ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๕๔
โดย khampan.a  2 ก.ย. 2555
หัวข้อหมายเลข 21654

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔]

ความสงบที่แท้จริงนั้น ต้องเป็น ความสงบที่เกิดจาก สงบจากกิเลส สงบจาก อวิชชาที่ไม่รู้ สงบจากความเห็นผิดที่ยึดถือนามรูป ว่าเป็นตัวตน ถ้าขณะใดที่มีสติ ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป ขณะนั้นสงบ

กระทำบาปไปทันทีได้แน่ๆ เพราะขาดความอดทน

มีชีวิตตามปกติธรรมดา แต่อาศัยการฟัง เพื่อจะให้น้อมระลึกถึงสภาพธรรมนั้น ถูกต้องตามความเป็นจริง

ความสงสัยใดๆ ทั้งหมด ไม่มีวันหมดสิ้นได้ ถ้าไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่ กำลังปรากฏในขณะนี้ ที่จะหมดความสงสัย ในลักษณะของนามใดรูปใด ในเหตุใน ผลของนามนั้นรูปนั้น ก็ต้องเพราะรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนี้

๐ ตบะ คือ ความเพียรที่จะละกิเลส เพื่อให้มีการหน่ายบาปได้ ด้วยความเพียรนั้น คลายจากอวิชชา คลายจากความไม่รู้ คลายจากความเห็นผิด ที่ยึดถือนามรูปว่า เป็นตัวตน

ถ้าไม่ฟังพระธรรมเลยก็ไม่สามารถจะมีเครื่องลับปัญญาให้คมกล้า เพราะเหตุว่า พระธรรมที่ได้ยินได้ฟังที่ให้พิจารณาอย่างละเอียดนั้น เปรียบเสมือนเครื่องลับปัญญา ให้คมกล้า ซึ่งถ้าไม่มีเครื่องลับ ปัญญาก็จะคมไม่ได้เลย ไม่สามารถจะเข้าใจความ ละเอียดของลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตั้งแต่เกิดจนตาย

การฟังพระธรรมก็เหมือนกับการเกิดใหม่ก็ได้ เพราะเหตุว่าการเกิด ก่อนที่จะ ได้ฟังพระธรรมไม่มีโอกาสจะได้เข้าใจสภาพธรรมเลย ปรมัตถธรรมเป็นอย่างไร ไม่ใช่ สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตาอย่างไร เพราะฉะนั้น แม้ในการที่ได้ฟังพระ ธรรมก็เหมือนกับเป็นการเกิดใหม่ ที่จะทำให้จิตใจน้อมไปในทางที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะละคลายอกุศลที่ผิดจาก ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม

ขณะที่อกุศลจิตเกิด ไม่ใช่ขณะที่ปัญญาเกิด เพราะฉะนั้น ก็ไม่ถือเอาสิ่งที่ควร ถือ หรือไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ แต่ว่ามีความประพฤติเหมือนดังเข้าไปในเรือนที่มืด ตื้อทำอะไรก็ไม่ถูก และทำสิ่งที่ผิดๆ ด้วย ไม่มีปัญญาที่จะส่องให้เห็นว่า สิ่งนั้นไม่ ควรกระทำ แต่ว่าทำไปแล้วด้วยอวิชชา

จุดประสงค์ของการทำบุญ ที่ถูกแล้ว ควรจะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ปลอดภัยจากอกุศล ด้วยปัญญา

ไม่ควรประมาท เพราะถ้ากุศลไม่เกิด ก็เป็นอกุศล

ถ้าเข้าใจถึงความเป็นธาตุ กุศลธรรมทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น เช่น เมื่อเข้าใจว่า เป็นธาตุ แล้วจะโกรธอะไร

ไม่ว่าจะเป็นพระสูตรไหน ก็ไม่พ้นไปจากสัจจธรรม เป็นไปเพื่อความเข้าใจสิ่ง ที่มีจริงทั้งหมด

ฟังพระธรรม จนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

๐ สะสมมาไม่ดี จึงกล่าวคำเท็จ ง่าย กล่าวคำจริง ยาก แต่ถ้าสะสมมาดี กล่าว คำจริง ง่าย กล่าวคำเท็จ ยาก

