ความเข้าใจ คำว่า “อภิธรรม”
โดย บ้านธัมมะ  28 ก.พ. 2567
หัวข้อหมายเลข 47548

อ.กุลวิไล ขอความเข้าใจเพิ่มเติมสำหรับคำว่า “อภิธรรม”

ท่านอาจารย์ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ขณะนี้เป็นธรรม แต่รู้ว่าเป็นธรรม หรือไม่ หรือว่ารู้เพียงชื่อ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม จะฟังเมื่อไร ก็เพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ฟังเรื่องอื่น แล้วก็เข้าใจเรื่องอื่น ซึ่งขณะนี้ไม่มี และไม่ปรากฏ แต่เมื่อสิ่งนี้มี และไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งนั้น อาศัยการฟัง เริ่มเข้าใจความจริงของสภาพธรรมขึ้น ก็จะรู้ และเข้าใจความหมายของคำว่า “อภิธรรม” เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถบันดาล หรือทำให้เกิดขึ้นได้เลย แต่ว่าเกิดแล้ว มีใครทำ หรือไม่ และข้อสำคัญส่วนใหญ่ บางทีสภาพธรรมที่เกิด ไม่ชอบสิ่งนั้นเลย มีใครชอบทุกๆ สภาพธรรมที่เกิดบ้างไหม แต่ความจริงก็คือว่า ลักษณะที่เกิดไม่ว่าจะเป็นลักษณะอย่างไรก็ตาม ไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้ไหม เห็นไหม

การฟังธรรมก็เพื่อให้เข้าใจว่า ที่เคยเป็นเรา เป็นเขา หรือว่าเป็นของเรา หรือเป็นคนนั้นคนนี้ ก็จะได้มีความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ตรงตามความเป็นจริงของลักษณะของธรรม ซึ่งไม่คุ้นเคยเลย เช่นขณะนี้เห็นคุณอรวรรณ เป็นเพื่อนคุณอรวรรณ แต่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา และสิ่งที่เคยเป็นเพื่อน เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา มีความเข้าใจถูกต้องไหมอย่างนี้ ไม่ว่าใครที่กำลังปรากฏ และมีความจำชื่อ จำชื่อนี่ น้อย หรือมาก ชื่อเดียว แต่ความเป็นไปของคนนั้นมากไหม โลภะก็มี โทสะก็มี พฤติกรรมต่างๆ การกระทำต่างๆ ซึ่งอาจจะคิดว่า เป็นคนนั้นทำ พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง แต่แท้ที่จริงยังไม่คุ้นกับลักษณะของสภาพธรรม ชื่อว่า ไม่รู้จักธรรม รู้จักคนชื่อนั้น ชื่อนี้ แต่เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ มีจริงๆ แล้วยังไม่รู้จักสภาพธรรมนี้เลย เห็นเมื่อไร ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้นกว่าจะฟังพื้นฐานของธรรมที่มีจริงๆ ให้เริ่มเข้าใจถูกต้อง แล้วก็ดูก็แล้วกัน แล้วเมื่อไรปัญญาจะเจริญถึงกับสามารถเข้าใจได้เวลาที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ก็รู้จักสิ่งนั้นทันทีว่า เป็นแต่เพียงธรรมอย่างหนึ่งซึ่งปรากฏ พอจะเป็นไปได้ไหม ความจริงเป็นอย่างนี้ หรือไม่ มีผู้บอกว่า พอจะเป็นไปได้วันหนึ่ง แล้วคนนั้นก็จะรู้ด้วยตัวเอง ปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน จะไปรู้ของคนอื่นได้ไหมว่า ขณะที่กำลังฟังอย่างนี้ มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เห็นไหม พูดเรื่องสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็พูดเรื่องชื่อนั้น ชื่อนี้ แต่ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่า แม้ได้ยินว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย เป็นแต่เพียงธาตุที่เกิดกระทบจักขุปสาท รูปารมณ์ หรือสิ่งที่ปรากฏทางตาตั้งใจจะกระทบจักขุปสาท หรือไม่ มีเจตนาที่จะกระทบ หรือไม่ (ไม่มีเลย) แต่ธาตุชนิดนี้มี แล้วก็มีธาตุที่สามารถกระทบกับสิ่งนี้ได้ ไม่มีรูปร่างเลยขณะนี้ ถ้าพูดเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏทางตากับสภาพที่สามารถเห็นสิ่งนี้ได้ ก็จะรู้ได้ว่า ไม่ได้กำลังกล่าวถึงคน หรือรูปใดๆ ทั้งสิ้น แขน ขา มือ สมอง หัวใจ ไม่ได้กล่าวถึงเลย กำลังกล่าวถึงความจริงของธรรม ซึ่งกำลังมีจริงๆ ขณะนี้ คือ เห็น

เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปรวมเอาไว้เหมือนเดิม เรากำลังนั่งแล้วเห็น ไม่ใช่เลย กำลังกล่าวถึงธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งขณะนี้กำลังเห็น และมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น

นี่คือการฟังธรรมให้เข้าใจเป็นพื้นฐานที่จะรู้ว่า เมื่อปัญญาอบรมเจริญแล้ว เมื่อความจริงของธรรมเป็นอย่างนี้ ก็สามารถประจักษ์ความจริงของธรรมนี้ได้ แต่ถ้าขาดการฟังบ่อยๆ การระลึกได้บ่อยๆ ก็ลืมเสมอ แต่ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่นั่นแหละ

ด้วยเหตุนี้ในพระไตรปิฎกไม่ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสกับใคร ก็จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม หรือการอ่าน หรือการสนทนาธรรม ก็เป็นการเตือนให้เข้าใจถูก ให้ระลึกได้ว่า สภาพธรรมจริงๆ เป็นอย่างนี้ และในขณะที่ฟังจะมีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น บุคคลนั้นก็สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า มีความเข้าใจมั่นคงว่า ขณะนี้เป็นธรรม คุ้นเคยกับธรรมแต่ละลักษณะ หรือยัง หรือกำลังฟังเพื่อให้เข้าใจ เพื่อให้รู้จักสภาพธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ค่อยๆ อบรมไป

พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 433

สภาพธรรมมีระดับต่างๆ กัน

ค่อยๆ เข้าใจความเป็นอนัตตา

รู้จักธรรม ไม่ใช่รู้ชื่อธรรม

ประมาทหรือไม่ ที่คิดว่าเข้าใจแล้ว