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพียงแต่สำเหนียกไว้ เสมอว่า ความตายไม่รู้จะเกิดขึ้นวันไหน สาระสำคัญที่สุดของชีวิตคือการเข้าใจ พระธรรมในหนทางที่ถูก

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อ.ผเดิม และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย jaturong  วันที่ 20 พ.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 23 พ.ค. 2557

ฟังแล้วก็ยังยากทื่จะเข้าใจเพราะธรรมยากที่จะเข้าใจขอบคุณและขออนุโมทนาครับ