เมื่อตนเอง ชอบคำจริง ชอบความจริง ไม่ชอบคำเท็จ แล้ว ทำไมจึงพูดโกหกผู้อื่น

พระธรรมทุกคำ มีค่า ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจ

ถ้าไม่มีการอบรมเจริญปัญญา ก็ไม่สามารถขัดเกลา ละคลายกิเลสอะไรๆ ได้เลย

๐ ปัญญา นำเราไปสู่ทางที่ดียิ่งขึ้น

ละอายต่อความไม่รู้ จึงฟังพระธรรม ละอายนั้น ไม่ใช่ตัวตนที่ไปละอาย แต่เป็นธรรม

แต่ละคน ควรมีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง

ปฏิบัติ โดยไม่ต้องศึกษา อย่างนี้ก็ผิดแล้ว ไม่ตรงตามพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

ผู้มีความเห็นผิด แสดงความเห็นที่ผิด กับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงสิ่งที่มีจริง เราจะเชื่อใคร?

แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง บางคนก็คิดไม่ดี บางคนก็คิดดี ตามการสะสม

๐ ทุกขณะไม่ขาดธรรม แต่เข้าใจหรือเปล่า สำคัญอยู่ตรงนี้

ขณะที่ไม่รู้ ก็เป็นไม่รู้ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ แต่ว่าจากการฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ก็เริ่มมีความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่ค่อยๆ เจริญขึ้นได้

๐ เพราะยังมีความไม่ดี โดยเฉพาะอวิชชา จึงเป็น เหตุ ทำให้มี ธรรมฝ่ายที่ไม่ดีเกิดขึ้นมากมาย

๐ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ความจริง ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย

ไม่รู้อะไรเลย แล้วจะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร

๐ พรุ่งนี้เราอาจจะตายก็ได้ จึงไม่พึงล่วงเลยขณะที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ควรที่จะได้ฟังพระธรรม และสะสมสิ่งที่ดี ต่อไป

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๕๓ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม...ครั้งที่ ๕๓

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 2 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาติร่วมปันธรรม ด้วยครับ

- การกระทำดีต่อบุคคลอื่นนั้น ไม่สามารถละโทสะอย่างละเอียดได้ แต่อย่างน้อย ขณะนั้น ก็ไม่ได้สะสมโทสะเพิ่มขึ้น

- เมื่อเรา คิดถึงโลก ซึ่งเราบัญญัติขึ้น เราอาจจะคิดถึง ผู้คน สัตว์ วัตถุต่างๆ และ เราบัญญัติ คำ เพื่อเรียกสิ่งนั้นๆ แต่เรารู้สภาพธรรมต่างๆ ในตัวเรา และ รอบๆ ตัว ตามความเป็นจริงแล้วหรือ

- เรามักคิดว่าสุขเวทนาเป็นความสุขที่แท้จริง เราไม่เห็นตามความเป็นจริงว่า ชีวิต เป็นทุกข์ เราไม่อยากเห็นความเจ็บป่วย ความชรา ความตาย ความโศกเศร้า ความสิ้นหวัง และความไม่ยั่งยืนของ สังขารธรรม ทั้งหลาย เราหวังจะมีความสุขในชีวิต และเมื่อมีความทุกข์ เราก็คิดว่า สุขเวทนา จะทำให้ความทุกข์หมดไป เราจึงยึดมั่น ในสุขเวทนา สภาพธรรม เกิดแล้ว ดับแล้ว สุดที่จะประมาณได้ ถ้าไม่มีการนับ วัน เดือน ปี ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย ว่า วันเวลา ล่วงเลยไปนานเท่าไร แต่ว่า ประโยชน์ของการ ที่ได้มี วันเวลาใหม่ ทุกขณะ ก็เพื่อที่จะได้ เข้าใจธรรมะ นี่เป็นประโยชน์สูงสุด. ชาตินี้ เป็นชาติปางก่อนแน่ๆ เมื่อถึง ชาติหน้า กำลังสะสมหรือเปล่า แล้วก็อีกแสนชาติข้างหน้า ชาตินี้ก็เป็นชาติก่อนของแสนชาติหลังที่จะสะสมไปอีกเท่าไร ก็แล้วแต่ ไม่มีใครจะสามารถจะรู้ได้ แต่ตราบใดที่ยังมีกิเลส ต้องเกิด ที่เข้าใจว่า คนอื่นทำให้เราเป็นทุกข์นี้ จะไม่มีเลย ถ้าถูกโจรเลื่อยอวัยวะน้อย ใหญ่ ผู้ที่มีปัญญาจะโกรธไหม ว่าเขากำลังทำให้เราเจ็บ ถ้าไม่ได้มีกรรมที่ได้ กระทำแล้ว สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไหม เพราะฉะนั้นก็คือ เป็นผู้ที่ไม่มีทุกข์ เพราะว่าความ เข้าใจธรรม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วแต่เหตุที่ได้กระทำแล้ว ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนนี้มีความสุข เพราะมีทรัพย์ คนที่ไม่มีทรัพย์มีความสุขไหมค่ะ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า มีบาตร มีจีวร ประทับที่ยอดเขาคิชกูฎ คิดดูนะคะ ยอดเขาคิชกูฏ จะมีอะไร แต่ไม่มีทุกข์เลย เพราะมีปัญญา

- เมื่อมีความเป็นเรา เป็นเขา ก็เป็นทุกข์ ที่จริงคือความนึกคิดของตัวเองทั้งหมด เราอยู่ในโลกของความคิดนึกเท่านั้นจริงๆ เพราะสิ่งที่ปรากฏหมดแล้วยังคิดอีก วิธีที่จะรู้ได้ว่า เราคิด เราไม่รู้ แล้วเราติดในสิ่งที่เราไม่รู้แค่ไหน คือ เวลาที่ฝัน สิ่งที่เพียงเห็นแล้วจำได้ว่าเป็นอะไร ไม่ลืมจนกระทั่งนึกถึงเห็น (ถึง) ในฝันนี่แสดง ให้เห็นความเหนียวแน่นของความไม่รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ มี ไม่ได้ปรากฏ หมดแล้ว เห็นแล้วก็หมดไปๆ แต่ทำไมฝันเห็น เหมือนเห็นเลย แต่ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา นั่นก็แสดงถึงความทรงจำ เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็น เรื่องราวต่างๆ ไม่ได้รู้ความจริงว่า คิดทั้งหมด

ขออนุโมทนา ครับ


ความคิดเห็น 2    โดย pat_jesty  วันที่ 2 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น, อ.ผเดิม และทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย เข้าใจ  วันที่ 2 ก.ย. 2555

กราบขอบพระคุณ อาจารย์คำปั่น และอาจารย์ ผเดิม เป็นอย่างสูงครับ ที่ได้มอบธรรม เครื่องปรุงแต่งให้เกิด สังขารขันธ์สังขารธรรมที่ดีให้

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 3 ก.ย. 2555

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น, อ.ผเดิม และทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 5    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 3 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย orawan.c  วันที่ 3 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น, อ.ผเดิม และทุกๆ ท่านค่ะ

พระธรรมทุกคำ มีค่า ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจ


ความคิดเห็น 7    โดย pornchai.s  วันที่ 3 ก.ย. 2555

เข้าใจพระธรรมคือ ปัญญา

อนุโมทนาทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 8    โดย kinder  วันที่ 3 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย ditt  วันที่ 4 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

พระธรรม ทำให้พ้นภัย... ฟังเพื่อ "เข้าใจ" ปลอดภัยที่สุด

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนากับท่านอาจารย์ทุกท่าน


ความคิดเห็น 10    โดย หลานตาจอน  วันที่ 4 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 11    โดย aurasa  วันที่ 4 ก.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย j.jim  วันที่ 5 ก.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย jaturong  วันที่ 5 ก.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 14    โดย boonpoj  วันที่ 8 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 15    โดย chatchai.k  วันที่ 4 ธ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 16    โดย มังกรทอง  วันที่ 16 ต.ค. 2564

ความสงบที่แท้จริงนั้น ต้องเป็น ความสงบที่เกิดจาก สงบจากกิเลส สงบจาก อวิชชาที่ไม่รู้ สงบจากความเห็นผิดที่ยึดถือนามรูป ว่าเป็นตัวตน ถ้าขณะใดที่มีสติ ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป ขณะนั้นสงบ

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